!”
หลังจากทดลองฟาดเข้าใส่ร่างของหลวงจีนอาวุโสทำให้หลิงหยุนรู้ว่าเกราะเพชรไร้พ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่าระฆังทองคุ้มกายมากนัก นั่นเพราะพลังพุทธะสีทองที่เปล่งรัศมีออกมาครอบคลุมร่างของหลวงจีนนั้นไว้ เป็นพลังพุทธะที่บริสุทธิ์
‘ดูท่าหลวงจีนเฒ่าคงจะมีพลังป้องกันที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าและซิงเฉินเลย!’
คิดได้เช่นนั้นหลิงหยุนจึงตัดสินใจถอนพลังหยางบริสุทธิ์และสายฟ้าสีเงินกับสีทองที่ถ่ายเทลงไปในตัวกระบี่กลับเข้าร่าง เปลี่ยนใจไม่ใช้กระบี่เพลิงสายฟ้าอีก
แม้กระบี่เพลิงสายฟ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใดแต่ก็คงสามารถใช้ปราบอสูรอย่างพญางูโอโรชิได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้จัดการกับหลวงจีนอาวุโสผู้มีฉายาว่าจื้อเหนิงซึ่งแปลว่าเจ้าปัญญาผู้นี้ได้ หากไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของอีกฝ่ายได้ ก็ย่อมเท่ากับเป็นการส่งพลังปราณของตนให้กับอีกฝ่าย
หลังจากที่หลิงหยุนถอนพลังหยางบริสุทธิ์และสายฟ้ากลับคืนมาแล้วเขาก็ได้ถ่ายเทพลังหยินบริสุทธิ์ลงไปที่กระบี่โลหิตแดนใต้แทน กระบี่โลหิตแดนใต้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นเรื่อย และในที่สุดก็มีพลังหยินอัดแน่นอยู่เต็มทำให้รังสีของกระบี่ดูอันตรายมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“หลวงจีนเฒ่าเตรียมลิ้มรสกระบี่ของข้าใหม่อีกครั้ง!”
หลิงหยุนร้องตะโกนเสียงดังแล้วร่างของเขาก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และยังคงใช้หนึ่งในกระบวนท่าของเพลงกระบี่นวสังหารเข้าโจมตีหลวงจีนอาวุโสเช่นเคย!
เนื่องด้วยตัวกระบี่มีพลังหยินอัดแน่นอยู่เต็มไปหมดกระบี่จึงเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที และพลังปราณที่พวยพุ่งออกมานั้น ก็ทำให้สิ่งรอบตัวกระบี่เกิดเป็นเกร็ดน้ำแข็งขึ้นทันทีเช่นกัน! และหากเป็นกระบี่เล่มอื่นที่ไม่ใช่กระบี่โลหิตแดนใต้ก็คงยากที่จะทานทนต่อพลังหยินที่รุนแรงนี้ได้!
ตูม!
หลวงจีนเจ้าปัญญากำหมัดทั้งสองข้างซัดใส่หลิงหยุนแล้วกำปั้นสีทองก็พุ่งออกไปปะทะเข้ากับกระบี่โลหิตแดนใต้อย่างแรง!
แม้หลวงจีนจื้อเหนิงจะไม่เป็นอะไรแต่คนรอบข้างใช่ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะรัศมีกระบี่สีดำแดงที่ฟาดลงไปนั้น ทำให้ก้อนหินและพื้นดินด้านหลังหลวงจีนจื้อเหนิงราวสิบเมตร ถูกรัศมีที่รุนแรงของกระบี่ฟันเข้าไปจนเกิดเป็นรอยแยก และได้ทำให้ยอดฝีมือที่อยู่ในด่าสุดท้ายขั้นเซียงเทียนหลายคนได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน
รัศมีของกระบี่ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
เมื่อเห็นพลังอันรุนแรงของกระบี่โลหิตแดนใต้เหล่ายอดฝีมือโดยรอบต่างพากันร่นถอยออกไปเพื่อให้พ้นรัศมีของกระบี่ทันที หลังจากการปะทะกันครั้งนี้ทั้งหลิงหยุนและหลวงจีนจื้อเหนิงต่างก็ไม่มีผู้ใดล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว หลิงหยุนยังคงฟาดฟันกระบี่ในมือเข้าใส่ร่างของหลวงจีนอาวุโสผู้นี้ ส่วนตัวหลวงจีนเจ้าปัญญาเองก็อาศัยเกราะเพชรไร้พ่ายที่แข็งแกร่งของตนพุ่งจู่โจมเข้าใส่หลิงหยุนเช่นกัน
–สะบั้นนิมิต–
–พิชิตไร้เงา–
–เผาลนจิตใจ–
–ขับไสวิญญาณ–
–ห้ำหั่นสวรรค์–
หลิงหยุนกระหน่ำกระบี่ใส่ร่างของหลวงจีนจื้อเหนิงไม่ยั้งเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพยายามทำลายเกราะเพชรไร้พ่ายที่คุ้มกันร่างของหลวงจีนอาวุโสนี้ให้สลายลงจงได้!
ในขณะที่หลวงจีนจื้อเหนิงกลับดูไม่รีบร้อนนักเพราะเขามีเกราะเพชรไร้พ่ายที่แข็งแกร่งคอยต้านทานพลังปราณรุนแรงจากกระบี่ของหลิงหยุน หลวงจีนอาวุโสไม่แม้แต่จะหลบหลีก แต่กลับฉวยโอกาสนี้บีบให้หลิงหยุนต้องใช้พลังปราณภายในร่างออกมาให้มากที่สุด
“หลวงจีนเฒ่านี่เจ้าคิดจะดึงเวลางั้นรึ”
หลังจากที่หลิงหยุนฟาดฟันกระบี่ใส่ร่างของหลวงจีนเฒ่าไปนับสิบครั้งแต่อีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ ทำให้หลิงหยุนเข้าใจได้ว่าหลวงจีนเจ้าปัญญาผู้นี้กำลังคิดการใดอยู่ในหัว
พรึบ..พรึบ.. พรึบ..
หลิงหยุนเรียกกระบี่เหินเงาธนูกระบี่กังฉี และตราหยกจักรพรรดิออกมาพร้อมกันทันที!
สังหารมัน!
กระบี่เหินเงาธนูขยายใหญ่ขึ้นในทันทีและเพียงแค่พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นกระบี่ยาวสามฟุตในทันที จากนั้นทั้งกระบี่เหินเงาธนูและกระบี่กังฉีก็พุ่งเข้าล้อมรอบร่างของหลวงจีนจื้อเหนิงพร้อมๆกัน และปลายกระบี่ที่แหลมคมของกระบี่ทั้งสองก็ทิ่มแทงเพื่อที่จะเจาะทะลุเกราะเพชรไร้พ่ายให้จงได้!
ในเวลาเดียวกันนั้นภายใต้การควบคุมด้วยพลังจิตของหลิงหยุน ตราหยกจักรพรรดิก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นจนมีน้ำหนักกว่าห้าพันกิโลกรัมลอยอยู่เหนือศรีษะ และตราบใดที่หลิงหยุนสั่งการ ตราหยกขนาดใหญ่ราวกับภูเขานั้นก็จะกดทับลงมาทันที!
“ห๊ะ!นี่เขาสามารถควบคุมทุกอย่างพร้อมๆกันได้ในคราวเดียวเลยรึ?”
ใครบางคนร้องอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจเพราะภาพที่กระบี่เหินเงาธนูและกระบี่กังฉีกำลังทิ่มแทงเข้าใส่เกราะเพชรไร้พ่ายไม่หยุด ในขณะที่ตราหยกจักรพรรดิก็ลอยอยู่เหนือศรีษะ ส่วนตัวหลิงหยุนเองก็ยังคงใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ฟันใส่ร่างของหลวงจีนจื้อเหนิงด้วยเช่นกัน!
หลวงจีนเจ้าปัญญาได้งุนงงสับสนเวลานี้ไม่เพียงหลวงจีนอาวุโสจะต้องคอยรับกระบี่ในมือของหลิงหยุน ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยรับกระบี่เหินเงาธนูและกระบี่กังฉีไปด้วย อีกทั้งยังต้องคอยหลบตราหยกจักรพรรดิที่พร้อมจะกดทับลงมาได้ทุกเมื่อด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราหยกจักรพรรดิที่ขยายใหญ่จนมีน้ำหนักถึงห้าพันกิโลกรัมนั้นต่อให้หลวงจีนอาวุโสจะหลบหลีกเช่นใด ก็ยากที่จะหลบหลีกรัศมีของมันพ้นได้!
เมื่อถูกหลิงหยุนโจมตีรอบด้านพร้อมกันเช่นนี้หลวงจีนจื้อเหนิงจึงไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป แม้กระบี่เหินเงาธนูและกระบี่กังฉีของหลิงหยุนจะมีพลังจู่โจมที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่รุนแรงเท่ากระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของเขา!
และที่หลิงหยุนทำเช่นนี้ได้ก็เพราะเขาได้เผาเสินหยวนไปนับร้อยหยด พลังจิตของเขาจึงได้แข็งแกร่งอย่างมาก
เพียงแค่พริบตาเดียวที่หลวงจีนจื้อเหนิงต้องรับมือกับหลิงหยุนถึงสี่อย่างพร้อมกันเช่นนี้แม้เกราะเพชรไร้พ่ายจะยังคงใช้งานได้ดี แต่ความเร็วของหลวงจีนอาวุโสก็เริ่มถดถอยและแววตาดูคล้ายจะอ่อนล้าลงมาก
ฉึก!
หลังจากที่กระบี่เหินเงาธนูและกระบี่กังฉีทิ่มแทงเกราะเพชรไร้พ่ายของหลวงจีนจื้อเหนิงอยู่นับสิบๆครั้งในที่สุดมันก็สามารถแทงทะลุแสงสีทองที่ครอบคลุมร่างของหลวงจีนอาวุโสเข้าไปได้ แต่ก็ยังไม่สามารถทะลวงเข้าไปทำร้ายร่างกายของหลวงจีนรูปนี้ได้
ในระหว่างที่หลิงหยุนประมืออยู่กับหลวงจีนเจ้าปัญญาเย่ซิงเฉินก็กำลังประมืออยู่กับสิบแปดอรหันต์วัดเส้าหลินเช่นกัน!
แต่ภาพการต่อสู้ของเย่ซิงเฉินกับเหล่าสิบแปดอรหันต์ของวัดเส้าหลินนั้นก็แตกต่างจากภาพการต่อสู้ระหว่างหลิงหยุนกับหลวงจีนจื้อเหนิงอย่างสิ้นเชิง เพราะภาพที่คนทั้งสิบเก้าคนกำลังประมือกันนั้น ได้รับความสนอกสนใจจากยอดฝีมือรอบๆมากกว่า
อีกทั้งเวลานี้เย่ซิงเฉินกลับไม่ได้ใช้วิชาของพรรคมารเลยนางใช้วิชาสุญตาดูดดาวควบคู่กับมังกรพรางร่างซึ่งตอนนี้นางฝึกสำเร็จถึงขั้นสูงจนสามารถใช้วิชาเงาลวงตาได้แล้ว และความเร็วของวิชาเงาลวงตานั้น แม้แต่สิบแปดอรหันต์แห่งเส้าหลินยังไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ชายกระโปรงของนางด้วยซ้ำไป
“ดวงจันทร์ร่วงหล่นดวงดาราร่วงโรย!”
เย่ซิงเฉินไม่ใช้อาวุธในการต่อสู้กับศัตรูแต่ใช้พลังของวิชาสุญตาดูดดาวดึงดวงจันทร์และดวงดารามาใช้แทนอาวุธ!
แล้วดวงดาวสิบแปดดวงก็พุ่งออกจากจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเย่ซิงเฉินก่อนจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นดวงดาวที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์ราวหนึ่งเมตร และดูคล้ายกับเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่กำลังส่องสว่างอยู่บนท้องนภา น้ำหนักของดาวดาวแต่ละดวงในเวลานี้ล้วนไม่ต่ำกว่าหนึ่งตัน!
ในระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) และจิตหยั่งรู้อันทรงพลังที่มีรัศมีกว้างไกลถึงหกเมตร ทำให้เย่ซิงเฉินสามารถใช้พลังจิตควบคุมดวงดาวที่มีขนาดใหญ่ราวกับดาวเคราะห์ทั้งสิบแปดดวงนั้น ให้หมุนรอบเหล่าสิบแปดอรหันต์วัดเส้าหลินด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์!
ยิ่งเข้าสู่สนามต่อสู้จริงๆเย่ซิงเฉินก็ยิ่งคนพบอานุภาพของวิชาสุญตาดูดดาว ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวที่ขยายใหญ่ น้ำหนักที่หนักอึ้ง และความเร็วในการหมุน ทั้งสามอย่างล้วนทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงและแรงดึงดูดที่รุนแรง!
การหมุนของดาวเคราะห์ล้วนทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงเช่นเดียวกับโลกไม่เพียงดวงดาวแต่ละดวงจะดึงดูดซึ่งกันและกัน แต่มันยังดึงดูดคู่ต่อสู้ไม่ให้สามารถทรงตัวอยู่ได้ ทุกคนต่างก็เซไปเซมาทำให้สูญเสียความแข็งแกร่งของตนไป ช่างน่าสงสารยิ่งนัก!
แม้แรงดึงดูดที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ได้รุนแรงอะไรมากนักแต่ก็สามารถทำให้เหล่าหลวงจีนทั้งสิบแปดคนไม่สามารถทรงตัวให้แน่นิ่งได้ ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของค่ายกลสิบแปดอรหันต์ลงลงด้วย! เหล่าสิบแปดอรหันต์ต่างก็จ้องมองดาวเคราะห์ดวงดาราที่กำลังหมุนรอบตนเองอยู่ด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่
ตูม!ปัง!
เสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งมันคือเสียงที่สิบแปดอรหันต์เส้าหลินซัดฝ่ามือเข้าใส่เหล่าดวงดาวทั้งสิบแปดดวงนั่นเอง แต่เมื่อดวงดาวถูกซัดดับไปหนึ่ง เย่ซิงเฉินก็ปลดปล่อยมาอีกสอง เพราะภายในจุดซือไห่ของนางนั้นยังมีดวงดาวอีกมากมายนับไม่ถ้วน..
เย่ซิงเฉินนึกอัศจรรย์ใจในพลังของวิชาสุญตาดูดดาวยิ่งนักนางจึงยังไม่รีบร้อนที่จะสังหารเหล่าหลวงจีนเร็วนัก เพราะต้องการใช้สิบแปดอรหันต์เส้าหลินเป็นคู่ฝึกให้ตนเองคุ้นเคยกับวิชาที่ล้ำเลิศนี้เสียก่อน!
“สวรรค์!นั่นมันอะไรกัน ไม่ใช่พลังปราณนี่!”
เหล่ายอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าดวงดาวขนาดใหญ่คล้ายดาวเคราะห์เล็กๆนั้น ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังปราณในร่างกายสร้างขึ้นมา!
ถูกต้องแล้ว..เพราะดวงดาวที่เย่ซิงเฉินปลดปล่อยออกมานั้นไม่ใช่พลังปราณ แต่มันคือพลังดวงดาวที่เย่ซิงเฉินได้ดูดซับเข้าไปนั่นเอง และเวลานี้นางก็ใช้วิชาสุญตาดูดดาวควบคุมดวงดาวเหล่านั้น..
“นั่นไม่ใช่พลังปราณนี่มันพลังอะไรกัน”
“วิชานี้น่ากลัวยิ่งนักต่อให้มีคนมากกว่าก็ไร้ประโยชน์!”
หลังจากที่ทดลองใช้‘ดวงจันทร์ร่วงหล่นดวงดาราร่วงโรย’ แล้ว เย่ซิงเฉินจึงหันมารวบรวมกระแสดวงดาวในจุดตันเถียนของตนเองแทน จากนั้นจึงปลดปล่อยพายุหมุนดาราเข้าใส่คู่ต่อสู้!
ในเวลานั้นดาวเคราะห์ดวงดาวทั้งสิบแปดดวงก็ยังคงหมุนด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่พายุหมุนดาราก็พุ่งเข้าใส่เช่นกัน สิบแปดอรหันต์เส้าหลินถูกทั้งพายุดาราและดาวเคราห์ดวงดาวหมุนรอบจนไม่สามารถมองเห็นร่างของเย่ซิงเฉินได้ ทำให้พวกเขาทั้งตื่นตกใจ และกำลังเวียนศรีษะอย่างมาก!
ภาพที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนเวลานี้ราวกับภาพจำลองของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เหล่ามวลมนุษย์สัมผัสได้ว่า ตนนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆในจักรวาลเท่านั้น และได้สร้างความหวาดผวา ท้อแท้สิ้นหวังให้กับผู้ที่พบเห็นอย่างมาก
“ฮ่า..ฮ่า.. ได้เวลาที่ข้าต้องสังหารพวกเจ้าแล้ว!”
เย่ซิงเฉินยกมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วเหล่าดวงดารามากมายก็พุ่งออกมาจากจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของนาง แล้วจึงขยายใหญ่หมุนรอบสิบแปดอรหันต์เส้าหลินอย่างรวดเร็ว!
จากนั้นดวงดาวขนาดใหญ่ก็ได้พุ่งชนกับร่างของสิบแปดอรหันต์เส้าหลิน จนลอยละลิ่วออกไปทีละคน และเวลานี้ร่างของหลวงจีนทั้งสิบแปดคนก็ได้ลอยกระเด็นไปทุกทิศทาง! “สนุกจริงๆ!”
เย่ซิงเฉินร้องอุทานออกมาพร้อมกับตบมือด้วยความสนุกสนาน
หลังจากสนุกจนพอแล้วเย่ซิงเฉินก็ได้เรียกดาบคู่ที่เป็นรูปครึ่งวงกลมคล้ายดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ออกมา
และมันก็คือดาบคู่มารสะบั้นเทวะที่เป็นอาวุธประจำตัวของเย่ซิงเฉินนั่นเอง!