บทที่ 449

ช่วงบ่าย ณ บ้านตระกูลซ่ง

อู๋ตงไห่และอู๋ซินก็ตั้งใจเลือกของขวัญ แล้วสองพ่อลูกก็รีบไปยังบ้านตระกูลซ่ง

คุณท่านซ่งรู้แล้วว่าพวกเขามายังเมืองจินหลิง และรู้ว่าลูกหลานของตระกูลเขาพบกับอะไรบ้าง ดังนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะมาที่บ้านตนเองเร็วอย่างนี้

แต่ว่า ในเมื่อลูกชายคนโตและหลานคนโตของตระกูลอู๋มาถึงที่ คุณท่านซ่งก็ต้องเกรงใจเป็นธรรมดา เลยออกมาต้อนรับเอง

อู๋ตงไห่และอู๋ซินนั่งฝั่งดก้ารับแขก คุณท่านซ่งนั่งฝั่งตรงข้าม ลุงวีก็ยกน้ำชาให้กับทุกคน ยุ่งตัวเป็นเกลียว

อู๋ตงไห่เอาของขวัญจำนวนมากยกขึ้นมา แล้วก็ยกมือคำนับพูดว่า “ไม่ได้พบคุณอาซ่งเสียนานเลย ไม่คิดว่าอาซ่งยังร่างกายแข็งแรงดีช่างน่าอิจฉาจริงๆ ครับ!”

คุณท่านซ่งก็ยิ้มๆ แล้วพูดว่า “ร่างกายผมไม่นับว่าแข็งแรงหรอก อย่างมากก็ยังสามารถทำอะไรเองได้ ยังไม่ตายง่ายๆ”

อู๋ตงไห่รีบพูดว่า “คุณอาซ่งช่างถ่อมตัวจริงๆ”

เขาก็พูดเสริมว่า “คุณอาซ่งครับ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าร่างกายคุณอาไม่ค่อยดี แต่วันนี้เห็นว่าสีหน้าก็สดใสดี ดูเหมือนว่าร่างกายจะดีขึ้นมากแล้ว?”

คุณท่านซ่งก็ยิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “ตอนแรกผมก็คิดว่าร่างกายจะดีขึ้นมากแล้ว แต่วันนี้ก็เพิ่งรับรู้ว่า ผมยังไม่นับว่าดีขึ้นมากเท่าไรนัก”

อู๋ตงไห่ได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ แล้วพูดว่า “คุณอาซ่งครับ แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าดีขึ้นล่ะครับ?”

คุณท่านซ่งก็ยิ้มๆ แล้วพูดว่า “สามารถกลับมาเหมือน10ปีที่แล้วภายในคืนเดียว อย่างนั้นถึงจะเรียกว่า ดีขึ้น!”

ตอนที่พูดประโยคนี้ ในหัวของคุณท่านซ่งก็นึกถึง ซือเทียนฉีที่ล้มล้างความคิดเก่าๆ และทำให้เขาต้องตกตะลึง

ตั้งแต่กัลบมาจากจี้ซื่อถัง ในใจเขาก็ยังคงนึกถึงไม่หยุด ถึงขนาดคาดหวังในใจ

ตนเองจะได้มีวาสนาดีๆ เช่นนี้ตอนไหนกันนะ จะได้ถือว่าไม่เสียชาติเกิด

แต่ว่า อู๋ตงไหล่จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาพบกับอะไรมา ยังนึกว่าเขาพูดล้อเล่น ก็เลยหัวเราะพูดเสริมไปว่า “มีคำพูดหนึ่ง ดอกไม้มีวันผลิบานอีกครั้ง แต่คนไม่มีทางกลับไปหนุ่มได้อีก คุณอาซ่งหวังอยากจะหนุ่มขึ้น10ปี ผมก็หวังเช่นกัน แต่เสียดาย สุดท้ายมันก็เป็นเพียงความหวัง ไม่สามารถเป็นจริงได้”

คุณท่านซ่งก็ยิ้มนิ่งๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

อู๋ตงไห่คิดว่าไม่สามารถเป็นจริงได้ นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นกบในกะลา ไม่เคยพบกับมังกรในโลกมนุษย์อย่างอาจารย์เย่ ดังนั้น ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายปัญหานี้ให้กับเขา

ดังนั้น คุณท่านซ่งก็เลยถามเขาว่า “เอ่อ ตงไห่ ลูกชายคนรองของแก ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

อู๋ตงไห่ก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ก็ยังเหมือนเดิมครับ ใช้ทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรพัฒนาขึ้น ผมได้ส่งเขาไปที่ซูหางแล้ว”

พอพูดถึงเรื่องนี้ อู๋ตงไห่ก็พูดอีกว่า “ที่ผมและเสี่ยวซินยังไม่ได้กลับ ก็เพราะอยากรู้ว่า ทำไมลูกชายคนรองของผมถึงเป็นเช่นนี้ ผมสงสัยว่าเขาจะถูกคนปองร้าย อาจจะเป็นไปได้ว่าถูกคนสะกดจิตอะไรสักอย่าง หรืออาจะเกี่ยวข้องกับคาถาอาคมอะไรสักอย่าง

ในแถบเอเชียอาคเน ไม่ทราบว่าคุณอาซ่งพอจะรู้ว่าในเมืองจินหลิง มีคนที่มีความสามารถด้านนี้หรือเปล่าครับ?”

คุณท่านซ่งก็ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ที่แกพูดถึงเรื่องคาถาอะไรนั่น อาก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ยังไม่เคยเห็น และไม่อาจตัดสินได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

อู๋ตงไห่ก็ตั้งใจพูดว่า “คาถาอาคม คุณไสย์ เลี้ยงกุมาร เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องจริง แต่มันเป็นวิชาสายมืด คนที่ใช้ของพวกนี้ ล้วนเป็นชั่ว หรือไม่ก็อยากจะรวย หรืออยากจะเป็นลูกน้องของคนใหญ่คนโต ตระกูลใหญ่อย่างพวกเรา ไม่ค่อยสนใจของพวกนี้”