คฤหาสน์ของบารอนเบรนเซลล์อยู่ในสภาพรกร้างมากขึ้น หลังจากเปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้ง หญ้าขึ้นรกเนินเขาหลังคฤหาสน์ ภายใต้แสงตะวันยามเช้า มีหยดน้ำค้างกลิ้งอยู่บนยอดหญ้า

น้ำค้างหยดลงบนกองกระดูก มีรอยเปียกจางๆ

ซากกองกระดูกของงูตัวใหญ่สั่นไหว แล้วก็กลับมานิ่งไร้ชีวิตชีวาอีกครั้ง รอบตัวเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้ มีเสือที่มีปีกตัวหนึ่ง ขนและเนื้อของมันเน่าเฟะ น้ำหนองเหลืองๆ ไหลมาจากทุกจุด ผีกินศพที่น่าสะพรึงกลัวส่งกลิ่นไอความสยดสยองและกลิ่นเหม็นเน่าของมันออกไป วิญญาณผีร้ายอีกนับไม่ถ้วนก็ลอยไปลอยมาบนท้องฟ้าซึ่งไม่กลัวแสงตะวัน… ดูเหมือนเนินเขาแห่งนี้กลายเป็นโลกใต้พิภพที่เต็มไปด้วยพวกที่ไม่ยอมตาย

ท่ามกลางดงอันเดด ชายคนหนึ่งดูไม่ต่างอะไรกับโครงกระดูก ใช้มือซ้ายที่ซีดเซียวและมัวหมองสัมผัสก้อนหิน และมองดูเมืองด้วยดวงตาที่ครุ่นคิด

ที่ประตูเมือง ชายวัยกลางคนในชุดคลุมบิชอปกำลังเดินไปที่โบสถ์ด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านบิชอป” ทุกคนที่เดิยผ่านต่างโค้งคำนับและทักทายเขา เขาคืออาร์โรโย บิชอปแห่งอาสนวิหารของเมือง เขาเป็นนักบวชที่เคร่งศาสนาจัด

อาร์โรโยทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนบนหน้าอกและสวดอวยพรเป็นนิสัย “พระเจ้าคุ้มครองพวกเราทุกคน”

เขาก็เดินเยื้องย่างถึงทางเข้าโบสถ์เป็นปกติ อัศวินสองสามแสดงความคารวะ เขาก้าวเดินขึ้นบันไดและหายเข้าไปในประตู

แสงศักดิ์สิทธิ์เลือนลางคลุมเครือล้อมรอบประตู ทำให้ทุกอย่างเคร่งขรึมและบริสุทธิ์

อาร์โรโยหยุดตรงกลางห้องโถงและสวดอ้อนวอนด้วยความศรัทธา “สัจจะคงอยู่นิรันดร์!”

แล้วเขาก็เดินออกจากประตูด้านข้าง ไปรายงานนักบวชแดงถึงสถานการณ์ความศรัทธาในเมือง หมู่บ้าน และคฤหาสน์ที่อยู่ใกล้เคียง

หลังจากจบการรายงาน เขาเริ่มตรวจสอบทั้งโบสถ์ให้มั่นใจว่าไม่มีข้อบกพร่องจากความประมาทหรือการดูหมิ่นศาสนา หลังเสร็จจากตรวจสอบ ก็ถึงเวลาแห่งสวดมนต์ การสำนึกบาป และการเรียนรู้

นี่เป็นวิถีปฏิบัติที่ซ้ำๆ ซากๆ ของเขาในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ยกเว้นเพียงว่าเขาไต่เต้าจากนักบวชฝัดหัดที่ช่วยงานบิชอปกลายเป็นบิชอปที่โดดเด่นที่สุดในโบสถ์เมืองนี้ เขาได้เห็นความรุ่งเรืองและล่มสลายของหลายๆ ตระกูลในเมืองนี้

“เราต้องสำนักในพรของพระเจ้า” เขาสวดอ้อนวอนจากก้นบึ้งของหัวใจ

รู้ตัวอีกทีเขาก็เข้าไปในห้องที่มีการติดตั้งวงเวทส่งสัญญาณ เขาจึงตรวจสอบความสมบูรณ์ของห้องด้วยความระแวดระวังยิ่งขึ้น จนแน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามายกเว้นคนที่มีหน้าที่

“ดีมาก ไม่มีอะไรผิดพลาด” ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขามีรอยยิ้ม ขณะมองวงเวทส่งสัญญาณที่ส่องแสงระยิบระยับ

ทันใดนั้น เขาก็ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าวงเวทส่งสัญญาณเต็มไปด้วยพลังงานชั่วร้าย จนเหมือนประตูสู่นรกหรือเข้าสู่ขุมนรก

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวโดยอัตโนมัติ มีนักบวชทรยศ และเจ้าแห่งนรกกำลังบุกรุกสถานที่แห่งนี้!

“ไม่ ต้องทำลายมัน!” ทันทีที่เขาตัดสินใจ เขาก็เข้าใจในทันทีว่าเขาไม่อาจทำลายวงเวทส่งสัญญาณได้เร็วพอด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา ทางออกเดียวคือการรวมพลังและระเบิดตัวเอง!

ด้วยความรู้สึกพร้อมพลีชีพอันแรงกล้า เขาสืบเท้าไปข้างหน้าและประกาศว่า “สัจจะคงอยู่นิรันดร์!”

นักบวชสองสามคนที่ติดตามถึงกับตะลึงกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เสียดแทงออกมาจากตัวอาร์โรโย แล้วโลกทั้งใบก็เหมือนเพียงความมืดมิดหลังจากระเบิด

ตู้ม!

วงเวทส่งสัญญาณถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ห้องทั้งห้องพังไม่เหลือ

นักบวชสีแดงผู้ดูแลโบสถ์สำคัญๆ รู้สึกตกใจสุดขีด เขาไม่อยากจะเชื่อว่าบิชอปจะทรยศต่อพระเจ้าและเต็มใจทำลายวงเวทส่งสัญญาณของพระเจ้า

แล้วเขาก็นึกถึงเวทมนตร์ระดับเก้าบทขึ้นมา เวทล้างสมองกับเวทแทรกแซงความจำ!

แต่แม้แต่นักเวทชั้นตำนานก็ยังไม่อาจใช้เวททั้งสองบทได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ ถึงขนาดที่เหยื่อเต็มใจทำตามเป้าหมายโดยไม่ต่อต้านเลย!

นักเวทพวกนี้ต่อกรด้วยยากที่สุด และคนอย่างพวกมันน่ากลัวที่สุด!

ตู้ม!

อีกจุดหนึ่งของเมือง แกนกลางควบคุมวงเวทพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกลำแสงจากการระเบิดพลีชีกลืนกินเช่นกัน

ตู้ม! ตู้ม!

หลังจากได้ยินเสียงระเบิดสองครั้งติดต่อกัน ชายร่างผอมกะหร่องตรงกลางเนินเขานอกเมืองก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขามีทั้งความอ่อนไหวและความโหดร้าย

ฮู่ๆๆๆ!

พวกอันเดดบนเนินเขาร้องโหยหวนขึ้นพร้อมๆ กัน ผุดขึ้นจากพื้นดินเต็มไปหมด

ชายร่างผอมลอยตัวมุ่งหน้าไปที่เมือง ทั้งด้านหลังและด้านล่างของเขาเต็มไปด้วยอันเดดที่กลับมาจากขุมนรกเพื่อแก้แค้น!

เวรยามที่ประตูเมืองกำลังตรวจตราคนที่เข้าออกเมือง แล้วก็รู้สึกว่าท้องฟ้ามืดมิด พวกเขาแหงนหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว และก็ต้องตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวและความซีดเซียว

บนท้องฟ้า ตัวประหลาดที่มีเพียงกระดูกและเนื้อเน่าเฟะลอยตัวบดบังแสงอาทิตย์และนำมาซึ่งความตาย ในกลุ่มพวกมัน มีนักเวทศาสตร์มืดผู้ชั่วร้ายที่ไม่สวมหมวกคลุมหัวปิดบังใบหน้า

ขาของพวกเขาสั่นจนล้มลง ผู้คนที่เข้าแถวรอเข้าเมืองต่างแตกตื่นด้วยความตกใจ ล้มลงกองกับพื้น เมื่อกองทัพอันเดดใกล้เข้ามา

พวกอันเดดไม่ส่งเสียงหรือแตกแถว พวกมันไม่สนใจชาวบ้าน พวกมันโอบล้อมประตูเมือง ผ่านเข้ามาทั้งทางประตู กำแพง และบนฟ้า

“ข้าศึกบุก!”

นักบวชและอัศวินตามจุดต่างๆ ทั่วเมืองต่างกระโดดโหยง เมื่อเผชิญหน้ากับนักเวทศาสตร์มืดบนท้องฟ้า

นักเวทศาสตร์มืดคนนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าคือวิเซนเต้ ข้ากลับมาแล้ว…”

“ฆ่ามัน!” แสงศักดิ์สิทธิ์และหอกยาวพุ่งเข้าใส่วิเซนเต้

ด้วยความเกลียดชังที่เก็บงำมานานบนใบหน้าที่เหี่ยวแห้ง วิเซนเต้แหงนหน้าขึ้นและส่งเสียงโหยหายที่น่าขนลุกขนพอง

เมื่อคลื่นเสียงกระจายไปทั่ว วิญญาณผีผู้หญิงที่ร้องโหยหวนมากมายก็ออกมาเต้นระบำ นักบวชและอัศวินที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศก็ร่วงลงกระแทกพื้นเหมือนห่าฝน ส่วนคนที่ไม่บินไม่ได้ก็ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นภาพนั้น

ใบหน้าของวิเซนเต้เยือกเย็น ขณะมองนักบวชแดงกำลังดิ้นรนต่อต้าน “เวทผีสาวโหยหวน” เขายกมือซ้ายขึ้นชี้ไปที่นักบวชแดง

เส้นขนสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากร่างของนักบวชแดง สภาพร่างของเขาเหี่ยวเฉาเหมือนศพ แล้วเขาก็ร่วงลงจากอากาศอย่างไร้แรงต้าน ร่างกระจัดกระตายเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีเลือดสักหยด

วิเซนเต้มองลงไปที่เมืองแล้วก็ลอยลงไป เขายืนตรงหน้าอัศวินวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ถือดาบยาวในมือ

“อย่า… อย่า… อย่าฆ่าข้าเลย…” อัศวินวัยกลางคนกลอกตาด้วยความตื่นตระหนกและผงะถอยหลัง อัศวินรอบๆ ตัวเขาก็กลัวลนลานเกินกว่าจะช่วย

วิเซนเต้พูดด้วยเสียงแหบพร่าและแสบแก้วหู “แอนดรูว์”

“เจ้า… เจ้ารู้จักข้า เจ้า… เจ้าคือวิเซนเต้!” ดวงตาของแอนดรูว์เบิกโพลง เมื่อจำนักเวทศาสตร์มืดผู้น่าสะพรึงกลัวตรงหน้าได้ ชายผู้นี้ดูเหมือนเดิมเมื่อยี่สิบปีก่อนทุกอย่าง ยกเว้นใบหน้าของเขาที่ไม่มีก้อนเนื้ออยู่แม้แต่น้อย!

วิเซนเต้ค่อยๆ เดินเข้าไปหาแอนดรูว์ “เจ้าเป็นคนแจ้งเรื่องข้า และฆ่าเชอร์ลีย์”

“ข้า… ข้าไม่เกี่ยว ‘หมาบ้า’ เป็นคนทำ ข้าไม่คิดว่ามันจะฆ่าเชอร์ลีย์” แอนดรูว์แทบน้ำตาแตก

“บ้าหมา? มันอยู่ไหน?” วิเซนเต้ถามอย่างเย็นชา และพร้อมเข้าไปในสมองของเขา ถ้าไม่ได้คำตอบ

แอนดรูว์สารภาพทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด “‘หมาบ้า’ เป็นที่โปรดปรานของพระคาร์ดินัลหลวงที่ฆ่านักเวทได้มาก เขาเลื่อนขั้นไปประจำเมืองโคคัสแล้ว”

“โคคัส? เดี๋ยวก็เจอกัน… “ วิเซนเต้มองไปทางทิศเหนือ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและความเกลียดชังที่ไม่มีวันจางไป

แล้วเขาก็จ้องกลับมาที่แอนดรูว์ “ใครเกี่ยวข้องอีกบ้าง”

“มี… มีโลเทล กูน เทมเมอร์ และโบนดิกเกอร์ พวกเขาเป็นคณะไต่สวนที่นี่” แอนดรูว์เปิดเผยชื่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“ดีมาก ขอบคุณสำหรับความจริงใจของเจ้า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าด้วยตัวเอง” วิเซนเต้ยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม กองทัพอันเดดด้านหลังรุมขย้ำทั้งหน้าทั้งหลัง

“ไม่!”

เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชและเจ็บปวดดังสะท้อนไปทั่ว ขณะที่อันเดดรุมฉีกและกลืนกินเนื้อแอนดรูว์จนเหลือแต่กระดูก

วิเซนเต้มองไปที่บรรดาขุนนางที่รวมตัวกัน โลเทลกับกูนถูกคนอื่นๆ ลากตัวออกมา วิเซนเต้ก็โบกมือทั้งสองร่ายเวท ร่างของขุนนางทั้งสองคนเริ่มเน่าเปื่อยและกลายเป็นซอมบี้

“วิเซนเต้ พกวเราไม่มีส่วนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เราเองก็เสียใจกับการตายของตระกูลเบรนเซลล์เหมือนกัน เราจะไม่ห้ามเจ้าแก้แค้น แต่ได้โปรดอย่าฆ่าคนบริสุทธิ์” อัศวินที่เป็นผู้นำพยายามสงบสติอารมณ์และขอร้องอย่างจริงใจ

วิเซนเต้พูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าช่วยนางได้ แต่พวกเจ้าไม่ทำ”

แล้วกองทัพอันเดดก็โหมเข้าขย้ำ รุมกินพวกขุนนาง

หลายนาทีผ่านไป วิเซนเต้ก็เหยียบย่ำลงบนกองกระดูกหน้าประตูคณะไต่สวน ผู้พิทักษ์ราตรีส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงเทมเมอร์ เพิ่งถูกฆ่าตายไปหมาดๆ

“พระเจ้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!” ผู้สอบสวนที่ยังเหลือในคณะไต่สวนจ้องวิเซนเต้ตาเขม็ง

วิเซนเต้ปล่อยให้กองทัพอันเดดรุมขย้ำพวกเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ เหลือเพียงเสียงกรีดร้อง และโบนดิกเกอร์ผมหงอกเป็นคนเดียวที่ยังไม่ตาย

“เสียดายที่ข้าหาตัวเจ้าไม่เจอ!” โบนดิกเกอร์ยังดูมาดมั่นและมีศรัทธาแรงกล้า

“เจ้าจะมีเวลาให้เสียดายเหลือเฟือ” วิเซนเต้พูดเสียงแหบนุ่ม ไม่ต่อปากต่อคำกับเขา

เพลิงไฟสีขาวลุกโชนออกมาจากวิญญาณของโบนดิกเกอร์ แผดเผาเขาจนเขาร้องด้วยความเจ็บปวด

“พระเจ้าจะ… อ๊ากกกกก! …จะลงโทษเจ้า!

“ไม่!

“อ๊าก! ฉิบหาย เมตตาด้วย! เมตตาด้วย!

“เมตตาด้วย!”

วิเซนเต้เดินไปที่สุสานโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งชายที่กำลังร้องทรมานไว้ข้างหลัง เสียงร้องค่อยๆ เงียบลง ชาวบ้านทั่วไปกลัวเกินกว่าจะหายใจ เมืองทั้งเมืองเงียบราวกับไร้ชีวิต

ในความเงียบงัน วิเซนเต้เข้าไปในสุสานและเดินมาถึงหลุมฝังศพที่เห็นในฝันมาตลอด

หลุมฝังศพเปิดออกอย่างไร้เสียง แล้วโลงศพก็ลอยขึ้นมา

วิเซนเต้เดินไปที่ข้างโลงศพ คุกเข่าลง แล้วเปิดโลงออกอย่างนุ่มนวล

“เชอร์ลีย์ ข้ามารับเจ้า” ฝาโลงค่อยๆ เปิดออก แววตาเย็นชาของเขาก็ค่อยๆ อ่อนโยนลง และแสดงออกถึงความรักและความรู้สึกผิด

ภายในโลงศพ มีโครงกระดูกนอนสงบนิ่งอยู่

วิเซนเต้โน้มตัวลงจูบโครงกระดูกอย่างนิ่วนวล ราวกับอยู่ในความฝัน เขาก็พูดขึ้น “เชอร์ลีย์ ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างจะเรียบร้อย เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

น้ำตาหยดลงบนหน้าเชอร์ลีย์

ยอมให้วิญญาณวิปลาสและไล่ตามความตาย ไม่ใช่เพื่อคามเป็นอมตะ แต่เพื่อให้เจ้ากลับมา!

…………………………………………………………………………………..