เขาส่งร่างแยกออกไปกว่าร้อยร่างแล้วเริ่มกระทำการค่ายกลด้วยความยากลำบาก วัสดุมูลค่ากว่าแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลก็คือวัสดุสำหรับวางค่ายกลนั่นเอง!
เมื่อผู้บำเพ็ญสำแดงท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งต่างๆ ออกมา ก็ต้องใช้พลังจิตเป็นอย่างมาก แต่หากวางค่ายกลตามความเร้นลับของท่าไม้ตายให้ดี เช่นนั้นแค่ใช้พลังจิตเล็กน้อยอย่างยิ่งก็สามารถกระตุ้นขึ้นมาได้แล้ว! อย่าง ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ หนึ่งในท่าไม้ตายทั้งสามของยุทธวิธีหิมะเหินของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ต้องเสียพลังจิตของร่างแยกทั้งเก้าไปกว่าครึ่งจึงสามารถสำแดงออกมาได้สำเร็จ
แต่หากวางค่ายกลสำเร็จ ค่ายกลหนึ่งแห่ง ค่ายกลสองแห่ง…ค่ายกลสิบแห่ง! ค่ายกลร้อยแห่ง!
ขอเพียงผสานกันให้ดี เพียงชั่วความคิดเดียว ก็สามารถทำให้ค่ายกลนับร้อยระเบิดออกมาพร้อมกัน เท่ากับสำแดง ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ นับร้อยกระบวนท่าออกมาพร้อมกัน
แม้แต่ละกระบวนท่าจะไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศคอยส่งเสริม แต่การเปลี่ยนแปลงด้านจำนวนก็เพียงพอจะเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพได้แล้ว!
แน่นอนว่า…
จะลงมือกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งที ค่ายกลที่วางเอาไว้ก็ไม่สามารถเป็นกระบวนท่าเดียวกันทั้งหมดได้ มิเช่นนั้นแล้วก็จะมีข้อบกพร่องชัดเจนเกินไป ต้องวางกระบวนท่าที่แตกต่างกันเอาไว้ให้หมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีข้อได้เปรียบประมุขรัฐเมฆทักษิณา อย่างใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง! ก็คือถึงไม่อาศัยค่ายกล ร่างแยกของเขาก็สามารถปะทุพลังรบขั้นสุดยอดออกมาได้ กระบวนท่าต่างๆ ของยุทธวิธีหิมะเหินที่เขาวางเอาไว้ เดิมทีก็มีอานุภาพใหญ่หลวงอย่างยิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อค่ายกลค่อนข้างน้อยทับซ้อนกัน…ก็สามารถเทียบกับผู้ไร้ศัตรูได้แล้ว! อย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณา ในสถานการณ์ที่ไม่อาศัยแรงภายนอก ก็อ่อนแอกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงได้สิ้นเปลืองวัสดุในการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแกร่งให้นครหลวงรัฐเมฆทักษิณามากกว่านับสิบเท่า เมื่ออยู่ในนครหลวงจึงสามารถเทียบกับ ‘สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู’ ได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพื้นฐานแน่นหนา กระบวนท่าแข็งแกร่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าเสียหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลไปเพื่อซื้อวัสดุก็คงเพียงพอแล้ว!
แข็งแกร่งกว่านี้น่ะหรือ
ภายในเมือง ต่อให้แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอยู่ขุมหนึ่งแล้วจะมีความหมายอันใดกันเล่า อย่างมากก็แค่กดดันสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเท่านั้น สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็จากไปได้อย่างง่ายดายแล้ว เมื่อตนออกจากเมืองไป พลังก็สามารถคืนสภาพเดิมได้ทันที!
******
ค่ายกลแผ่คลุมไปทั่วทั้งตัวเมือง
เนื่องจากมีขนาดใหญ่พอจึงสามารถวางค่ายกลได้ค่อนข้างง่าย หากจะวางค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ ลงบนอาวุธซึ่งสามารถพกติดตัวได้น่ะหรือ ความยากก็จะพุ่งทะยานขึ้นไปเป็นร้อยเป็นพันเท่าแล้ว
เคราะห์ดีที่มีขอบเขตใหญ่พอทั้งยังเป็นค่ายกลคงที่ มูลค่าหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลจึงเพียงพอ
“วิ้ง”
ร่างแยกนับร้อยร่างลำบากยากเย็นเป็นเวลากว่าหมื่นปี
ทั้งเมืองหิมะเหินค่ายกลแผ่คลุมอยู่มากมาย ‘จวนจ้าว’ ก็มีค่ายกลหลักอยู่ด้วยเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพกจานค่ายกลหลักที่สำคัญที่สุดติดตัวเอาไว้อีกด้วย ซึ่งจานค่ายกลหลักนี้เป็นทั้ง ‘จุดเริ่มต้น’ และ ‘ศูนย์กลางการควบคุม’ มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถควบคุมค่ายกลที่ยิ่งใหญ่อันน่าหวาดหวั่นทั่วทั้งเมืองหิมะเหินได้
“เอาล่ะ ค่ายกลจำนวนมากสามารถประสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินพลางเหลือบมองลงไปทั่วทั้งตัวเมือง การรับรู้สายหนึ่งกลับแทรกซึมผ่านค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลอมแปรและควบคุมทั้งตัวเมืองก่อนแล้ว และแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่งอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลเก็บสะสมอยู้ในตัวเมือง มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แต่กลับแทรกซึมอยู่ทุกที่ ราวกับเส้นชีพจรอย่างไรอย่างนั้น
ในเมืองหิมะเหิน…
เขาคือผู้ไร้ศัตรู! ทุกการกระทำล้วนสามารถเหนี่ยวนำพละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดได้
“คิดไม่ถึงว่าข้าจะสำเร็จได้ในเวลาหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจมาก ค่ายกลนี้จะผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ขัดแย้งกันก็มีเงื่อนไขของระดับขั้นที่สูงมาก ขั้นตอนการวางค่ายกลก็เป็นการทบทวนวิถีอากาศอีกครั้ง
“วิ้ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
ภายในเมืองหิมะเหินมีค่ายกลถึงสามสิบแห่งที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาพร้อมกัน ค่ายกลบ้างก็เหมือนกัน บ้างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สอดคล้องกัน ทำให้ค่ายกลเหล่านี้เหมือนกับฟันเฟืองที่ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ และขณะเดียวกับที่ค่ายกลถูกกระตุ้นขึ้นมานั้น ณ ส่วนลึกของชั้นเมฆกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินก็มีน้ำวนดำทะมึนปรากฏขึ้น น้ำวนฉีกทึ้งทุกสิ่งจนกลายเป็นผุยผง ทำให้ผนังของโลกกำเนิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างง่ายดายและเชื่อมเข้ากับมิติในระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น พลังคละถิ่นแผ่กำจายเข้ามา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าน้ำวนอันดำมืดนี้ เกรงว่าหากปกคลุมคนระดับอย่าง ‘จวินอ๋องดำ’ เกรงว่าเพียงพริบตาเดียว จวินอ๋องดำก็คงต้องบิดเบี้ยวและแหลกเป็นผุยผงไป
หากพูดถึงอานุภาพแล้ว ก็ยังแข็งแกร่งกว่า ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ ที่ตนอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงออกมาอยู่ขุมใหญ่
ล้วนแต่สามารถข่มขวัญสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูซึ่งหน้าได้
“เพียงชั่วความคิดเดียวก็มีอานุภาพถึงเพียงนี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
“บรรพชนดั้งเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงยังยอดเขาซึ่งสูงที่สุดในเมืองหิมะเหิน แม่เฒ่าอิงซานกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่บนยอดเขา นิ่งราวกับหินก็มิปาน นางใฝ่ฝันที่จะได้ก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลมาโดยตลอด แต่ก็จนใจที่ก้าวนี้มิได้ก้าวออกไปได้ง่ายๆ
หากกล่าวว่า…
การบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอด คือการที่วิถีทั้งสายบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ในที่สุด ถือเป็นขีดสุดของวิถีสายหนึ่ง
ส่วนการสำเร็จเป็นเทพจักรวาลนั้น ก็คือกาทำให้แขนงหนึ่งในวิถีสายหนึ่งบรรลุถึงขีดสุด! ก้าวนี้ก็ยากลำบากอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
“อ้อ เสวี่ยอิง มีเรื่องอันใดรึ” แม่เฒ่าอิงซานเปิดเปลือกตาขึ้น มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางหัวเราะคิกคัก สำหรับลูกหลานรุ่นหลังของตระกูลอิงซานคนนี้แล้ว นางพึงพอใจมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการบำเพ็ญแก่นางมากมาย คัมภีร์และทรัพยากรภายนอก…หากสามารถช่วยได้เขาก็ช่วยไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแต่การก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลนี้นั้น จะต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก!
“บรรพชนดั้งเดิม ขอท่านได้โปรดเรียกรวมตัวลูกหลานตระกูลอิงซาน ผู้ที่สามารถมายังเมืองหิมะเหินได้ ให้พวกเขามายังเมืองหิมะเหินจะดีที่สุดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ตอนนี้ลูกหลานกว่าครึ่งก็อยู่ในเมืองหิมะเหินแล้ว เหตุใดจึงต้องเรียกรวมตัวอีกเล่า” แม่เฒ่าอิงซานสงสัย
บัดนี้เมืองหิมะเหินเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐเมฆทักษิณาแล้ว มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ตระกูลอิงซานก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ลูกหลานกว่าครึ่งจึงรวมตัวกันอยู่ที่นี่! แม้แต่แม่เฒ่าอิงซานก็ยังอยู่ที่นี่แล้ว ทว่าตัวเมืองทั้งหลายในอดีตก็ยังคงรักษาเอาไว้ อย่างบรรดาอ๋องโหวขั้นอลวนบางคนก็ชมชอบที่จะผู้บัญชาการเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพังมากกว่า ดังนั้นจึงยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงอยู่ด้านนอก
“เกรงว่าในภายหน้าข้าคงจะมีศัตรูตัวฉกาจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “หากอยู่ที่อื่น ข้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้ หากอยู่ในเมืองหิมะเหิน ข้ามั่นใจว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้”
“ศัตรูตัวฉกาจหรือ” แม่เฒ่าอิงซานตกใจ แต่กลับมิได้ตระหนักเลยว่าวาจาของตงป๋อเสวี่ยอิงเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร
แม่เฒ่าอิงซานแค่มองว่าที่เมืองหิมะเหินนี้ มีร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สามารถป้องกันได้ทันท่วงที
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดยิ้มๆ “เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็แล้วกัน ให้ลูกหลานตระกูลอิงซานอยู่ในเมืองหิมะเหินให้หมด อย่างน้อยสักสิบล้านล้านปีเถิดขอรับ”
“ได้ ข้าจะเตรียมการให้เอง แต่แล้ถึงอย่างไรหากตัวเมืองเตรียมคนเอง แล้วไม่ยอมมาจริงๆ ก็คงไม่ต้องฝืนใจอะไรกันมากเกินไปหรอกนะ” แม่เฒ่าอิงซานถาม
“เรื่องนั้นก็ตามใจเถิดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ที่กล่าวว่าสิบล้านล้านปี
เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่า สิบล้านล้านปี…ให้อย่างไรตนก็ควรจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว! อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดในโลกกำเนิดกำลังขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน จวนจะถึงการแตกสลายครั้งใหญ่เข้าไปทุกทีๆ เวลาที่เหลือให้ตนก็ไม่นานนักแล้ว! ทว่าตนก็แปดสายหลอมรวมกัน สายที่เก้าซึ่งเป็นสายสุดท้ายก็กำลังอยู่ระหว่างการบำเพ็ญ ตนสั่งสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และตนยังมีบุปผาโลกาสองดอกที่ยังมิได้รับรู้ ให้อย่างไร สิบล้านล้านปีก็ควรจะบรรลุได้แล้ว
ทั้งยังต้องบรรลุให้ได้ด้วย! หากไม่บรรลุ แล้วภรรยาจะทำเช่นไรเล่า
******
เมื่อแม่เฒ่าอิงซานออกปาก ขั้นอลวนตระกูลอิงซานแต่ละคนที่ทราบเข้าก็พากันตกอกตกใจ เมื่อถูกเชื่อมโยง ระดับอย่างพวกเขาจะต้องถูก ‘ร่างแห’ เข้า ถึงอย่างไรก็แค่สิบล้านล้านปีเท่านั้น แต่ละคนรีบส่งร่างจริงมายังเมืองหิมะเหิน เหลือเพียงร่างแปรที่ทิ้งเอาไว้เพื่อรักษาตัวเมืองเดิมเท่านั้น ตัวเมืองแต่ละแห่งที่ตระกูลอิงซานเป็นผู้ควบคุม ลูกหลานกลุ่มใหญ่มาถึงเมืองหิมะเหิน ที่เหลืออยู่เพื่อรักษาเมืองก็เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอันมาก
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมการทุกสิ่งพร้อมสรรพแล้ว ก็สงบจิตบำเพ็ญต่อไป
ในยามนี้เอง
ภายในดินแดนจิตโลกายังเกิดอุปสรรคใหญ่ขึ้นมา
สัตว์ประหลาดเฒ่าตนหนึ่งซึ่งมีนามว่า ‘บรรพชนแมลง’ รุ่งโรจน์ขึ้นมา เหมือนเขาจะมีความแค้นกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ จึงได้สังหารขั้นอลวนของ ‘สกุลฝาน’ และ ‘สกุลเซี่ย’ ไปหลายคน ท้ายที่สุดแม้แต่สกุลเซี่ยและสกุลฝานก็ยังสูญเสียเทพจักรวาลไปตระกูลละคน ต่อมา ‘บรรพชนฝาน’ ก็ออกหน้าด้วยตนเอง บรรพชนแมลงสู้ไม่ได้แต่กลับหลบหนีไปทันที นี่คือผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่รับมือได้ยากยิ่งคนหนึ่ง
สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูจะสังหารขั้นสุดยอดก็ยากมาก
หลังจากบรรพชนแมลงรุดหนีไป ก็กลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เพียงแต่ว่ารัฐโบราณคิมหันตวายุก็ตรวจสอบ…ว่าที่แท้แล้วพวกเขาไปผูกความแค้นกับบรรพชนแมลงตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ แต่กลับตรวจสอบไม่พบ สัตว์ประหลาดเฒ่าบรรพชนแมลงตนนี้เร้นลับและเก็บเนื่อเก็บตัวเกินไป ครั้งก่อนที่เขาก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้นมา นั่นยังเป็นสมัย ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ ตอนนั้นเขาเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิกลืนโลกา
……
ณ เกาะจันปา
“ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลงสัตว์ประหลาดเฒ่าตนนี้บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะออกไปแก้แค้นก็เป็นเรื่องปกตินัก เพียงแต่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่านี่…ไปผูกความแค้นกับขั้นอลวนระดับรากฐานของสกุลเซี่ยสกุลฝานตั้งแต่เมื่อใดกัน” ประมุขเกาะจันปานั่งอยู่บนบัลลังก์พลางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ถึงอย่างไรเขาก็มีชื่อเสียงมานมนานยิ่งนัก ต่อให้ผูกความแค้น ก็ควรจะผูกความแค้นกับพวกเทพจักรวาลของรัฐโบราณคิมหันตวายุมากกว่ากระมัง ผูกความแค้นกับขั้นอลวนหรือ น่าแปลกๆ”
ประมุขเกาะจันปาพลันกำหนดจิตคราหนึ่ง “น้องรอง”
ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างผอมสูงผู้หนึ่งเร่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่” บุรุษร่างผอมสูงเรียก
“ครั้งก่อนที่พวกเราเกาะจันปาบูชาโลหิตในเมืองอันหยากู่นั้น โชคไม่ดีพบกับยอดฝีมือที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นั่นคนหนึ่ง” ประมุขเกาะจันปาพูดยิ้มๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดว่าโชคไม่ดี เนื่องจาก ‘กระจกยลฟ้า’ ทำได้เพียงส่องดูพื้นที่บางส่วนอยู่ห่างๆ เท่านั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเข้ามายังเมืองอันหยากู่ พวกเขากลับมิทันได้สังเกต ยังคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองอันหยากู่มาตั้งนานแล้ว
“ข้าจะหลอมแปรแก่นวิญญาณโลหิต จัดเตรียมการบูชาโลหิตอีกครั้งเถอะ” ประมุขเกาะจันปาพูดพลางยิ้มตาหยี “ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาล บังเอิญครั้งหนึ่งก็แล้วไปเถิด ไม่มีทางบังเอิญอีกเป็นครั้งที่สองได้”
ทั้งดินแดนจิตโลกามีขั้นสุดยอดทั้งหมดสักกี่คนกันเชียว
ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนั้น
“พี่ใหญ่วางใจเถิด ข้าจะต้องเตรียมการให้ดีแน่นอน” บุรุษร่างผอมสูงเอ่ยขึ้น
……………………………………..