ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 23 ทัศนียภาพอันงดงามล้ำเลิศที่สุด

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เมืองฟู่จวินก็เป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง ประชากรนับล้านล้านคน เจ้าเมืองฟู่จวินก็เป็นยอดฝีมือขั้นอลวนคนหนึ่ง อยู่ภายในเมือง พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น

เสียงเครื่องดนตรีสะท้อนก้องอยู่ภายในโถงตำหนัก เหล่าสาวงามโลดเต้นฟ้อนรำ

เจ้าเมืองฟู่จวินกำลังรับรองแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งอยู่ พูดคุยหัวเราะอย่างติดลมบน

“ปัง”

ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองฟู่จวิน

“แย่แล้ว” เจ้าเมืองฟู่จวินสีหน้าแปรเปลี่ยน แล้วเคลื่อนที่ในพริบตาหายลับไปจากบนที่นั่งประธาน มาถึงยังกลางท้องฟ้าเบื้องบน

ฟิ้วๆๆ…

ด้านข้างมีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน มียอดฝีมือใต้บังคับบัญชา แล้วก็มีแขกเหรื่อที่รับเชิญมางานเลี้ยงในครั้งนี้จำนวนหนึ่ง

พวกเขามองท้องฟ้าเบื้องบนที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้กลางอากาศไกลออกไปมีมารกำลังควบคุมขวดสีดำใบหนึ่งอยู่ ขวดสีดำแผ่ระลอกคลื่นจางๆ ปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่งในปราการเมือง มีพลพรรคมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏตัวขึ้นที่ทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวินแล้วเริ่มต้นทำการสังหารหมู่ตามอำเภอใจ ขณะที่วิญญาณถูกสังหารหมู่ มีพลังวิเศษแผ่กระจาย ถูกระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างดึงดูดให้เข้าไปภายในขวดสีดำนั้นจนหมดสิ้น

“ขวดมารบูชาโลหิต!”

“เป็นการบูชาโลหิต!”

ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงรวมทั้งตัวเจ้าเมืองฟู่จวินด้วย

กล้าบูชาโลหิตเมืองแห่งหนึ่ง ขุมอำนาจที่ทำเรื่องชั่วร้ายพรรค์นี้ได้ ไม่มีแม้แต่หนึ่งเดียวที่มิใช่ผู้บัญชาการมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน! มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานพรรค์นั้นก็เป็นผู้ที่เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าไม่ตาย

ผู้ที่อยากขจัดความชั่วร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายนัก แต่ผู้ที่มีพลังยุทธ์พอจะทำเช่นนี้ได้ก็มีน้อยเสียจนน่าสงสาร ในบรรดาผู้แกร่งกล้าที่มีความสามารถ ผู้ที่เต็มใจจะริเริ่มทำการขจัดมารก็เกรงว่าจะมีเพียงน้อยนิดแค่สองสามคนเท่านั้น ที่น่าอนาถที่สุดก็คือ… แม้ว่าจะเป็นเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่สูงส่งเหนือผู้ใดก็ยังมีความกระดากใจ มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานบางคนที่พวกเขาฆ่าไม่ตาย แต่บรรดาพญามารเหล่านั้นกลับมิใคร่จะสนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชาสักเท่าใดนัก ในทางกลับกันก็สามารถเข้าไปในรัฐโบราณ ก่อให้เกิดภัยตามอำเภอใจ

ดังนั้นผู้ที่เต็มใจจะทำการขจัดมาร เมื่อคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตใต้บังคับบัญชาของตนก็ยอมแพ้เสียแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา พวกเขาก็ยินยอมแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาจัดการกับมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเหล่านี้เป็นการเฉพาะแล้ว

“หมดกัน”

“การบูชาโลหิต การบูชาโลหิตมาเยือนแล้ว”

ในใจของพวกเจ้าเมืองฟู่จวินแต่ละคนสิ้นไร้ความหวัง บรรดาแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ในบรรดาพวกเขามีผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนอยู่หลายคน แต่ก็เพียงแค่ส่งร่างแปรมา ส่วนร่างจริงก็ยังต้องนั่งประจำการยังที่มั่นอยู่

“เจ้าเมืองฟู่จวิน โปรดอภัยที่พวกข้าไร้ความสามารถ”

“โอ๊ย นี่คือมารแห่งเกาะจันปา ต้านไม่ไหวหรอก” ทันใดนั้นมีแขกที่ร่างแปรสลายไปในทันที

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย”

“ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมือง”

ด้านข้างก็มีบางคนที่ติดตามมายังเมืองฟู่จวินพร้อมกับแขกเหรื่อ แต่ร่างจริงมาที่นี่ก็ขอความช่วยเหลือ เพียงแต่อาจารย์ของพวกเขาและเหล่าเจ้าเมืองกลับส่ายศีรษะ บ้างก็เงียบงัน บ้างก็มองดูศิษย์ใต้บังคับบัญชาของตน “ท่านอาจารย์ช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ไหว เผชิญหน้ากับเกาะจันปา ท่านอาจารย์ก็เป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น ก็ขึ้นกับโชคชะตาแล้วล่ะ!”

พวกเขาถึงขนาดที่ทิ้งร่างแปรเอาไว้ ความกล้าในการห้ำหั่นกับมารสักนิดก็ไม่มี กลัวเพียงแต่ว่าจะไปยั่วยุเกาะจันปาเข้า! พวกเขาเพียงแค่ต้องการอยู่ให้ห่างได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“ไม่…”

“ท่านอาจารย์…”

ผู้บำเพ็ญจำนวนมากมายล้วนสิ้นหวังหาใดเปรียบ

ล้านล้านชีวิตทั่วทั้งปราการเมืองต่างก็จมอยู่กับความสิ้นหวังในชั่วพริบตา แม้กระทั่งเจ้าเมืองฟู่จวินก็ยังทุกข์ทนกระวนกระวาย

“เจ้าเมืองฟู่จวินหรือ” พร้อมกับเสียงหัวเราะเยียบเย็น กองกำลังย่อยสามคนของมารขั้นอลวนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาแตรละคนต่างก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าเมืองฟู่จวินเสียอีก สามคนร่วมมือกัน เจ้าเมืองฟู่จวินก็ไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด” เจ้าเมืองฟู่จวินกลับค้อมกายลงขอร้องในทันที

บรรดาลูกน้องและชนเผ่าที่อยู่ข้างๆ เขาเห็นท่านเจ้าเมืองของตนไม่มีความกระหายในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับขอร้องเสียแล้ว ก็รู้สึกเจ็บปวดเศร้าโศกยิ่งนัก

“ไว้ชีวิตหรือ ก็มิใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้เจ้าก็ฟังบัญชาของพวกข้า ควบคุมค่ายกลทั่วทั้งเมืองฟู่จวินให้ช่วยเหลือพวกข้าสิ” มารขั้นอลวนทั้งสามต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา ถึงอย่างไรทั้งปราการเมืองก็ใหญ่โตเกินไป สิ่งมีชีวิตมากมายเกินไป อ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าจะทำการสังหาร ก็ต้องรักษาการสังหารให้ดีเป็นครู่ใหญ่! ถ้าหากมีเจ้าเมืองฟู่จวินใช้ค่ายกลช่วยเหลือ เช่นนั้นก็จะรวดเร็วขึ้นมาเลยทีเดียว

“ได้สิ” เจ้าเมืองฟู่จวินขบกราม เขาเองก็เศร้าโศกเสียใจมิใช่น้อยที่ต้องหักหลังประชากรในเมืองทั้งหมด เพียงแต่บำเพ็ญมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ จิตแห่งวิถึของเขาทั้งหมดก็เพื่อตนเองเท่านั้น! ขอเพียงแค่ตนเองมีชีวิตรอด ทั้งตระกูลล่มสลายแล้วอย่างไรเล่า ตระกูลยังมีสาขาอยู่ข้างนอก ผ่านระยะเวลาอันยาวนานก็จะแกร่งกล้าเช่นเดิม

หากแต่ตนจบเห่แล้ว เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญเปล่า

“ข้าสามารถช่วยเหลือลูกๆ ของข้าได้หรือไม่” เจ้าเมืองฟู่จวินเอ่ยถาม

“เจ้าอยากตายหรือ” มารขั้นอลวนที่เป็นผู้นำคนหนึ่งสีหน้าเข้มขึ้น

“ไม่ๆ” ทันใดนั้นเจ้าเมืองฟู่จวินก็มิกล้าพูดมากอีก

……

ทั้งปราการเมืองฟู่จวินต่างก็ตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนกและสิ้นหวังขนานใหญ่ ภายในเมืองก็มีตำหนักย่อยของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์อยู่ รับศิษย์ที่นี่ เป็นถึงสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็แทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ปราการเมืองที่นับได้ว่าค่อนข้างใหญ่โตอย่างเมืองฟู่จวิน ก็ต้องมีฐานที่มั่นอยู่แล้ว

“การบูชาโลหิต เหล่ามารแห่งเกาะจันปามาบูชาโลหิตแล้ว” เหล่าศิษย์ของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่ตำหนักย่อยแห่งนี้สิ้นหวังหาใดเปรียบ แล้วรายงานข่าวขึ้นไปในทันที

พวกเขานับได้ว่าเป็นระดับรากหญ้าที่สุดของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์แล้ว

ย่อมไม่เคยคิดมาก่อนอยู่แล้วว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมาช่วยพวกเขา เพราะว่าแม้กระทั่งตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็มีบางเรื่องที่ไม่กล้าทำ พวกมารต่างก็ไม่มีศีลธรรมจรรยา แต่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้นกลับมีศีลธรรมจรรยาเป็นอย่างยิ่ง

ข่าวคราวถูกรายงานขึ้นไป

เพียงไม่นานข่าวคราวก็ขึ้นไปถึงตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว

*****

ณ เมืองหิมะเหิน

ธูปหอมดอกหนึ่งลุกไหม้อยู่ภายในห้องเงียบ กลิ่นหอมแผ่กำจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งสมาธิอยู่ที่นั่น หลับตาบำเพ็ญด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังพยายามสั่งสมหมายจะให้เก้าสายผสานรวมกันได้สำเร็จไปถึงระดับสุดยอด ผสานรวมจากสิ่งที่ตระหนักรู้ในเจ็ดกระบวนคละถิ่นและเคล็ดวิชาบางส่วนของวิถีอากาศ แล้วคิดค้นยุทธวิธีหิมะเหินออกมาด้วยตนเอง สามกระบวนสังหารในนั้นยังเป็นวานที่ตงป๋อเสวี่ยอิงภาคภูมิใจ ตอนนี้เพราะว่าเขาหยั่งรู้แสงทิพย์วิญญาณ์ ก็กำลังทดลองคิดค้นกระบวนสังหารที่สี่ออกมา

กระบวนการคิดค้นกระบวนสังหารออกมา ก็คือการสั่งสมการตระหนักรู้ การบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ น้ำหยดลงหินทุกวันจนหินกร่อน

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นในทันใด นัยน์ตามีแววโกรธแค้นสายหนึ่ง “บูชาโลหิตเมืองฟู่จวินหรือ แล้วยังเป็นเกาะจันปาด้วยอย่างนั้นหรือ”

เห็นเพียงว่ารูปลักษณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่เปลี่ยนแปลงไปในทันใด เปลี่ยนแปรกลายเป็นรูปลักษณ์ของบุรุษที่ดูแปลกตาคนหนึ่ง รูปแบบของอาภรณ์ขาวก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เดิมทีซ่อนเร้นกลิ่นอาย กลิ่นอายที่ปลอมแปลงออกมาก็เยียบเย็นเต็มไปด้วยไอชั่วร้าย

พรึ่บ

รอยแตกสีดำที่อยู่ด้านข้างกะพริบวาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายลับไปไม่เห็นอีก

เพราะว่าห้วงมิติเมืองฟู่จวินถูกปิดผนึก คิดอยากช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ วิธีการธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานั้นกลับสามารถเข้าไปได้!

……

ณ เมืองฟู่จวิน

ภายในเรือนพักธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง รอยแยกสีดำกะพริบวาบขึ้นกลางอากาศ ก็คือบุรุษอาภรณ์ขาวใบหน้าแปลกตาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

เสียงตะโกนร้องไห้ เสียงคำรามอย่างโมโห และเสียงของการห้ำหั่น…เสียงต่างๆ นานาแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งของเมืองฟู่จวิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านวิถีอากาศ ก็รับสัมผัสถึงเหตุการณ์ทั่วทุกหนแห่งของเมืองฟู่จวินได้โดยตรง ถึงแม้ว่าตั้งแต่เริ่มทำการบูชาโลหิต ถึงข่าวสารจะแพร่ไปว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมา เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ระยะเวลาอันแสนสั้นเท่านั้นแต่กลับมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ถูกสังหารหมู่

‘พินิจดู’ เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดในแต่ละแห่ง แววสังหารในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นก็มิอาจปิดบังได้

“เกาะจันปา! คราวก่อนผลาญพลพรรคของพวกเจ้า คราวนี้พวกเจ้ายังกล้าบูชาโลหิตอีก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงอย่างโมโห เสียงตะโกนอย่างโมโหนี้ดังก้องไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวินอย่างน่าประหลาด ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือตรงขึ้นไปด้านบนอย่างเยียบเย็น…

ตูม!

กลางเวหาด้านบนพลันระเบิดในทันใด

รอยแยกของห้วงอากาศหลายร้อยสายแผ่ไปทั่วในทันที รอยแยกของห้วงอากาศสายแล้วสายเล่าจำนวนมากมายกระจายปกคลุมส่วนใหญ่ของเมืองฟู่จวิน กวาดผ่านพลพรรคมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แล้วเหล่ามารขั้นอลวนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของรอยแยกของห้วงอากาศก็ถูกผลาญสังหารไปในทันที ไม่มีผู้ที่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อยสักคนเดียว

“ไม่”

“เป็นเขาอีกแล้ว!”

ได้ยินเสียงตะโกนอันโกรธเคืองที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวิน เหล่ามารที่เคลื่อนไหวที่เกาะจันปาในครั้งนี้ต่างก็หวาดหวั่นเสียแล้ว

พวกเขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์ของดินแดนจิตโลกา

อยากจะตะโกนอย่างโกรธเคืองให้ดังก้องไปทั่วทั้งปราการเมืองอันใหญ่โตมโหฬาร เทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว! แต่มารขั้นอลวนหลายคนในบรรดานั้นที่ควบคุมขวดมารบูชาโลหิตและค่ายกลก็ ‘พบตัว’ บุรุษอาภรณ์ขาวที่ตะโกนอย่างโกรธเคืองผู้นั้นแล้วก็อดที่จะตกใจเสียจนสั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณมิได้

เป็นเขา! ผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นที่คราวก่อนล้างผลาญพลพรรคมารแห่งเกาะจันปากลุ่มหนึ่งของพวกเขาที่เมืองอันหยากู่ โชคร้ายอะไรเช่นนี้ คราวนี้เขาก็อยู่ที่เมืองฟู่จวินด้วยหรือ

ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้คิดอะไรมาก

รอยแยกของห้วงอากาศที่บิดเบี้ยวก็ทะลุผ่านปราการเมืองผ่านห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่น กวาดผ่านพวกเขา

พวกเขาแต่ละคนล้วนพินาศย่อยยับ

และภายในปราการเมือง

เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีสิ้นหวังต่างก็วิปลาสกันไปเป็นจำนวนมากแล้ว พวกเขารู้ว่า ‘การบูชาโลหิต’ มีความหมายเช่นไร! แม้กระทั่งท่านประมุขรัฐผู้สูงส่งของพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าพญามารที่น่าหวาดหวั่นที่อาจหาญทำการบูชาโลหิตก็ยังต้องตัวสั่นงันงก ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้! ‘การบูชาโลหิต’ คือฝันร้ายของทั้งดินแดนจิตโลกา

“คราวก่อนเกาะจันปาผลาญทำลายพลพรรคกลุ่มหนึ่งของพวกเจ้า! คราวนี้พวกเจ้ายังกล้าทำการบูชาโลหิตอีก!” เสียงตะโกนดังลั่นสะท้อนก้องไปทั่วทุกหนแห่งของปราการเมือง

เสียงตะโกนดังลั่นนี้แฝงไว้ด้วยความเดือดดาลน่าหวั่นเกรง

แล้วยังทำให้เหล่าประชากรในเมืองที่สิ้นหวังจำนวนนับไม่ถ้วนเมื่อได้ยินแล้วต่างก็พากันตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน แต่พร้อมกันนั้นก็พากันยินดีจนแทบคลั่ง! ผู้ที่อาจหาญเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้ อาจหาญท้าทาย ‘เกาะจันปา’ ได้ จะต้องเป็นผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นระดับสุดยอดของดินแดนจิตโลกาอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นท่านประมุขรัฐของพวกเขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาเลย

ภายในใจของเหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มีความหวังพุ่งพรวด

จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามล้ำเลิศที่สุดที่พวกเขาเคยได้เห็นตลอดชั่วชีวิตนี้…

รอยแยกของห้วงอากาศขนาดมหึมาสายแล้วสายเล่าแผ่ไปทั่วทั้งผืนฟ้าราวกับงูใหญ่ที่บิดร่างตัวแล้วตัวเล่า

สำหรับประชาชนธรรมดาทั่วไปแล้ว พลังวิสัยของพวกเขาก็มิอาจมองเห็นทั่วทั้งปราการเมืองได้ พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่ามีรอยแยกของห้วงอากาศแผ่เข้ามาจากริมขอบฟ้า บิดเบี้ยวแพร่ผ่าน มารทั้งหมดในทัศนวิสัยของพวกเขา มารที่ดูน่าหวาดหวั่นมิอาจต่อกรได้ เมื่ออยู่ต่อหน้ารอยแยกอันน่าหวั่นกลัวเช่นนี้ ต่างก็พินาศย่อยยับไปในทันที

“งดงามเกินไปแล้ว”

ประชากรมากมายต่างก็จดจำภาพเหตุการณ์นี้เอาไว้ เหตุการณ์ที่พวกเขามิอาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต

“เมื่อไหร่ข้าจะโชคดีมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้บ้างหนอ” เด็กและเหล่าผู้เยาว์จำนวนมากต่างก็เกิดความหวังพรั่งพรูขึ้นในใจ ขณะนี้ในใจของพวกเขาต่างก็มีผู้แกร่งกล้าที่ยกย่องนับถือและปลาบปลื้มที่สุดแล้ว ก็คือผู้แกร่งกล้าที่กล้าเป็นอริกับเกาะจันปา ช่วยเหลือเมืองของพวกเขา และสำแดงเคล็ดวิชาที่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้ออกมาผู้นั้นนั่นเอง!

……………………………………….