บทที่ 2749 เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ 4
ระหว่างเดินทางเขาถึงขั้นที่ไม่ได้ติดต่ออันใดกับคนในตำหนักเลยด้วย แน่นอน ไม่ได้ติดต่อไปหานางเลยเช่นกัน หมางเมินไม่ถามไถ่ถึงนางอย่างแท้จริง
เทพสงครามหญิงนางนั้นยังสอบถามตี้ฝูอีอย่างคล้ายจะคุยเล่นไปเรื่อยว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อภรรยาตน?
ตี้ฝูอีคล้ายจะไม่ใส่ใจ ส่ายหน้า ยิ้มแวบหนึ่ง “ไม่มีความเห็นอันใด ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้ามีชีวิตมาหลายร้อยล้านปีแล้ว วางเฉยต่อเรื่องความรักไปเนิ่นนานแล้ว นางเป็นเพียงสตรีสามัญที่ข้าผู้ทรงสิทธิ์รู้จักตอนลงไปฝ่าด่านเคราะห์ที่โลกเบื้องล่างเท่านั้น ยามนั้นอาจจะรักล้ำลึก แต่พอหวนคืนวิถีลิขิตสวรรค์ย่อมไม่นำพามาใส่ใจแล้ว เพียงถึงอย่างไรนางก็เคยตั้งครรภ์ธิดาให้แก่ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้า ถึงแม้ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าจะสลายครรภ์มารนั้นทิ้งไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำร้ายนางไปด้วย ย่อมต้องรับนางมาเลี้ยงดูอยู่ข้างกายเพื่อชดเชยให้ ถึงอย่างไรตำหนักของข้าผู้ทรงสิทธิ์ก็ใหญ่โต เลี้ยงคนไร้ความสามารถคนหนึ่งไหวอยู่แล้ว”
“ท่านออกจากการกักตนแล้วจะไม่ไปเยี่ยมนางหน่อยหรือ?”
“ไม่มีอันใดต้องเยี่ยมเยือนนี่ ตำหนักนั้นของข้าปลอดภัยยิ่งนัก อีกทั้งนางยังสูญสิ้นพลังยุทธ์ไปหมดแล้ว เท่ากับกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ขอเพียงนางอาศัยอยู่ในตำหนักอย่างว่าง่ายก็ไม่มีทางเกิดเรื่องใดๆ ขึ้น ตอนนี้ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าคร้านจะพบนาง มองนางเป็นเพียงของตกแต่งชิ้นหนึ่งในตำหนักเท่านั้น”
….
กู้ซีจิ่วกระอักโลหิตพ่นใส่บานกระจก ทำให้กระจกวิเศษบานนั้นปิดลงด้วยตัวเอง
นางยืนอยู่ตรงนั้นมองกระจกวิเศษอย่างเลื่อนลอยอยู่พักหนึ่ง นางรู้สึกว่าชีวิตของตนเหมือนเรื่องตลก อุตสาหะทุ่มเทมาเนิ่นนาน กลับมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นของตกแต่งในชีวิตของผู้อื่นเท่านั้น…
ในที่สุดนางก็ตอบรับคำขอวิวาห์ของฟั่นเชียนซื่อ แลกกับการที่ฟั่นเชียนซื่อต้องสอนวรยุทธ์ที่เลิศล้ำให้นาง นางต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่สนใจว่าต้องแลกด้วยอะไร
ฟั่นเชียนซื่อย่อมตอบตกลง ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดพลังยุทธ์ให้นางเท่านั้น ยังถ่ายเทพพลังยุทธ์ส่วนหนึ่งของตนให้นางด้วย ทำให้วรยุทธ์ของนางพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตะลึง
และในระหว่างนี้ ตี้ฝูอียังคงไม่ถามไถ่ยินยลถึงนาง ไม่ได้มาหานางเลย
ถ้ากู้ซีจิ่วจะแต่งงานใหม่ก็ต้องทำลายกำไลคู่บุพเพที่เชื่อมต่อกับตี้ฝูอีทิ้ง เมื่อกำไลคู่บุพเพแตกหักก็หมายความว่าชีวิตคู่ของนางกับตี้ฝูอีมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เมื่อก่อนนางไม่มีพลังยุทธ์ที่จะทำลายมัน แต่หลังจากวรยุทธ์ของนางบำเพ็ญจนถึงระดับที่แน่นอนแล้ว แต่คิดจากใจจริงว่าการทำลายสิ่งนี้ไม่ได้ยุ่งยากจนเกินไปอีกแล้ว
ในที่สุดนางก็ทำลายกำไลวงนั้น มองกำไลสลายเป็นแสงรุ้งเลือนหายไป นางรู้ว่าตนไม่ใช่ภรรยาของตี้ฝูอีอีกต่อไปแล้ว
ฟั่นเชียนซื่อเริ่มจัดเตรียมงานวิวาห์ งานวิวาห์ยิ่งใหญ่นัก เลื่องลื่อไปทั่วสี่สมุทรแปดดินแดน
ฟั่นเชียนซื่อยังคงมีมีชื่อเสียงยิ่งนักในสี่สมุทรแปดดินแดน พอถึงเวลามีผู้คนมากันมากมาย ในบรรดานั้นมีตี้ฝูอีที่ไม่เผยโฉมออกมาเนิ่นนานแล้วอยู่ด้วย
ทันทีที่ตี้ฝูอีปรากฏตัวขึ้นก็ก่อกวนงานวิวาห์ทันที เขาโกรธเกรี้ยวอย่างมหันต์ ไม่เพียงแต่ทำลายงานวิวาห์เท่านั้น ยังทำลายตำหนักทั้งหลังของฟั่นเชียนซื่อด้วย ถึงขั้นที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวระดับรุนแรงไปทั่วสวรรค์ชั้นฟ้าเลยด้วย แทบจะพังถล่มลงมาแล้ว!
งานวิวาห์ของฟั่นเชียนซื่อถูกก่อกวน ย่อมโกรธกริ้วอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็เข้าต่อสู้กับตี้ฝูอีเลย
ศึกนี้ของพวกเขาย่อมสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สนั่นสั่นไหวพลิกถาโถมไม่ทราบว่าทำลายสวรรค์ไปกี่ชั้นฟ้าแล้ว
และในท้ายที่สุด ฟั่นเชียนซื่อก็ปราชัยให้ตี้ฝูอี ถูกเขาใช้เพลิงอัคคีบัวแดงเผาทั้งเป็น แน่นอน ตี้ฝูอีก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ส่วนกู้ซีจิ่วเห็นฟั่นเชียนซื่อถูกสังหาร ความชิงชังครั้งเก่าความแค้นครั้งใหม่เข้าท่วมท้นหัวใจ นางไม่พูดพร่ำให้มากความก็ลงมือกับตี้ฝูอีเลย…
กระบี่อันน่าตื่นตะลึงเล่มหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นจากแก่นพลังยุทธ์ทั้งหมดของนาง แทงเข้าใส่ตี้ฝูอี
นางต้องการมอบคำอธิบายให้ฟั่นเชียนซื่อ และมอบคำอธิบายให้ตัวเอง
เพียงแต่นางนึกไม่ถึงเลยว่ากระบี่นี้ก็แทงถูกตัวเขาจริงๆ เนื่องจากตอนที่นางแทงออกไป ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่หลบเลย ดังนั้นเขาจึงถูกกระบี่นี้ของนางแทงทะลุหัวใจ ถูกตรึงติดกำแพงเอาไว้ทั้งเป็น
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ไม่มีทางถูกศาสตราวุธใดๆ สังหารได้ แต่เวทวิชาที่ฟั่นเชียนซื่อสอนให้นาง มีสิ่งที่เอาไว้ต่อกรกับเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์โดยเฉพาะอยู่ด้วย…
และเนื่องจากตี้ฝูอีฝ่าฝืนกฏเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ ร่างกายจึงไม่คงกระพันแล้ว
กู้ซีจิ่วก็คือจุดอ่อนของเขา และเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถสังหารเขาอย่างแท้จริงได้
ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงเห็นตี้ฝูอีดับขันธ์ไปภายใต้คมกระบี่ของตน กลายเป็นละอองแสงเลือนหายไป ตอนนั้นคล้ายว่าเขาอยากจะอธิบายอันใด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา…
….
————————————————————————————-
บทที่ 2750 เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ 5
บางทีเขาอาจจะไม่มีเวลาพอได้พูดออกมา ในวินาทีที่ดับขันธ์สลายกลายเป็นละอองแสง เขาเอ่ยออกมาเพียงสองคำเท่านั้น “ลูกเรา…”
กู้ซีจิ่วเห็นเขาสลายหายไปภายใต้กระบี่ตน ตัวคนก็เสียสติไปเลย ค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้น
ฟั่นเชียนซื่อได้รับความนิยมไม่น้อยเลย ส่วนตี้ฝูอีที่เป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ก็ยิ่งได้รับความนิยมมากกว่า ตอนนี้ทั้งสองต่างต้องมอดม้วยไปทั้งคู่เพราะสตรีคนหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่รับไม่ไหวเลยจริงๆ
ไม่มีผู้ใดทราบความจริง พวกเขาเห็นเพียงว่ายอดบุรุษผู้เลิศล้ำในโลกหล้าทั้งสองคนนี้สิ้นลงเพราะสตรีคนนี้
ฝูงชนที่ตกตะลึงตีวงล้อมเข้ามาอีกครั้ง สายตาที่มองกู้ซีจิ่วเสมือนมองโฉมงามกาลีคนหนึ่ง
บางคนด่าทอ บางคนเหยียดหยาม บางคนร้องไห้
นางล้วนไม่มีปฏิกิริยาใดเลย ไม่ได้ยินเสียงเอ็ดอึงโวยวายเหล่านั้นเลย นางเพียงมองมือที่สั่นระริกของตน จากนั้นก็มองดูกระบี่เล่มนั้น นางคล้ายจะเอ่ยกับตัวเอง และคล้ายจะไต่ถามด้วย “ทำไมถึงไม่หลบล่ะ? ทำไมท่านถึงไม่หลบกัน?”
น้ำเสียงนางแหบโหยอย่างยิ่ง เอ่ยถามซ้ำๆ เลื่อนลอยขึ้นเรื่อยๆ
โลหิตสดๆ ที่ตี้ฝูอีหลั่งออกมายังคงเปรอะอยู่บนมือของนาง ไม่ได้ไหลหยดลงพื้น แต่ซึมเข้าสู่ผิวหนังของนาง ราวกับถูกนางดูดซับเข้าไป
ไม่น่าเชื่อว่าโลหิตสดเหล่านั้นจะถูกผิวหนังของนางดูดซับเข้าไปทั้งหมด และตัวนางก็ราวกับได้สติตื่นขึ้นมาจากห้วงฝัน ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง
จู่ๆ นางก็หยิบกระบี่ขึ้นมา รังสีสังหารอันกล้าแกร่งแผ่รัศมีกดดันออกไปรอบกาย บีบให้ผู้ที่มุงด่าทอนางด้วยความโกรธเกรี้ยวเหล่านั้นต้องถอยร่นออกไปหลายก้าวอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้
พวกเขาเพิ่งค้นพบว่าสตรีที่เคยถูกพวกเขามองว่าเป็นแจกันบุปผา ไร้ซึ่งพลังยุทธ์ใดๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว แรงกดดันอันไร้ลักษณ์บนร่างของนางทำให้คนที่มุงล้อมนางอยู่ต้องคุกเข่าลงแทบทั้งหมด
ทุกคนตระหนกลนลาน ร่างกายสั่นเทาอยากจะลุกขึ้นมา ทว่ายืนไม่ขึ้นแล้ว
ทุกคนคิดว่าสงครามนี้จบสิ้นแล้ว ขอเพียงสตรีคนนั้นลงมือกับพวกเขา พวกเขาก็ชะตาขาดกันหมด
กลับคาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วไม่มีท่าทีจะสนใจพวกเขาเลยสักนิด นางทำมุทราร่ายอาคมอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงย่อมมองออกว่าที่นางร่ายอยู่คืออาคมเรียกวิญญาณที่พบเห็นได้ยากแขนงหนึ่ง สามารถเรียกดวงวิญญาณทุกอย่างมาได้ ต่อให้เป็นผู้ที่ดวงวิญญาณแตกสลายไปแล้ว ก็ถูกอาคมนี้เรียกกลับมาได้ถึงสามสี่ส่วน
แต่กู้ซีจิ่วยุ่งง่วนอยู่นานยิ่ง ก็รวบรวมดวงวิญญาณไม่ได้เลยสักเสี้ยว
ในที่สุดนางก็สิ้นหวัง ค่อยๆ หยุดมือ พลันเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง กำกระบี่เล่มนั้นไว้ คมกระบี่บาดลึกเข้าไปในนิ้วของนาง โลหิตสดทะลักออกมา
“ตี้ฝูอี ข้าสังหารท่าน ข้าจะชดใช้ให้ท่านด้วยชีวิต!”
นี่คือวาจาประโยคสุดท้ายที่นางทิ้งไว้ในโลกใบนี้ เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ นางก็ใช้อาคมแขนงหนึ่งระเบิดตัวเองเลย
ฉากสุดท้ายของบิดามารดาที่ตี้เฮ่าได้เห็นในกระจกก็คือฉากนี้ หน้าจอถูกปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิต
ตอนนั้นตี้เฮ่าได้เห็นสถานภารณ์ที่แท้จริงของทั้งฝั่งบิดาและมารดา
เขาเห็นว่าตอนนั้นตี้ฝูอีผู้เป็นบิดาได้ปิดด่านกักตนจริงๆ และเนื่องจากเขาสะเทือนอารมณ์ การปิดด่านกักตนจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง ถึงขั้นที่เนื่องจากห่วงพะวงถึงภรรยาที่อยู่ด้านนอกจิตใจหวั่นไหวจึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก…
ตอนที่กู้ซีจิ่วกระเสือกกระสนคลอดบุตรอยู่ในถิ่นรกร้างกันดาร เป็นตอนที่ตี้ฝูอีถูกธาตุไฟเข้าแทรกพอดี ร่างเขากลายเป็นรูปสลักหยกที่ไร้สติสัมปชัญญะ ตัดขาดจากประสาทสัมผัสทั้งห้า ย่อมไม่ได้ยินเสียงเรียกขานครั้งแล้วครั้งเล่าเหล่านั้นจากกู้ซีจิ่ว
ครั้งนี้อาการธาตุไฟเข้าแทรกของเขานับเป็นโชคในคราวเคราะห์ เนื่องจากพอหลังจากเขาตื่นรู้จากสภาพรูปสลักหยกอย่างยากลำบาก พลังยุทธ์ในร่างก็ฟื้นฟูกลับมากว่าครึ่งแล้ว
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก คิดจะค่อยๆ ปรับลมปราณแล้วออกจากการปิดด่าน กลับคาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้นั่งสมาธิปรับลมปราณ กำไลคู่บุพเพบนข้อมือก็แตกสลายเสียแล้ว…
———————————————————————————–