บทที่ 2747 เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ 2
สุดท้ายก็อับจนหนทาง เขาทำได้เพียงเลือกปิดด่านกักตนฝึกฝน ผนึกตัวเองไว้ในแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง
ตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกู้ซีจิ่วตกต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็งแล้ว เวลากู้ซีจิ่วเห็นหน้าเขาก็ไม่ยอมพูดมากไปกว่าประโยคหนึ่งเลย เมื่อเขาบอกนางเรื่องที่ตนจะปิดด่าน นางก็ไม่มีท่าทีอะไร เพียงเอ่ยถามอย่างเยียบเย็นประโยคหนึ่ง “ท่านปิดด่านแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
เพียงประโยคเดียวก็สกัดกั้นคำพูดท่อนหลังของตี้ฝูอีไปเลย เขาจึงไม่พูดอะไรอีก ตรงไปปิดด่านกักตนทันที
แต่ที่เขาไม่รู้คือ ตอนนั้นกู้ซีจิ่วมีครรภ์ที่สองแล้ว ก็คือตี้เฮ่าน้อย
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะชิงชังตี้ฝูอี แต่ก็ยังคงรักใคร่ลูกคนนี้ยิ่งนัก ด้วยเห็นแก่หน้าลูก ในที่สุดความคับข้องขุ่นเคืองในใจนางก็สลายไปบางส่วนแล้ว
นางอาศัยอยู่ในตำหนักพำนักของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ ชีวิตความเป็นอยู่อันที่จริงแล้วไม่นับว่าดีนัก ถึงอย่างไรเมื่อก่อนนางก็เคยก่อกรรมไว้ไม่น้อย แถมยังทำให้เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ผู้ไร้ใจไร้ปรารถนามาโดยตลอดได้รับโทษทัณฑ์บาดเจ็บเพราะนางอีก ดังนั้นคนในตำหนักเหล่านั้นจึงเห็นนางขัดนัยน์ตาอยู่บ้าง ไม่ยอมพูดคุยกับนางเกินกว่าหนึ่งประโยคเลย
ส่วนเทพเซียนในหกภพภูมิเหล่านั้นก็ค่อนข้างเหยียดหยามนางอยู่บ้าง เพียงแต่ด้วยเห็นแก่หน้าของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์จึงไม่ได้สร้างความลำบากให้นางอย่างแท้จริง แต่ก็เว้นระยะห่างจากนางเช่นกัน
เนื่องจากนางไม่มีวรยุทธ์แล้ว ในตำหนักสวรรค์แม้แต่สาวใช้เล็กๆ คนหนึ่งก็ยังมีวรยุทธ์สูงกว่านาง และสามารถผลักนางให้ล้มหัวทิ่มได้ นางกลายเป็นเพียงแจกันดอกไม้ที่ไร้ประโยชน์ เป็นสวะไร้ค่า
คนมากมายติฉินนินทานางลับหลัง บอกว่าสวะไร้ค่าอย่างนางไม่คู่ควรกับเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์
คำนินทากาเลเหล่านี้เลี่ยงไม่ได้ที่จะแว่วไปถึงหูนางบ้างเป็นครั้งคราว
นางไม่เก็บคำนินทามาใส่ใจสักเท่าไหร่ แต่ใส่ใจเรื่องที่ตนกลายเป็นสวะไร้ค่ายิ่งนัก
นางพยายามคิดหาวิธีเพื่อจะฝึกฝนบำเพ็ญอีกครั้ง แต่ชีพจรในร่างได้รับความเสียหายร้ายแรงเกินไป คิดจะฝึกฝนบำเพ็ญอีกครั้งย่อมยากเย็นเข็ญใจอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ฝึกฝนล้วนเจ็บปวดดุจถูกคมมีดกรีดแทง นางเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อลูกในท้อง จึงได้แต่ล้มเลิกไป
ตี้เฮ่าคือทารกเซียน อยู่ในครรภ์นางถึงสามปีเต็ม!
หากมิใช่เพราะสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของลูกได้เป็นครั้งคราวแล้ว นางแทบนึกสงสัยว่าตนตั้งครรภ์พิสดารแล้ว
และในสามปีนี้ ตี้ฝูอีก็ไม่เคยปรากฏตัวเลย ราวกับลืมเลือนนางไปแล้ว
ถึงปากกู้ซีจิ่วจะไม่พูด แต่ในใจนางยังคงผิดหวังยิ่งนัก
ต่อมาในที่สุดตี้เฮ่าก็ถึงกำหนดคลอด แต่เขาคลอดได้ค่อนข้างผิดจังหวะ
ตอนนั้นกู้ซีจิ่วกำลังท่องเที่ยวคลายความเบื่อหน่ายอยู่ข้างนอก อยู่ในที่กันดารรกร้างแห่งหนึ่งตี้เฮ่าเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และในทันทีที่เคลื่อนไหวก็เกิดความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาปานพายุฝนโหมกรรโชก…
ตอนนั้นข้างกายนางไม่มีใครเลยสักคน นางเจ็บปวดจนไม่อาจเหินเมฆากลับไปที่เรือนได้ ทำได้เพียงเสาะหาสถานที่อับลม คิดจะทำคลอดด้วยตัวเอง
บางทีอาจเป็นเพราะร่างเซียนของเด็กคนนี้ทรงพลังเกินไป ตอนที่กู้ซีจิ่วให้กำเนิดเขาจึงลำบากยากเย็นนัก
ที่นั่นมีสายลมพัดอึงอลไปทั่ว ทุรนทุรายอยู่ในสถานที่ผุผังที่กันดารอย่างยิ่งถึงสิบวันเต็มๆ ท่านบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ถึงถือกำเนิดออกมาได้ในที่สุด…
และในขั้นตอนการให้กำเนิดที่สาหัสสากรรจ์นี้ ตี้ฝูอียังคงไม่โผล่มาเลย
ในตอนที่นางเจ็บปวดจนถึงขีดสุดก็ได้ร่ำไห้ออกมา ร่ำไห้แล้วเรียกชื่อเขากับกำไลคู่บุพเพบนข้อมือ ให้เขาออกจากการกักตนมาหานาง
เพราะว่าตี้ฝูอีเคยบอกกับนางไว้ หากว่านางเรียกชื่อเขากับกำไลคู่บุพเพ เขาจะได้ยิน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ล้วนไปหาได้ภายในหนึ่งชั่วยาม
แต่นางตะโกนเรียกผ่านกำไลคู่บุพเพวงนั้นอยู่หกเจ็ดชั่วยามเต็ม ก็ไม่เห็นเงาของตี้ฝูอีเลย
ทันทีที่เด็กคลอดออกมา เธอก็สลบไปด้วยความอ่อนเพลีย
เมื่อเธอได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เธอยังคงอยู่ในแดนรกร้างแห่งนั้น สายลมพัดอื้ออึง แทบจะแช่แข็งนางแล้ว ส่วนตี้เฮ่าน้อยที่เพิ่งคลอดเนื่องจากไม่ได้จัดการให้ทันท่วงที เปลือยเปล่าเช่นนี้ถูกแช่อยู่ในพื้นหิมะมาหลายชั่วยามแล้ว ชีวิตน้อยๆดุจเทียนไขกลางสายลม พร้อมจะดับลงได้ทุกเมื่อ…
————————————————————————————-
บทที่ 2748 เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ 3
ยามที่อุ้มเขาขึ้นมากู้ซีจิ่วสั่นสะท้าน แทบจะสัมผัสถึงลมหายใจและการเต้นของหัวใจเขาไม่ได้แล้ว
นางช่วยเหลือเด็กน้อยเสมือนบ้าคลั่งไปแล้ว แต่โอสถที่นางพกติดตัวไม่มีที่เหมาะกับเด็กทารกเลย
นางยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่ เด็กน้อยก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ถึงขั้นที่แม้แต่ลมหายใจและจังหวะหัวใจที่อ่อนแรงก็หายไปแล้วด้วย…
กู้ซีจิ่วเบิกตามองทารกน้อยในอ้อมแขนสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย
นางอุ้มลูกน้อยนั่งอยู่บนพื้นหิมะมาสองชั่วยามแล้ว พายุหิมะย้อมเส้นผมนางจนขาวโพลน และพัดพาความหวังสุดท้ายของนางจากไปด้วย
นางสลบไปท่ามกลางพื้นหิมะอีกครั้ง ยามที่นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้เห็นฟั่นเชียนซื่อ
และตามเส้นชะตาเดิมแล้ว ฟั่นเชียนซื่อไม่เคยเผยฐานะตัวตนออกมาเลย แม้กระทั่งตอนที่ชาวดาวจิ้งจอกครามเข้ารุกรานทวีปซิงเยวี่ย เขาก็ชักใยบงการอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด
หลังจากกู่แม่ลูกในครรภ์หลานไว่หูก่อร่างสำเร็จ เขาก็ทำตัวเป็นจั๊กจั่นลอกคราบจากไปเลย
วิธีจากไปของเขาคือจงใจทำให้ยานรบที่โดยสารอยู่ขัดข้องขึ้นมา ระเบิดกลางอากาศ คนก็ถือโอกาสหายตัวไปด้วย
ไม่ได้โจมตีอันใดต่อพวกกู้ซีจิ่วเลย ถึงขั้นที่ไม่แม้แต่จะต่อสู้กันอย่างซึ่งหน้าด้วยซ้ำ
ส่วนตี้ฝูอี ตอนนั้นเขายังไม่ได้กลับมา
ย่อมไร้วาสนาได้พบพานผู้ที่ชักใยบงการอยู่หลังม่านคนนี้
ดังนั้นในเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นตี้ฝูอีหรือว่ากู้ซีจิ่ว ล้วนไม่ทราบว่าตัวการที่อยู่เบื้องหลังคือเขา
ทันทีที่กู้ซีจิ่วฟื้นขึ้นมาก็มองหาลูกตามสัญชาตญาณ แต่ฟั่นเชียนซื่อบอกนางว่า เด็กสิ้นชีพไปแล้ว เขาช่วยนางเผาศพทารกแล้วทำพิธีฝังให้แล้ว
กู้ซีจิ่วสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์ ทั้งตัวคนราวกับถูกแขวนไว้กลางอากาศ ป่วยหนักไปเลย
นางถึงขั้นที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว อยากตายไปเสีย
ฟั่นเชียนซื่อย่อมไม่คิดจะปล่อยให้นางตาย ด้วยวรยุทธ์ของเขา ถ้าต้องการยับยั้งไม่ให้กู้ซีจิ่วแสวงหาความตายย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
เขาส่งคนมาเฝ้านางไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำให้นางไม่มีโอกาสได้ฆ่าตัวตายเลย
เพียงแต่กู้ซีจิ่วก็บอกฟั่นเชียนซื่อเอาไว้อย่างชัดเจน “ท่านขัดขวางข้าไม่ได้หรอก ยับยั้งข้าได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่ขวางข้าไปตลอดไม่ได้”
ขอเพียงคนผู้หนึ่งตัดสินใจแล้วว่าอยากตาย ก็จะหาโอกาสได้ในไม่ช้าก็เร็ว
ฟั่นเชียนซื่อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง บอกว่านางจะตายไม่ได้ ถึงแม้นางจะเสียลูกไปแล้ว แต่นางยังมีสามีอยู่ นางสมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสามี
กู้ซีจิ่วกลับยิ้มหยันเท่านั้น ประสบพบพานเรื่องราวมามากมายถึงเพียงนี้ นางสิ้นหวังในตัวของตี้ฝูอีผู้มีฐานะเป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่คิดจะเอ่ยถึงเขาอีก
ฟั่นเชียนซื่อใคร่ครวญต่ออีกครู่หนึ่ง เอ่ยถามนาง “หากว่าข้ามีวิธีฟื้นฟูวรยุทธ์ในอดีตของเจ้าล่ะ? เจ้าจะเลิกแสวงหาความตายหรือไม่?”
เมื่อเอ่ยข้อเสนอนี้ออกมา ก็ทำให้กู้ซีจิ่วเกิดความคิดที่อยากจะมีชีวิตต่อไปขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
ฟั่นเชียนซื่อดีต่อนางอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ใช้วิชาลับรักษาอาการบาดเจ็บของนางจนหายดี ฟื้นฟูพลังยุทธ์ให้นางเท่านั้น ยังสอนวิชาอาคมใหม่ๆ ให้นางชุดหนึ่งด้วย ทำให้พลังยุทธ์ของนางพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง
ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานวันเขา ฟั่นเชียนซื่อก็เกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกู้ซีจิ่ว แต่กู้ซีจิ่วไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบรับอันใดเลย
จวบจนอยู่มาวันหนึ่ง กู้ซีจิ่วพบกระจกวิเศษบานหนึ่งภายในตำหนักของฟั่นเชียนซื่อ กระจกบานนี้สามารถส่องสะท้อนเบาะแสร่องรอยในปัจจุบันของคนที่นางคะนึงหาได้
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเกลียดชังตี้ฝูอีจนกัดฟันอยู่กรอดๆ แต่ในใจก็ยังคงคะนึงหาเขาอย่างยิ่งอยู่รางๆ
ติดต่อเขาไม่ได้เสมอมา ก็ทำให้นางนึกสงสัยอยู่บ้างว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือไม่…
ถึงแม้เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ผู้แข็งแกร่งจะไม่มีทางถูกคนปองร้ายได้ แต่กู้ซีจิ่วยังคงขบคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง
นางพลันตัดสินใจ ใช้งานกระจกบานนี้ ในที่สุดก็ได้เห็นตี้ฝูอีแล้ว…
ตี้ฝูอีไม่ได้ประสบอันตรายอะไรเลย และไม่ได้ปิดด่านด้วย เขาออกจากการกักตนแล้ว
เพียงแต่ไม่ได้กลับไปยังตำหนักพำนักของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ แต่ไปเอ้อระเหยอยู่ในภพเซียน คล้ายว่ากำลังเยี่ยมเยือนตรวจความเป็นอยู่ของพสกนิกร
มีเทพสงครามหญิงของภพเซียนคนหนึ่งติดตามอยู่ข้างกายของเขา เทพสงครามหญิงนางนี้เคารพเลื่อมใสในตัวเขาอย่างยิ่ง และเขาก็ชื่นชนในตัวนางเช่นกัน ทั้งสองอยู่ในหุบเขาพูดคุยยิ้มหัว คล้ายจะท่องเที่ยวชมเขตชานเมืองอยู่
เรื่องแรกที่เขาทำหลังจากออกจากการปิดด่านเป็นเวลาสามปี มิใช่กลับบ้านไปพบภรรยา แต่เป็นออกตรวจตราโลกภายนอก
ระหว่างเดินทางเขาถึงขั้นที่ไม่ได้ติดต่ออันใดกับคนในตำหนักเลยด้วย
———————————————————————————–