GGS:บทที่ 1004 เปิดรับ

ไม่นาน ไฟที่ลุกโชนในกระทะเมื่อครู่นี้ก็ได้จางหายไป ซูจิ้งได้นำกระทะออกมาจากเตาแล้วเทลงไปในจานที่ตกแต่งเอาไว้ นอกจากนั้น เขายังจัดเรียงเนื้อปลาให้กลายเป็นรูปดอกบัว
ปลาแต่ละชิ้นนั้นดูสดใหม่ ละมุน และมีสีเหลืองเพราะน้ำมันที่ใช้ผัด ด้วยเครื่องเคียงที่หลากหลายแบบนี้ทำให้พวกมันนั้นเต็มไปด้วยความอร่อยหลากหลายรูปแบบ
นี่ขนาดซูจิ้งเล่นใหญ่ไฟบรรลัยกัลป์ขนาดนั้นแต่เนื้อปลากับยังคงดูสวยงาม ปราศจากชิ้นที่ไหม้และเสียเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าสมบูรณ์ครบถ้วนในทุกชิ้น
พ่อครัวอย่างเหมาเว่ยเหยียนและนักชิมอาหารอย่างโจวเซียน หรือแม้แต่คนจากองค์การอาหารและยาของรัฐเองต่างก็ตกตะลึงจนนิ่งอึ้งไปเฉยๆ แม้แต่ผู้คนเองก็ยังต้องโง่งม
“โอ้….โคตรน่าอร่อยยยยย”
“ขนาดดูผ่านสตรีมฉันยังได้กลิ่นมาเลย”
“การผัดอาหารด้วยไฟทรงพลังขนาดนั้นแต่ยังไม่มีชิ้นใดเสียหรือไหม้เลยแม้แต่น้อย เขาทำได้ยังไงกัน”
“ฉันเองก็ได้ตั้งอัดไว้นะแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหมือนกัน ฉันไม่รู้เลยจริงๆว่าเขาทำได้ยังไง”
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมเขานั้นไม่หวงสูตรหรือวิธีการอะไรเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เครื่องปรุงและวัตถุดิบทำอาหารมากองอยู่ตรงน่าฉันก็ทำอะไม่ได้เลยสักนิด ฝีมือการใช้มีดและการทำอาหารของซูจิ้งนั้นวิเศษเกินไป”

ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เจ้าของภัตตาคารได้พุ่งเข้ามาในร้านทันทีที่รู้ว่าซูจิ้งทำการสตรีมอาหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วหนึ่งอย่าง เขาพูดออกมาด้วยท่าทีรีบร้อนว่า “หมอนั่นทำเสร็จเร็วแบบนั้นได้ยังไงกัน แถมเนื้อปลายังดูสดใหม่ด้วย นายได้อัดวิดีโอได้รึเปล่า”
“ผมก็อัดไว้อยู่ แต่…” พ่อครัวที่กำลังดูการสตรีมอยู่ ในตอนนี้ได้แต่หัวหัวเราะและยิ้มออกมาแบบแห้งๆ
“แต่อะไร พูดเร็วๆสิ” เจ้าของร้านพูดออกมาด้วยความร้อนรน
“พวกเราไม่สามารถ..” พ่อครัวได้พูดออกมาราวกับร้องไห้อยู่ทั้งที่ไม่มีน้ำตา
“หรือว่า….เขาใช้มุมกล้องในการปิดบังสูตรลับเอาไว้เหรอ” เจ้าของถามออกมาด้วยท่าทีคิ้วขมวดอย่างสงสัย

“ไม่ใช่ครับ…. คุณคงต้องลองดูด้วยตาของตัวเองดีกว่านะ” พ่อครัวได้ส่งวิดีโอที่เขาอัดเอาไว้เจ้าของภัตตาคาร เมื่อเข้าของภัตตาคารได้เห็นก็ต้องตกตะลึง เขาตั้งคำถามขึ้นมาในทันทีว่านี่ซูจิ้งทำอาหารหรือเล่นมายากลกันแน่
ที่ภัตตาคารอื่น เจ้าของภัตตาคารและพ่อครัวที่พึ่งจะได้เห็นวิธีการทำอาหารของซูจิ้งก็ได้แต่นิ่งเงียบไปนาน จนในที่สุดเจ้าของภัตตาคารก็ได้ส่งเสียงออกมาว่า “วิธีการทำอาหารนี้มีใครพอจะทำได้บ้างรึเปล่า”
เหล่าพ่อครัวต่างก็เงียบสนิท
เจ้าของภัตตาคารได้พูดต่อว่า “ถ้าใครทำได้ฉันจะให้เงินเดือนเพิ่มเป็นสองเท่า”
เหล่าพ่อครัวของภัตตาคารแห่งนี้ก็ยังนิ่งเงียบต่อไป ถึงแม้จะมีบางคนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงปิดปากลงเท่านั้น
ถึงแม้จะมีเงินเดือนล่อตาล่อใจขนาดไหนแต่ถ้าต้องฝึกให้ทำได้เหมือนซูจิ้งนี่ ดีไม่ดีทั้งชีวิตก็ทำไม่ได้

ฉากนี้เกิดขึ้นในทำนองเดียวกันกับภัตตาคารต่างๆและร้านอาหารทั่วๆไป ตอนแรกทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและตั้งใจดู แต่เมื่อดูแล้วก็เหลือไว้เพียงหัวใจอันห่อเหี่ยว ไร้เรี่ยวแรง วิธีการทำอาหารของซูจิ้งนั้นอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของพ่อครัวทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงจะรู้สึกประดักประเดื่อไปบ้างแต่พวกเขาก็ยังฝืนดูสตรีมการทำอาหารของซูจิ้งต่อไป ในตอนนี้ซูจิ้งกำลังนำโจ๊กมะละกอมาให้เหล่านักชิมได้ลิ้มลองคนละหนึ่งถ้วย พร้อมทั้งเสริฟด้วยชาเขียวหนึ่งถ้วยชา
เหล่านักชิมไล่ดมอาหารที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าทั้งอาหารจานปลาและโจ๊กมะละกออย่างหนักราวกับไม่อยากให้กลิ่นลอยออกไปไหน
ในที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มลิ้มลองในทันที เพียงคำแรกเท่านั้น ทุกคนต่างตกตะลึงจนนึ่งอึ้งกันไปหมด
เพียงหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาตั้งหน้าตั้งตากินกันไม่พูดไม่จาอะไรเลยสักนิดราวกับคนงานในพื้นที่ชุมชนแออัด
เพียงไม่กี่ช่วงอึดใจ ชุดอาหารระดับทั่วไปสะอาดเอี่ยมอ่องราวกับเป็นการนำจานสะอาดเปล่าๆมาวางไว้เฉยๆ และเมื่อทุกคนได้ดื่มชาเขียวลงไป ทุกอย่างก็ดูสงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

นี่ทำให้เหล่าผู้ชมอดเสียไม่ได้ที่จะลอบด่าว่าแม่ของเหล่านักชิมทั้งหลาย
“คุณซูครับ ก่อนหน้านี้ผมเพียงคิดแค่ว่าคุณซูนั้นเพียงแค่พัฒนาความสามารถด้านการทำอาหารของคุณอีกแล้ว แต่หลังจากได้กินชุดอาหารนี้แล้วทำให้ผมต้องทำความเข้าใจใหม่
ตอนนี้คุณซูนั้นไม่ได้ทำอาหารได้ดีที่สุด แต่สมควรจะบอกเป็นว่าคุณซูทำอาหารที่มีเพียงคุณซูคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้” โจวเซียนได้เอ่ยวาจาในการตีค่าอาหารของซูจิ้งออกมา
“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมมิชชาลินนั้นไม่ค่อยจะกล้าให้สามดาวแก่อาหารของคุณแต่ก็ต้องให้เพราะไม่มีอะไรที่ดีกว่าที่เขาจะให้ได้
เหตุผลหลักๆก็เพราะเขานั้นเห็นเพียงแค่อาหารที่คุณทำเสร็จ แต่เขาไม่รู้ว่าที่มาของความอร่อยของคุณซูนั้นคืออะไรกันแน่
หากว่าเขานั้นได้เห็นวิธีการใช้มีดของคุณ ทักษะการใช้ไฟที่สุดแสนจะทรงพลังและแม่นยำที่พอเหมาะกับการคงสภาพความสดใหม่ของเนื้อปลาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจแบบนี้

ขนาดผมเองที่อยู่ในวงการนี้มานาน ได้เห็นพ่อครัวปรุงอาหารมามากมายหลากหลาย แต่ผมก็ยังไม่สามารถสื่อถึงความอัศจรรย์ในการใช้มีดและไฟของคุณซูได้อย่างเต็มที่เลย
แต่ที่ผมนั่นมั่นใจและสามารถพูดได้อย่างเต็มปากก็คืออาหารจานปลานี้เป็นอาหารที่สุดยอดที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาแล้วในชั่วชีวิตนี้
แล้วยังมีโจ๊กมะละกอนั่นอีก ไม่เพียงแค่หวานอร่อยแล้วยังทำให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้อย่างง่ายดาย
และอย่างสุดท้ายแม้แต่ชาถ้วยนั้นเอง เมื่อผมได้ดื่มชานี้ไปแล้วทำให้จิตใจของผมนั้นปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก
ขนาดผมเองก็เป็นนักดื่มชาตัวยงก็ยังไม่เคยได้กินชาที่ดีแบบนี้มาจากที่ไหนมาก่อนเหมือนกัน” นักชิมอาหารอีกคนกล่าวชมเชยออกมาอย่างจริงใจ
“ผมก็คงจะพูดออกมาได้เพียงว่า รสชาติอันสมบูรณ์ ครับ” นักชิมอีกคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยใบหน้าแจ่มใสและเขาในตอนนี้ยังเลียริมฝีปากของตัวเองเพื่อรับทราบรสชาติอันแสนอร่อยที่ยังคงเหลือเอาไว้

เหล่านักชิมคนอื่นๆเองต่างก็ประเมินค่าอาหารของซูจิ้งอย่างสูงสุดหยั่งไปทุกคน และแน่นอนว่าเหล่าผู้ชมเองต่างก็คุ้นเคยและเชื่อถือนักชิมเหล่านี้ได้
กับโจวเซียนนั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นนักชิมฝีปากร้ายด่าได้จนล้มละลายไปหลายร้านแล้ว ส่วนคนอื่นๆเองก็ถือได้ว่าเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญที่วงการอาหารจีนต่างก็รู้จักและเคารพนับถือ
พวกเขานั้นเป็นคนที่ให้ข้อคิดเห็นในเรื่องอาหารได้อย่างตรงไปตรงมาและแม่นยำราวกับเป็นผู้ทำเองเลยทีเดียว และเมื่อไหร่ที่พวกเขานั้นเอ่ยปากชมอาหารจานใด จานนั้นย่อมอร่อยตามความเป็นจริง
ตอนนี้เหล่าเจ้าของภัตตาคารทั้งหลายที่เคยได้รับการประเมินจากเหล่านักชิมพวกนี้ต่างก็อิจฉา ริษยา และเกลียดชังซูจิ้งอย่างมาก
นั่นก็เพราะแทบจะทุกภัตตาคารล้วนแล้วแต่มีข้อติติงจนไม่เคยมีใครได้คำชมเชยที่ดีแบบนี้มาก่อน นี่ทำให้พวกเขานั้นตระหนักได้แล้วว่าอาหารของซูจิ้งนั้นอร่อยเกินกว่าที่พวกเขานั้นจะทำตามได้อย่างแน่นอน

เมื่อเห็นเหล่านักชิมชิมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้บอกให้คนจากองค์การอาหารและยาของรัฐตรวจสอบอาหารจานปลา โจ๊กมะละกอ และชาเขียวที่เขายังหลงเหลือเอาไว้
แน่นอนว่าผลที่ออกมาคือไม่เพียงจะไม่มีผงดอกฝิ่นเป็นส่วนผสม แม้แต่ส่วนประกอบบของอาหารที่ด้อยคุณภาพยังไม่เจอเลยสักนิด

“โคตรไร้สาระเลยจริงๆกับเรื่องผงดอกฝิ่นนั่น ต่อให้เติมผงดอกฝิ่นลงไปทั้งไร่ก็ไม่มีทางทำให้อาหารอร่อยขึ้นมาหรอก” โจวเซียนได้พูดออกมาพลางส่ายศรีษะในขณะที่กำลังมองดูคนจากองค์การอาหารและยาแห่งรัฐตรวจสอบอาหารของซูจิ้ง
“มีแต่คนที่ขาดความรู้เท่านั้นที่หลงเชื่อข่าวลือล่ะนะ” นักชิมอาหารอีกคนหนึ่งพูดออกมา
….
“กลายเป็นว่ามันเป็นข่าวลือหรอกเหรอ สรุปว่าในอาหารของซูจิ้งไม่มีผงดอกฝิ่นสินะ”
“อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ไง ผงดอกฝิ่นนั้นแค่ทำให้คนติดการกินอาหารนั้นๆเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยเพิ่มรสชาติอะไรเลย แถมไม่มีผลในการทำให้สุขภาพดีและทำให้อ่อนเยาว์เลยแม้แต่น้อย ไอ้คนที่เชื่อเรื่องนี้สมควรจะไปหาความรู้จริงจังได้แล้ว”

ด้วยเหตุนี้ทำให้เรื่องข่าวลือที่ว่าอาหารของซูจิ้งนั้นไร้ค่าไปโดยปริยาย ขนาดนักชิมและคนขององค์การอาหารและยาแห่งรัฐยังไม่เจออะไรเลยแม้แต่น้อยแล้ว นับประสาอะไรกับคนทั่วไป
และเรื่องในครั้งนี้นั้นไม่เพียงจะเป็นการคืนความบริสุทธ์ให้แก่อาหารของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ได้แล้ว ชื่อเสียงของภัตตาคารยังเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างมากจนทำให้ภัตตาคารอื่นๆยอมแพ้ที่จะแข่งด้วยไปเลย

และเหตุผลหลักๆที่ทำให้พวกเขานั้นยอมแพ้เป็นผลมาจากพวกเขานั้นรู้ซึ้งถึงความสามารถในการทำอาหารของซูจิ้งได้อย่างถ่องแท้ และฝีมือการทำอาหารแบบนั้นไม่มีใครเลยที่จะสามารถเลียนแบบได้
หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง ซูจิ้งได้หันไปพูดกับกล้องว่า “เอาล่ะ ทีนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าอาหารของฉันไม่มีอะไรไม่ดีเลยโดยดูได้จากการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยาของรัฐและนักชิมชั้นเลิศพวกนี้
ยังจะมีอะไรจะถามอีกรึเปล่า หากมี ฉันจะตอบทุกอย่าง พิสูจน์ทุกสิ่งที่ทุกคนถามต่อหน้าทุกคน แน่นอนว่าฉันนั้นยังมีจุดประสงค์อื่นที่จะบอกผ่านการสตรีมนี้ด้วย”
ซูจิ้งได้เว้นช่วงพูดเพื่อที่จะรอให้คนอื่นถามอะไรเข้ามาในช่องสตรีม แต่เหล่าคนดูกลับกลายเป็นสับสน พลางคิดไปว่านี่เขานั้นยังมีจุดประสงค์อยู่อีกอย่างนั้นเหรอ
หลังจากที่เว้นไว้พักหนึ่งแล้วไม่มีใครพิมพ์อะไรมา เขาจึงได้พูดต่อว่า “ฉันเชื่อว่าทุกคนได้เห็นวิธีการทำอาหารของฉันแล้วในวันนี้ถึงแม้ว่ามันจะต้องดูผ่านการสโลโมชั่นก็ตาม
เอาจริงๆเลยนะ ฉันนั้นไม่เคยกลัวว่าจะมีใครมาเรียนรู้วิธีการทำอาหารของฉัน แต่ฉันกลัวจริงๆว่าจะไม่มีใครสามารถเรียนรู้ได้มากกว่า

ฉันขอแนะนำว่าหากคุณต้องการจะเรียนรู้วิธีการทำอาหารของฉันจริงๆล่ะก็ จำเป็นต้องศึกษาจากวิดีโอสโลโมชั่นของฉันในขั้นช้าสุดแล้วคุณจะเห็นได้ว่าแต่ละเสี้ยววิที่ฉันทำอาหารนั้นฉันทำอะไรลงไปบ้าง
หากว่าใครสามารถเรียนรู้วิธีการของฉันและทำได้มากกว่า70%ล่ะก็ เมื่อนั้นของให้มาหาฉันที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์

เพราะนายคนคือคนที่มีความสามารถที่คู่ควรและฉันยินดีที่จะมอบเงินเดือนที่ดีที่สุดเท่าที่นายเคยได้รับมาในชีวิต
พร้อมทั้งฉันยินดีที่จะสอนเทคนิคและสูตรลับในการทำอาหารที่ขายในพื้นที่พิเศษอีกสองชุด ที่สำคัญที่สุดคือฉันจะทำให้นายได้ลิ้มรสชาติอาหารสองชุดนั้นแบบฟรีๆไปเลย”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซูจิ้ง เหมาเว่ยเหยียน และพ่อครัวคนอื่นๆที่ได้เห็นฉากนี้ แม้แต่ผู้ชมทั่วไปเองต่างก็กู้ร้องออกมา
แต่สำหรับเหล่าเจ้าของภัตตาคารที่เห็นฉากนี้ล้วนแล้วแต่จะเป็นลมล้มทั้งยืน พวกเขานั้นเพิ่งจะรู้ตัวว่าแทนที่จะได้ใช้กับดักเล่นงานซูจิ้ง
กลายเป็นว่าซูจิ้งวางแหคลุมพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แถมยังเป็นกับดักที่ทรงพลังจนต่อให้พวกเขารวมตัวกันก็ทำอะไรไม่ได้

แน่นอนว่าคำพูดของซูจิ้งได้ทำให้เหล่าพ่อครัวทั้งหลายได้รับผลกระทบในครั้งใหญ่ เหล่าเจ้าของภัตตาคารต่างๆก่อนหน้านี้ล้วนแล้วอยากจะให้พ่อครัวของเขาเลียนแบบและเรียนรู้ทักษะของซูจิ้งอย่างมาก
แต่มาถึงตอนนี้ พวกเขานั้นล้วนแล้วจะไม่อยากแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะหากมีใครเรียนรู้ได้ตามคำกล่าวที่ซูจิ้งว่าเอาไว้ พ่อครัวเหล่านี้ล้วนยินดีที่จะตีจากพวกเขาไปอย่างแน่นอน