GGS:บทที่ 1005 ช้าๆ

ในภัตตาคารแห่งหนึ่ง เจ้าของภัตตาคารได้รีบปิดช่องสตรีมของซูจิ้งที่เปิดอยู่ในทันที แต่เขาก็รู้ดีแล้วว่าเขานั้นปิดช้าเกินไปแล้ว
พ่อครัวของเขาต้องได้ยินคำพูดของซูจิ้งแล้วแน่ๆ และแน่นอนว่าพวกเขาได้จดจำคำพูดเหล่านั้นอย่างแน่นแน
“แกคิดอยู่ว่าจะไปที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์หลังจากเรียนวิธีการทำอาหารนั่นได้ใช่รึเปล่า” เจ้าของภัตตาคารได้ถามออกมาในทันทีเมื่อเห็นพ่อครัวของเขามีท่าทีมุ่งมั่น

“ไม่ครับ ไม่มีทาง” พ่อครัวได้ส่ายศรีษะในทันที แต่จริงๆแล้วพ่อครัวทุกคนในที่นี่กำลังนึกถึงความเป็นได้ที่จะเรียนรู้วิธีการของซูจิ้งอยู่ หากพวกเขาทำได้ดีพอล่ะก็แน่นอนว่าพวกเขาต้องไป
เพราะนอกจากจะได้เงินเดือนที่สูงขึ้นแล้ว พวกเขายังได้มีโอกาสเรียนรู้การทำอาหารที่สุดยอดเหนือกว่าใคร แถมยังมีโอกาสได้ชิมอาหาราคาแสนหยวนที่นอกจากอร่อยแล้วยังทำให้คนที่กินสุขภาพดีและอ่อนเยาว์ได้ฟรีๆ
หากว่าพวกเขาไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ล่ะก็คงเป็นพวกจิตป่วย แน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่กล้าแสดงตัวออกมาหรอก
เหตุผลก็เพราะว่าเป้าหมายนี้มันยากเกินจะฟันฝ่าไปได้ ต่อให้พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ได้ตามเป้าหมายที่70%ได้จริง แต่หากเจ้านายของพวกเขารู้ล่ะก็ต่อให้ไม่ได้ไปก็ไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้จักพวกแกนะ….หากใครก็ตามที่ทำแบบเดียวกับซูจิ้งได้70%” ฉันจะดูแลพวกแกอย่างดี เอาเป็นเพิ่มเงินเดือนให้อีกสัก15%แล้วกัน พวกแกคิดว่ายังไง พวกแกอย่าไปฟังคนแบบนั้นพูดให้มากนักเลยดีกว่า พวกแกเองก็น่าจะรู้นะว่าการเลือกที่จะมีหัวหมายังดีกว่าเป็นหางนกไฟ
เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังที่ซูจิ้งพูดเลยจะดีกว่า หากพวกแกไปแล้วฝีมือไม่เข้าตาจะโดนให้ทำอะไรก็ไม่รู้
แต่ที่นี่ยังซะแกก็คือพ่อครัว ไม่จำเป็นต้องเริ่มอะไรใหม่ พวกแกสามารถกินดิ่มอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจไม่ต้องแข่งขันกับใคร เข้าใจใช่รึเปล่า”
เจ้าของภัตตาคารได้พูดออกมาดักทางเอาไว้ นั่นเพราะว่าเขารู้ดีว่าคนพวกนี้คือผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ต่อให้สิ่งที่พูดจะส่งผลต่อความคิดของพ่อครัวของเขาได้เล็กน้อยก็ดีกว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในตอนนี้เองเหล่าเจ้าของภัตตาคารทั้งหลายที่ต้องการให้พ่อครัวของตัวเองนั้นเรียนรู้เทคนิคลับของซูจิ้งนั้นต่างก็จิตตกกันไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะด่าแม่ออกมา
พวกเขานั้นพึ่งจะรู้ตัวว่าสิ่งที่พวกเขาพยายามกดดันซูจิ้งได้กลายเป็นดาบทิ่มแทงตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าที่ซูจิ้งไม่ยอมเคลื่อนไหวอะไรก่อนหน้านี้เป็นเพราะต้องการให้เขานั้นมีโอกาสมาแสดงทักษะของเขาเพื่อหาพ่อครัวไปทำงานด้วยกันแทน
และไม่เพียงแค่พ่อครัวธรรมดาแต่ต้องเป็นพ่อครัวชั้นเลิศอีกด้วย
ในเรื่องนี้เองนอกจากเหล่าเจ้าของภัตตาคารแล้ว เหล่าผู้คนทั้งหลายที่มีใจรักในการทำอาหารและพ่อครัวทั่วทั้งประเทศต่างก็ตื่นเต้นกันไปหมด แม้แต่แม่บ้านทั่วไปก็ยังคิดว่านี่คือโอกาสอันดี

“ฉิบ… ที่เขาทำนี้ไม่ต่างจากหาลูกมือต่อหน้าสาธารณชนเลยนะ”
“โอ้ พระเจ้าช่วย ตราบใดที่สามารถเรียนรู้ได้70%ของวีธีการทำอาหารจานนั้นได้ก็จะมีโอกาสได้ทำงานกับเขาเลยนะ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้มีโอกาสกินอาหารชั้นยอดที่ขายเฉพาะพื้นทิ่พิเศษที่มีราคาขั้นต่ำที่หนึ่งแสนหยวนนั่นอีก”
“เยี่ยม ได้เวลาทีฉันจะได้กลายเป็นมังกรทะยานฟ้าแล้ว”
“ไอ้พวกบรรทัดข้างบนนี่น่าตลกเนอะ คนอย่างพวกนายมีทางได้เรียนรู้กับเขากันด้วยเหรอ”
“นายจจะรู้อะไรหากว่ายังไม่ได้ลองทำดู ไปล่ะ ฉันจะไปลองซื้อปลามาหัดละ”
“เฮ้เฮ้ ฉันว่าฉันพอมีอยู่นะ ลองมั่งดีกว่า”
“อย่างที่เขาว่าหากลับมีดไม่คม ตัดไม้ยังไงก็ไม่เข้า ฉันว่าจะเริ่มจากการดูวิดีโอของซูจิ้งแบบลดความเร็วตามที่ซูจิ้งแนะนำไว้”

เพียงคำแถลงประกาศหาพ่อครัวของซูจิ้งเผยแพร่ออกไป ผู้คนทั้งหลายต่างทดลองที่จะเรียนรู้วิธีการทำอาหารจานปลาของซูจิ้งกันอย่างแพร่หลาย
แม้แต่บางคนที่ทำเป็นเพียงมะเขือเทศและไข่ดาวก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเขานั้นมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ในวงการอาหารได้เลยทีเดียว
หลายๆคนได้ซื้อปลากลับไปฝึกฝนเพื่อว่าพวกเขานั้นจะเป็นอัจฉริยะทางด้านการทำอาหารที่ยังไม่ถูกค้นพบก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม มีหลายคนที่รู้สึกถอดใจไปแล้ว แต่ก็ยังมีพ่อครัวบางส่วนที่สามารถเรียนรู้เทคนิคของซูจิ้งได้จริงๆ และนั่นก็ทำให้พวกเขาทำอาหารอร่อยได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมวัตถุดิบ หรือแม้แต่วิธีการคัดเลือกก็ตาม นี่ทำให้พวกเขารู้ได้เลยว่าวิธีการของซูจิ้งนั้นดีที่สุด
นี่ทำให้พวกเขานั้นไม่ได้คิดว่านี่เป็นสูตรลับอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเหนือล้ำยิ่งกว่ามาก แต่ถึงจะบอกว่ามันอร่อยขึ้นก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบกับของซูจิ้งได้
พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าหากว่าพวกเขาต้องการที่จะทำอาหารขายในราคาหนึ่งแสนหยวนได้แบบซูจิ้งล่ะก็ เพียงวัตถุดิบที่พวกเขามีนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นไปได้อย่างแน่นอน

ในส่วนนี้ก็ยังมีคนที่มีฝีมือเลยทดลองทำจริงไปเลยก็มี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด พวกเขาเลียนแบบตามวิดีโอความเร็วปกติไปสองสามหนจนถอดใจ และได้เปลี่ยนมาเป็นค่อยๆศึกษาจากวิดีโอลดความเร็วดู
ก็อย่างที่เขาว่าคือของมันจะเห็นก็คือเห็น ของมันจะไม่เห็นก็คือไม่เห็น พวกเขานั้นเมื่อลดความเร็ววิดีโอดูถึงพบสิ่งที่น่าตกตะลึง
“พระเจ้า ทุกครั้งที่เขาตัดเนื้อปลา เขาตัดไปตรงกับลายของเนื้อได้อย่างพอดิบพอดี”
“หากเรื่องนั้นล่ะก็ฉันรู้ดีแล้วน่า มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น เขาตัดไปตามลายของเนื้อปลาเลยจริงๆไม่ใช่การตั้งมุมมีดให้เป็นทิศทางเดียวกับเนื้อปลา
ลองดูดีๆสิ นายจะเห็นได้เลยว่าเนื้อปลาที่ได้ราวกับว่าไม่ได้โดนตัดด้วยมีดแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกมันเป็นชิ้นมาอยู่แล้วแล้วเขาเอามาประกอบให้เป็นตัวปลาใหม่เท่านั้นเอง”

“เป็นไปไม่ได้น่า เขาเตรียมไว้ก่อนแต่แรกรึเปล่า”
“ไม่ใช่การเตรียมไว้ก่อนแต่แรกนะ ดูภาพช่วงนี้สิ มีดของเขานั้นเปลี่ยนไปทุกครั้งเลยในทุกความลึกของมีดที่ลงไปในเนื้อปลา
เป็นเพียงเพราะว่ามันเร็วมากจนทำให้พวกเราคิดว่าเขานั้นแค่เพียงตัดเป็นชิ้นๆเท่านั้นเอง มิน่าล่ะ ปลาทุกชิ้นถึงได้ราวกับว่าดูมีชีวิตนัก”
“พระเจ้า เป็นไปได้ด้วยเหรอ”
“เท่าที่ฟังนายบอกมานี่ ฉันลองไปดูวิธีการเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นของเขาแล้วเหมือนกันนะ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่วิธีการลงมีดทั่วไปเลยสักอย่างเดียว ลองดูนี่สิ ทุกครั้งที่เขาลงมีด เขาไม่เคยลงมีดแบบเดียวกันเลยสักครั้ง”
“ทำไมยิ่งฉันฟังยิ่งรู้สึกมันน่ามหัศจรรย์พันลึกนักล่ะ มันก็แค่การหั่นหอมใหญ่เองนะ”
“นายเห็นปลาในกระทะนั่นไม๊ล่ะ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาโยนไปส่งๆก็จริง แต่ลองดูดีๆสิ เนื้อปลานั้นกระจายออกจากกันแทบจะพอดีกันเลยนะ
ไม่มีเนื้อชิ้นไหนเลยที่จะอยู่ติดกัน และเมื่อเนื้อพวกนี้ลงไปในกระทะ น้ำมันก็จะเคลือบพวกมันเอาไว้ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะติดกันตอนทำอีกต่อไป
แถมตอนที่เขาผัดนั้น แวบแรกอาจจะเห็นว่าไฟนั้นลุกท่วมไปบนกระทะก็จริง แต่ความจริงแล้วเขาสามารถควบคุมกระทะได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แถมยังควบคุมความร้อนในกระทะได้อย่างน่าพิศวง
นี่ทำให้ถึงแม้ว่ามันจะดูราวกับเป็นเพลิงนรกโลกันต์ที่เขาใช้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เกิดการไหม้ในอาหารแม้แต่น้อย ย่งไปกว่านั้นหากดูดีๆชิ้นเนื้อตอนเขาผัดนั้นเขาไม่ได้โดนความร้อนเลยสักนิด ราวกับว่าเขาควบคุมอากาศเอาไว้ทำให้ไฟล้อมรอบตัวเขาไปแต่ไม่โดนไหม้เลย”
“เป็นไปได้ยังไงกัน นอกจากว่าเขาจะควบคุมไฟได้โดยตรง”
“เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะตัดเนื้อตามเส้นลายของเนื้อได้ ไหนจะการควบคุมไฟในการผัดนั่นอีก”
“วันนี้ฉันได้เปิดตาแล้วจริงๆ”
“แม่…เอ๊ย เข้าใจแล้ว แต่ฉันจะทำได้แค่ดูจริงๆเหรอ”

“ฉันว่าพวกนายจะคิดกันมากเกินไปแล้ว เขาน่าจะมีวิธีบางอย่างก็ได้ มันไม่ใช่ความน่าพิศวงแต่อย่างใด อีกอย่างซูจิ้งก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่จะเป็นต้องทำให้ได้อย่างสมบูรณ์ ตราบใดที่ทำได้เจ็ดในสิบส่วนก็ถือว่าสำเร็จแล้ว แค่ฉันได้ทำได้ส่วนเดียวนี่ก็ทำให้ฉันพึงพอใจแล้วนะ ไม่ต้องพูดถึงเจ็ดหรือแปดส่วนเลย”
“ฉันลองทำตามแล้วนะ ลูกสะใภ้บอกว่าอาหารของฉันอร่อยขึ้นจริงๆ”
“ฉันว่าฉันน่าจะเรียนรู้ได้มากพอแล้วนะ ฉันจะลองไปที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ดูในวันพรุ่งนี้”
ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ผู้ที่เรียกว่าปรมาจารย์ในวงการอาหารก็อดไม่ได้ที่จะเรียนรู้วิธีการของซูจิ้ง และก็ทำให้หลายๆคนนั้นนึกกันว่าในกลุ่มคนพวกนี้จะมีใครที่จะได้ทำงานกับซูจิ้งเป็นคนแรก ว่าแต่จะมีคนผ่านเกณฑ์ของซูจิ้งจริงๆรึเปล่านี่สิ

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันถัดมาก็ได้มีผู้คนจำนวนกว่าโหลได้ไปยังภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ แต่ไม่มีใครเลยที่จะทำได้เกินกว่าสามส่วนแน่นอนว่าซูจิ้งไม่ได้ออกมาปรากฏตัวแต่อย่างใดเพราะไม่มีใครผ่าน
แต่ในที่สุดก็มีใครบางคนที่น่าจะผ่านเกิน นั่นก็คือเหมาเว่ยเหยียน เขานั้นเป็นพ่อครัวของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์นี่เอง
ในตอนแรกนั้นไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำได้เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเหมาเว่ยเหยียนได้ทำอาหารจานปลาออกมาจากปลาทั่วไป และเมื่อได้ทุกคนได้กินดู ทุกคนที่ได้กินกลับต้องยอมรับในฝีมือเขา
วิดีโอของเหมาเว่ยเหยียนที่ทำอาหารจานปลานี้ได้ถูกถ่ายไว้และโพสต์ขึ้นบนอินเตอร์เน็ต วิธีการของเขานั้นแทบจะถอดแบบมาจากซูจิ้งได้เลย เขานั้นเคยได้เรียนอยู่ในโรงเรียนทำอาหารซูโจว และดูเหมือนว่าเขายังใช้วิธีการของซูจิ้งในการทำอาหารอย่างอื่นได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ฉันว่าแล้วไง การตัดเนื้อปลาและวัตถุดิบอย่างอื่นต้องตัดตามลายเส้น”
“นั่นคือการควบคุมไฟจริงๆด้วย”
“เหมาเว่ยเหยียนนั้นมีทักษะด้านการทำอาหารที่ดีเยี่ยมอยู่แล้วทำให้เขานั้นสามารถเรียนรู้เทคนิคของซูจิ้งได้ และตอนนี้เขาจะล้ำหน้ากว่าพวกเราแล้ว”
พ่อครัวคนอื่นที่เห็นเหมาเว่ยเหยียนทำได้ต่างก็คิดว่าพวกเขาเองก็ต้องทำได้ พวกเขาได้ลองเรียนรู้จากวิดีโอที่ลดความเร็วของเหมาเว่ยเหยียนดูบ้าง แต่ยิ่งดูพวกเขาก็ยิ่งถอดใจ พลางนึกออกมาว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะธรรมได้จริงๆ