GGS:บทที่ 1006 ขยะแห่งวงการศิลปะการต่อสู้จีน
ในโลกภายนอกตอนนี้ต่างก็กำลังวุ่นวาย คนรวยจำนวนไม่น้อยต่างก็มุ่งตรงไปยังพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ พ่อครัวอีกจำนวนไม่น้อยต่างก็ฝึกฝนตนเองเพื่อจะได้ทำงานที่ภัตตาคารของซูจิ้ง
แต่ซูจิ้งนั้นกลับโพสต์ข้อความลงบนไมโครบลอกของตัวเองว่า พื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์จะเปิดเฉพาะวันเสาร์
นี่ต่างทำให้เหล่าผู้คนในวงการอาหารนั้นต่างก็พูดกันไม่ออก นี่ขนาดเขาขายอาหารชุดละหนึ่งแสน ห้าแสน และหนึ่งล้านหยวนที่คนมากมายต่างก็ไม่มีทางหามาจ่ายแต่ยังขายดีได้ขนาดนี้ เขายังขึ้นเกียจจะขายอีกอย่างนั้นเหรอ
ความจริงแล้วที่ซูจิ้งทำแบบนี้หลักๆแล้วก็คือเขานั้นไม่มีเวลา ในช่วงที่ผ่านมานี้เขานั้นไม่มีเวลาไปจัดการขยะห้วงเวลาฯมากสักเท่าไหร่นัก
อีกอย่างหนึ่งคือวัตถุดิบของเขาอย่างเซนทอร์(หนูยักษ์)และซาลาแมนเดอร์แดงยังไม่เริ่มต้นขยายพันธุ์ ทำให้วัตถุดิบของเขาในตอนนี้มีจำกัด
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้มีผลต่อชื่อเสียงของภัตตาคารแต่อย่างใด นั่นก็เพราะมิชชาลินได้มอบดาวให้กับภัตตาคารของเขาไว้ แม้แต่ในชั้นธรรมดายังได้สองดาว
นี่ทำให้เหล่าลูกค้าที่มาก็ยังสามารถสนุกสนานกับการลิ้มรสอาหารแสนอร่อยได้อยู่ดี อีกทั้งยังมีพ่อครัวบางคนที่มีความสามารถพอที่เขาจะรับเข้ามาทำงานด้วยได้
แต่ก็ยังไม่มีใครที่สามารถทำได้ตามเป้าของซูจิ้งอยู่ดี หากมีใครสักคนล่ะก็ แน่นอนว่านั่นจะทำให้ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์กลายเป็นตำนานของวงการอาหารได้ในทีเดียว
วันนี้ซูจิ้งเลือกที่จะจัดการขยะของเขาต่อ แต่ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นฮู่เฟยหยุนเขาก็ได้รับสายในทันที ฮู่เฟยหยุนได้ถามเขาขึ้นมาว่า “พี่จิ้ง วันนี้พี่ยุ่งรึเปล่า”
“ไม่ได้ยุ่งอะไรนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เอ่อ….ผมขอถามหน่อยสิ พี่เคยได้ยินชื่อโค็ดที่เป็นปรมาจารย์ไทเก๊กที่เป็นนักสู้ชาวต่างชาติบ้างรึเปล่า” ฮู่เฟยหยุนถามออกมา
“อืมมมมม….ไม่เคยนะ ทำไมเหรอ” ซูจิ้งถามกลับมาด้วยความสงสัย
“เมื่อไม่นานมานี้ นักสู้ชาวอเมริกาคนหนึ่งไปสู้กับปรมาจารย์ไทเก๊ก ตอนแรกปรมาจารย์ไทเก๊กคิดว่าจะเป็นการต่อสู้กระชับความสัมพันธ์
นึกไม่ถึงว่านักสู้อเมริกันคนนั้นโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วล้มปรมาจารย์ไทเก๊กคนนั้นด้วยเวลาเพียงสิบวินาที
แล้วตอนนั้นเอง นักสู้อเมริกันนั่นได้ประกาศออกมาว่าศิลปะการต่อสู้ของจีนทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมที่ดีแต่ใช้ทริคในการต่อสู้
เขานั้นยังท้าดวลต่อหน้าสาธารณะชนกับเหล่าปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงของพวกเรา แล้วบอกว่าสามารถรับมือได้ทุกรูปแบบ แถมตอนนี้เขาได้จัดการท้าประลองออกสื่อไว้หลายสำนักเลยล่ะ” ยิ่งฮู่เฟยหยุนพูดออกมา น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
“โฮ โฮ่….” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแบบเหี้ยมเกรียม นักสู้อเมริกันคนนี้ได้รับความนิยมทั้งๆที่เล่นทีเผลอแต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างงั้นเหรอ ดูเหมือนว่าการเล่นทีเผลอของหมอนี่จะทำให้พวกสื่อจะสนใจสินะ
ในเรื่องศิลปะการต่อสู้นี้ ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้อาจจะตกต่ำลงบ้างก็จริง แต่นั่นก็เพราะว่ามีบางคนที่อ้างตัวว่าเป็นปรมาจารย์หลังจากฝึกฝนวิธีการต่อสู้ปลอมๆไป
แต่ยังไงซะศิลปะการต่อสู้จีนนั้นก็เป็นมรดกตกทอดที่สืบต่อกันมานับพันปี แน่นอนว่าเหล่าปรมาจารย์ที่แท้ต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ฝึกฝน
แต่ถ้าเพียงแค่หมอนี่ชนะกับไอ้เจ้าปรมาจารย์ไทเก๊กนั่นแล้วเหมารวมว่าศิลปะการต่อสู้จีนเป็นของเก๋ละก็ นี่เปรียบได้ดั่งการทึกทักไปเองเลยไม่ใช่เหรอ
ซูจิ้งได้ลองหาวิดีโอการต่อสู้ระหว่างสองคนนี้ดูและก็ได้พบอย่างรวดเร็ว เขาดูแล้วก็พบว่านักสู้ชาวอเมริกันคนนั้นมีฝีมืออยู่จริง แต่ไอ้คนที่เรียกตัวเองว่าปรมาจารย์แห่งไทเก๊กนั่นดูอ่อนแอสุดๆ
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นพวกแอบอ้าง ปรมาจารย์ไทเก๊กผู้นี้ไม่มีร่างกายที่กระชับแม้แต่น้อย แถมท่วงท่าก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งไทเก๊กแม้แต่น้อย
แม้แต่ผู้สูงอายุที่ฝึกไทเก๊กอยู่ตามถนนยังมีกลิ่นอายแห่งไทเก๊กมากกว่าเสียอีก ที่สำคัญที่สุดคือไทเก๊กของจริงนั้นที่ว่าทรงพลังระดับหนึ่ง แน่นอนว่าหากเขาฝึกจริง ต่อให้ไม่ได้ตั้งตัวก็ไม่มีทางน็อคเอาท์ไปโดยง่ายแบบนี้
ได้ยินดังนั้นซูจิ้งจึงถามออกไปว่า “แล้ว นักสู้อเมริกานั่นอย่ากสู้กับฉันเหรอ”
“หมอนั่นไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้นครับ ถึงแม้ว่าชาวเน็ตจะพยายามบอกให้เขามาท้าพี่แต่หมอนั่นก็ทำเป็นไม่สนใจและรีบบอกว่าศิลปะการต่อสู้พี่นั้นนอกกรอบจากวิทยายุทธ์จีนไปแล้ว
ไอ้เด็กนั่นบอกว่าในเพลงหมัดของเราทั้งหมดที่พอจะยอมรับได้ก็คือเพลงหมัดตระกูลฮู่ ผมได้ยินแล้วของขึ้นก็เลยออกไปสู้
แต่เจ้าหนูนั่นก็ดูจะมีฝีมืออยู่บ้าง ร่างกายแข็งแกร่งพอดู เพลงหมัดตระกูลฮู่ที่ผมใช้ก็แค่สูสีกับเด็กนั่นเท่านั้น ผมจะใช้เพลงหมัดวัวคลั่งกับเพลงหมัดอสุราก็ได้เพราะชนะไปเด็กนั่นก็ไม่ยอมรับ
เอาจริงๆนะด้วยฝีมือของผมเองก็ไม่มั่นใจว่าจะให้เพลงหมัดวัวคลั่งและเพลงหมัดอสุราชนะได้ หากว่าเพลงหมัดไหนแพ้ผมก็กลัวจะทำให้พี่เสียหน้า
ผมก็เลยคิดว่าหากพี่จิ้งให้ผมลิ้มรสอาหารแสนอร่อยของพี่ที่ขายในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารล่ะก็ นั่นไม่เพียงจะทำให้ร่างกายและสุขภาพของผมดีขึ้น ผมมีความมั่นใจว่าด้วยสิ่งนี้จะทำให้ผมชนะเด็กนั่นอย่างแน่นอน” ฮู่เฟยหยุนพูดออกมาด้วยเสียงกระจ่างชัด
เมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและพูดกลับไปว่า “ไอ้เด็กนี่ เพื่อการนี้ถึงกับชักแม่น้ำทั้งห้าเลยรึ คิดว่าฉันจะยอมโดนหลอกง่ายๆรึไงกัน
ต่อให้หมอนั่นไม่ได้เก่งขึ้นจากการสู้ครั้งแรกสักเท่าไหร่เมื่อต้องสู้ครั้งที่สองก็ตาม แต่ในเมื่อหมอนั่นมีประสบการณ์กับนายแล้ว
แน่นอนว่าหมอนั่นต้องปรับกลยุทธ หากนายยังไปเพียงเพราะคิดว่ามีร่างกายที่แกร่งขึ้น แน่นอนว่ามีโอกาสแพ้อย่างมาก”
“เฮ้อออ พี่จิ้ง ผมยอมรับความผิดนี้ครับ” ฮู่เฟยหยุนนึกไม่ถึงว่าจะโดนซูจิ้งจับได้เร็วถึงเพียงนี้จึงทำได้แต่หัวเราะออกมาอย่างอายๆ
ความจริงแล้วที่เขาโทรมานี่เพราะฮู่ฮงหยางให้โทรมาเพื่อขอความเห็นจากซูจิ้ง แต่เป็นเขาที่อยากกินของอร่อยในพื้นที่พิเศษของปลาหญ้าสวรรค์มากๆ
แถมเขายังได้ยินทั้งข่าวลือ เห็นรูปภาพ และวิดีโอเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขานั้นต้องเพ้อไปไกลเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเขานั้นไม่มีความสามารถพอที่จะหาเงินได้เพียงพอกับค่าอาหารดังกล่าว
นี่จึงเป็นโอกาสให้เขาได้ลองดูสักหน่อย ถึงแม้จะโอกาสสำเร็จต่ำไปหน่อย แต่เขาก็เชื่อว่าซูจิ้งอาจจะตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมากเหมือนกัน สุดท้ายกลับโดนจับได้อย่างรวดเร็ว
“….พวกนายไม่ต้องทำอะไรหรอก ปล่อยเรื่องนี้ให้ฉันเอง” ซูจิ้งคัดสักพักแล้วพูดออกมา
“ห้ะ” ฮู่เฟยหยุนได้ยินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป “พี่จิ้งพี่ไม่ได้หลอกผมเล่นใช่รึเปล่า ผมจะกวนพี่เรื่องนี้ได้ยังไงกัน อีกอย่าง พี่ยังมีเรื่องต่างๆอย่างโรงพยาบาล ภัตตาคาร สถานีวิจัย และเรื่องอื่นๆที่ทำให้พี่วุ่นมากๆ พี่จะทิ้งเรื่องพวกนั้นไว้ก่อนจริงๆเหรอ หรือว่าพี่ไม่เชื่อความสามารถของผม ถ้าเอาจริงๆตอนนี้ผมกำราบเสี่ยวไจ๋ได้เลยนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า ฉันก็แค่มีแผนอื่นเข้ามาในหัวก็เท่านั้นเอง เอาเป็นว่านายปล่อยให้ฉันจัดการเองก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนจะวางสายไป
“อาจิ้งว่ายังไงบ้าง” ปรมาจารย์สูงสุดแห่งโรงเรียนสัประยุทธ์ฮู่ฮงหยางเมื่อเห็นฮู่เฟยหยุนมีท่าทีแปลกๆจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“พี่จิ้งบอกว่าให้เราวางมือเรื่องในครั้งนี้ เดี๋ยวที่เหลือเขาจะจัดการเอง” ฮู่เฟยหยุนพูดบอกมาแบบอึ้งๆ
“หืม จัดการเองเลยเหรอ” ไคหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ตกใจว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องจัดการด้วยตัวเอง
หากเขาลงมือด้วยตัวเองหมอนั่นต้องสิ้นอนาคตในวงการนี้อย่างแน่นอน นี่มันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอ นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาต่างก็ไม่เข้าใจ อีกอย่างเขายุ่งมากจะมาสนใจเรื่องเล็กๆแบบนี้ทำไม
เมื่อซูจิ้งวางสายจากฮู่เฟยหยุนก็ได้โทรหาลูฉินหมิงในทันที เมื่อลูฉินหมิงเห็นก็ได้รีบรับสายโดยซูจิ้งพูดออกมาว่า “ลูงลู สองพี่น้องนั่นยังคุกเข่าอยู่ที่ประตูโรงพยาบาลอยู่รึเปล่า”
“ยังอยู่อยู่เลย จะให้ฉันทำยังไงกับพวกเขาดี นี่ก็สามวันเข้าไปแล้วนะ พวกเขาไม่น่าจะทำอย่างนี้เลยจริงๆ” ลูฉินหมิงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ซูจิ้งได้รับฉายาว่าเป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนั้น
ตัวเขาก็ได้รับชื่อเสียงอย่างมาก หลายๆคนเองต่างก็พยายามจะมาหาซูจิ้งเพื่อรักษา แต่บางคนนั้นไม่มีเงินพอจึงได้แต่เข้าไปรักษายังคลีนิกทั่วไป
นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ไม่ต้องการรักษาในพื้นที่ทั่วไปและก็ไม่มีเงินแต่ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ โดยล่าสุดนี่มีสองคนที่อยู่ในกลุ่มนี้และทำการคุกเข่าอยู่หน้าโรงพยาบาลไม่กินไม่นอนอยู่สามวันแล้ว
หากเป็นเคสการรักษาทั่วไปนั้นแน่นอนว่าลูฉินหมิงย่อมไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าความต้องการสองพี่น้องนี้คือการรักษาพ่อของพวกเขาให้กลับมาขยับได้อีกครั้ง นี่เกินกว่าความสามารถของลูฉินหมิงจึงไม่อาจทำอะไรได้
“พาทั้งสองเข้าไปยังคลีนิกพิเศษ เดี๋ยวผมจะไปที่นั่น” ซูจิ้งพูดออกมา
“หืม? ที่จะรักษาพ่อของสองคนนั่นเหรอ แต่…” ลูฉินหมิงอึ้งไปเล็กน้อย
“ทำตามที่ผมว่าก่อนแล้วกันครับ ให้พวกเขารอในนั้นไปก่อนเดี๋ยวผมจะไปที่นั่น” ซูจิ้งพูดออกมา ลูฉินหมิงได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วยในทันที
หลังจากที่ซูจิ้งวางสายไป เขาได้ขับปอร์เช่911ของเขาไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน พร้อมความคิดหนึ่งในหัวสมองของตนเอง