GGS:บทที่ 1007 แผนการประชาสัมพันธ์

ซูจิ้งตรงไปยังคลีนิกพิเศษแห่งโรงพยาบางกังเฟิงจงหยุน ที่นั่น ลูฉินหมิงกำลังพูดคุยกับชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง ทั้งสองดูอิดโรยจากการที่ต้องนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืนมาสามวันติดแล้ว
“คุณซู” เมื่อทั้งสองได้เห็นซูจิ้งต่างก็ตื่นเต้นและลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แต่ด้วยการที่ทั้งสองต้องคุกเข่ามานานจึงทำให้เป็นไปด้วยท่าทีที่ยากลำบาก
“สวัสดี” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“คุณซู ขอบคุณมากครับที่ยอมให้พวกเราพบ ผมหวังว่าคุณจะสามารถรักษาพ่อของพวกเราได้ พวกเรานั้นไม่มีเงินมากขนาดนั้นในตอนนี้ แต่แน่นอนว่าในอนาคตพวกเราจะหาทางคืนให้อย่างแน่นอน” ชายหนุ่มพูดออกมา
“พวกเราต้องจ่ายตามที่คุณหมอซูกำหนดให้ครับถ้วนแน่นอนค่ะ ต่อให้เราต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้าก็ยอม” หญิงสาวพูดออกมา

“ผมพอจะได้ยินอาการของพ่อคุณจากคุณหมอลูคร่าวมาแล้ว ตอนนี้ผมขอรายละเอียดเชิงลึกซักหน่อยแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“พ่อของผมประสบอุบัติเหตุร้ายแรงทางรถยนต์เมื่อปีก่อน เขาต้องเสียแขนสองข้างและขาอีกหนึ่งข้างครับ ผมได้ยินมาว่าคุณซูกำลังพัฒนาอวัยวะเทียมที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอยู่” ชายหนุ่มพูดออกมา
“แขนสองข้างและขาของเขาถูกทับจนกระดูกหักแหลกละเอียดทำให้ต้องตัดแขนและขาออกไปน่ะ” ลูฉินหมิงอธิบายเพิ่มเติม

“ทั้งสองคนก็น่าคงพอจะรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าอีกไม่นานงานวิจัยนี้จะถูกทำขายเป็นสินค้าก็จริงแต่คุณรู้รึเปล่าว่าพวกมันราคาเท่าไหร่” ซูจิ้งถามออกมา
“ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหรือสองล้านก็ไม่เป็นไรครับ พวกเรารับรองว่าจะทยอยจ่ายเงินก่อนนี้คืนได้อย่างช้าๆ” ชายหนุ่มกัดฟันเล็กน้อยในขณะที่พูด
“พ่อของพวกเรารู้สึกกดดันและหดหู่ที่ต้องเป็นคนที่ใช้การอะไรไม่ได้และคิดว่าตัวเองเป็นภาระไม่อยากจะให้พวกเราต้องลำบากจนคิดฆ่าตัวตายมาแล้วหลายหน ฉันไม่สามารถทนเห็นพ่อของฉันเป็นแบบนี้อีกต่อไปได้แล้ว คุณซูได้โปรดช่วยพวกเราด้วยค่ะ” หญิงสาวคุกเข่าอ้อนวอน

“สองล้านเหรอ ผมว่านั่นไม่พอหรอกนะ” ซูจิ้งส่ายหัวออกมาและพูดต่อว่า “ด้วยการที่ว่านี่เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าใครแน่นอนผมทุนเทวิจัยไปกับงานนี้สูงมาก
ต่อให้ผมอยากจะเห็นใจและคิดลดทอนรักษาแค่ไหนแต่ในกรณีพ่อของคุณคือแขนสองข้างและขาอีกหนึ่งข้าง
ค่ารักษาอย่างต่ำก็ต้องอยู่ที่ห้าล้านหยวนซึ่งนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก คุณก็รู้ว่านี่คือโรงพยาบาลไม่ใช่บ้านเมตตา”

เมื่อสองพี่น้องได้ยินค่าใช้จ่ายนี้ถึงกับหน้าถอดสี แต่เงินหนึ่งหรือสองล้านเองทั้งสองก็ยังหามาได้อย่างอยากยิ่ง ต่อให้ต้องขายบ้านของตัวเองและทำงานอย่างหนักตลอดชีวิตก็ยังอยากเย็น นับประสาอะไรกับห้าล้านหยวน
“แต่ผมเองมีทางเลือกอื่นให้ ผมมีข้อเสนอ หากพ่อของคุณยินยอมร่วมมือ ผมจะไม่คิดเงินจากเขาเลยสักหยวนเดียว” ซูจิ้งพูดออกมา
เมื่อทั้งสองได้ยินก็มองซูจิ้งด้วยสายตาเปล่งประกาย แต่ลูฉินหมิงที่พอจะเดาออกเองก็เริ่มอยู่ไม่สุข
“คุณซู ความร่วมมือที่ว่าคืออะไรครับ” ชายหนุ่มถามออกมา

“ก็อย่างที่คุณรู้ ตอนนี้ผมกำลังพัฒนาระบบประสาทเทียมอยู่ และนี่เองก็เพิ่งจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ที่โลกภายนอกนั้นถึงแม้ต่างก็คิดว่ามันไม่มีทางจะสำเร็จ ต่อให้สำเร็จก็ไม่มีทางจะเหมือนจริงอย่างที่ผมพูดไว้
ผมต้องการคนที่จะมาประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้
ผมเพียงหวังว่าพ่อของคุณจะยอมร่วมมือกับผมในการมาเป็นคนประชาสัมพันธ์ให้ผมเป็นเวลาสามปี แน่นอนว่าผมไม่มีเงินในส่วนการออกประชาสัมพันธ์ให้ แต่ว่ามีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตประจำให้อย่างแน่นอน”

“เดี๋ยวก่อนนะคะคุณซู งานประชาสัมพันธ์นี้จะไม่ยากเกินไปที่คนธรรมดาจะทำได้หรือคะ” หญิงสาวถามออกมาอย่างกังวล
“ก็ไม่เชิงประชาสัมพันธ์แบบนั้นนะ ผมแค่อยากให้พ่อของคุณคอยบอกสื่อเฉยๆว่าเวลาเขาใช้อวัยวะเทียมแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ใช้ทำอะไรได้บ้าง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของพ่อของคุณด้วยเช่นกัน ผมรับรองว่าปลอดภัยไร้กังวล” ซูจิ้งพูดออกมา

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีเลย” สองพี่น้องแสดงท่าทีมีความสุขออกมา ตราบใดที่ทั้งสองไม่ได้โง่งมจนเกินไปย่อมเห็นว่าซูจิ้งนั้นต้องการดูแลครอบครัวของทั้งสองอย่างไม่รังเกียจ พร้อมเสนอเส้นทางการดำเนินชีวิตให้ครอบครัวของทั้งสองเลยทีเดียว
ทั้งสองรีบโทรไปหาพ่อของตัวเองแล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นและยินดี เมื่อพ่อของพวกเขาได้พูดออกมาพวกเขาก็หันมาบอกกับซูจิ้งว่า

“พ่อของผมบอกว่าตราบใดที่คุณทำให้เขาสามารถลุกขึ้นยืนและทำให้เขากลับมาดูแลครอบครัวของเขาได้แล้ว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟที่ไหนเขาก็ยินดีครับ”
“ถ้าอย่างนั้นไปพาเขามาที่นี่” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” สองพี่น้องได้จากไปด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด หลังจากผ่านไปสามชั่วโมงกว่า พวกเขาได้พาชายวัยกลางคนที่มีท่าทีผอมแห้งและอิดโรยมา
ชายคนนี้นั่งอยู่ในรถเข็นโดยมีสองพี่น้องเป็นคนเข็นเข้ามา และมีหญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่มีท่าทีอิดโรยไม่ต่างกันแต่เธอก็ดูมีท่าทีตื่นเต้น
ตอนที่พวกเขาได้พบกับซูจิ้ง ทุกคนล้วนปลื้มปิติและแสดงเคารพซูจิ้งมากอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาต่างก็เคยได้ยินฉายาหมอเทวดาของซูจิ้งมาก่อนหน้านี้และก็เชื่อว่าซูจิ้งนั้นมีทักษะด้านการแพทย์สูงที่สุดในโลกนี้

เพียงแต่ต่างก็คิดว่ากับเรื่องอวัยวะที่สูญเสียไปนั้นเกินมือเกินไปอย่างแน่นอน แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าซูจิ้งกำลังพัฒนาอวัยวะเทียมทำให้พวกเขามีความหวังและนั่นจึงทำให้สองพี่น้องมาคุกเข่าขอร้อง
นึกไม่ถึงว่าไม่เพียงซูจิ้งจะยอมรักษา เขายังเอ่ยปากที่จะดูแลทั้งครอบครัวอย่างดี นี่จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกเคารพเทิดทูนซูจิ้งแม้แต่น้อย

เมื่อคนไข้ของเขามาถึง ซูจิ้งและหมออีกจำนวนหนึ่งร่วมกันวินิจฉัยอาการของเทียนดาจูหรือชายที่สูญเสียแขนและขาคนนี้
แขนข้างหนึ่งของเขาถูกตัดตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป อีกข้างหนึ่งนั้นถูกตัดตั้งแต่ข้อศอก ส่วนขาเองก็ถูกตัดตั้งแต่ต้นขาลงไป นี่เป็นการบ่งบอกว่าเขานั้นได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ร้ายแรงอย่างมาก แค่มีชีวิตรอดได้นี่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหารย์มากแล้ว

ในตอนนี้เขาเองก็ได้เชื่อมต่อกับแขนและขาเทียมอยู่ แต่แน่นอนว่ามันคือแขนและขาปลอมธรรมดาที่ทำให้ยากต่อการเคลื่อนไหว
“เราจะติดตั้งอวัยวะเทียมยังไงดี” ลูฉินหมิงถามออกมา
“แน่นอนว่าต้องทั้งหมดอยู่แล้ว แต่จะทำกันไหวรึเปล่า” หมออีกคนพูดออกมา
“ประเด็นคือเขาดูอ่อนแรงมากนะ สภาพของเขาน่าจะยังไม่เหมาะสักเท่าไหร่ที่จะผ่าตัด” หมออีกคนหนึ่งพูดออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมอยู่ทั้งคน เรามาเร่มกันดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมา
“หมอจ้าวหรือหมอหลินดีล่ะ” หมอคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากัน พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอวัยวะเทียมที่ซูจิ้งจ้างมาในระหว่างที่เขากำลังพัฒนาระบบประสาทเทียม

“เอาล่ะนะ ผมลงมีดละ” ซูจิ้งพูดออกมาและลงมือในทันทีนี่ทำให้หมอทุกคนต่างมองการผ่าตัดของซูจิ้งด้วยสายตาเป็นประกาย
ทุกคนในที่นี้ต่างก็คิดว่าตัวเองนั้นมีฝีมือการผ่าตัดที่สูงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผ่าตัดระบบประสาท
แต่เมื่อทุกคนได้เห็นการผ่าตัดของซูจิ้งต่างก็ยอมแพ้ไปทุกคน
นั่นก็เพราะมือของซูจิ้งนั้นทั้งเร็ว แม่นยำ และนิ่งมาก สมกับที่ได้รับฉายาหมอเทวดาจริงๆ

สามวันผ่านไปไวอย่างโกหก
ข่าวที่ว่านักสู้ชาวอเมริกันท้าทายวงการศิลปะการต่อสู้จีนนั้นได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีสื่อหลายเจ้าหลายรูปแบบที่เล่นข่าวนี้กันอย่างสนุกสนาน
พร้อมทั้งถากถางว่าเหล่าปรมาจารย์ในวงการศิลปะการต่อสู้จีนนั้นเอาแต่หลยหน้าไม่กล้าออกมาท้าประลองกับนักสู้ชาวอเมริกันคนนี้

ในตอนนี้เพลงหมัดออกกำลังกาย(กายวิเศษ)นั้นเป็นที่นิยมในวงกว้างและแพร่หลาย หลายๆคนในประเทศนี้อย่างน้อยๆจะทำท่าทางรูปแบบขั้นที่หนึ่งได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าทุกคนต่างก็ถือว่าซูจิ้งเป็นผู้คิดค้น
หากว่านับผู้ฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งที่ก่อตั้งนิกายวัวคลั่งนั้นเป็นนิกายหนึ่งจริงๆล่ะก็ ในทำนองเดียวกันเหล่าผู้ฝึกฝนเพลงหมัดกายวิเศษก็คงไม่ต่างจากนิกายอันดับหนึ่งของจีนในตอนนี้

ด้วยเหตุที่หลายๆคนฝึกฝนเพลงหมัดกายวิเศษนี้ทำให้พวกเขาประหนึ่งดั่งตัวเองเป็นผู้ฝึกฝนยุทธและอยากจะท้าทายกับนักสู้มะกันคนนี้อย่างมาก และเกินครึ่งเป็นคนจากนิกายวัวคลั่ง
แต่นักสู้อเมริกันคนนี้กลับทำตัวราวกับเก่งแต่ปากและยืนยันว่าสำหรับเขานั้นเพลงหมัดวัวคลั่งเป็นเพลงหมดที่มีกลิ่นอายวิชาการต่อสู้สมัยใหม่เข้าไปด้วย ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ของจีนอย่างแท้จริง

แน่นอนว่านี่ทำให้โลกภายนอกพาคิดไปว่าเพลงหมัดกายวิเศษของซูจิ้งเองก็ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้จีนแท้ๆเช่นกัน
นี่ทำให้ฮัวเฟยหยุนและผู้ศึกษาศิลปะการต่อสู้จีนคนอื่นอยากจะไปกวาดล้างคนที่อยู่ข้างเดียวกับนักสู้มะกันคนนี้ให้ตกตายกันไปเรื่องจะได้จบๆ

แต่เป็นเพราะว่าซูจิ้งนั้นออกปากเองว่าเขานั้นจะจัดการเองทำให้พวกเขายังไม่อยากจะเคลื่อนไหว มีเพียงฮู่เฟยหยุนเท่านั้นที่เลือดร้อนกว่าใครและเรียกที่จะโทรหาซูจิ้งในวันนี้
เมื่อเขาโทรหาซูจิ้ง ซูจิ้งบอกกับเขาว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้จบๆไป แต่เขาจะไม่ใช่คนที่ท้าประลองกับนักสู้ชาวอเมริกันคนนั้น
แต่เป็นคนของเขาที่ชื่อเทียนดาจูโดยเขานั้นจะใช้หมัดไท้เก๊กและเพลงหมดดอกไม้ร่ายรำ นี่ทำให้ฮู่เฟยหยุนอดจะสงสัยไม่ได้ว่าใครคือเทียนดาจูแล้วเขามีชื่อเสียงมาจากไหน