GGS:บทที่ 1008 ปรมาจารย์ที่ซูจิ้งพามา

ข่าวที่ว่ามีใครสักคนที่ชื่อเทียนดาจูต้องการสู้กับนักสู้ชาวอเมริกาได้แพร่กระจายออกไปในวงกว้าง
“เยี่ยม ในที่สุดก็มีคนก้าวออกมารักษาชื่อเสียงสักที”
“ว่าแต่ใครคือเทียนดาจูกันน่ะ ชื่อเขาไม่คุ้นเลย”
“ฉันได้ยินมาว่าเขานั้นเป็นผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้จากตระกูลฮู่แถมเขายังเรียนหมัดไท้เก๊กมาอีกด้วย”
“เพลงหมัดของตระกูลฮู่เหรอ ไม่ใช่ว่าเขานั้นเกี่ยวข้องกับซูจิ้งหรอกเหรอ”
“เป็นไปได้นะ ฉันได้ยินมาว่าฮู่ฮงหยางที่เป็นผู้นำของตระกูลเคยฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ให้ซูจิ้งอยู่ และนั่นเองทำให้ซูจิ้งเป็นผู้สืบทอดเพลงหมัดตระกูลฮู่ด้วยเช่นกัน
เห็นว่าเพื่อเป็นการตอบแทน ซูจิ้งจึงสอนเพลงหมัดกายวิเศษทั้งสามรูปแบบให้กับฮู่ฮงหยางนะ”

“เพิ่งได้ยินมาว่าตระกูลฮู่นั้นนั้นได้เปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัปประยุทธ์แถมผลิตผู้เชี่ยวชาญออกมาได้มากมายเลย
นี่จึงเป็นเหตุผลให้โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัปประยุทธ์เป็นสุดยอดโรงเรียนสอนการต่อสู้ของเมืองจีน เทียนดาจูคนนี้เองก็สมควรเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น”
“เฮ้อ…ตอนแรกฉันนึกว่าเสี่ยวไจ๋จะออกโรงเองเสียอีก เขานั้นนับว่าเป็นศิษย์สายตรงของซูจิ้งและเขาเองก็มีความแข็งแกร่งรองแค่ซูจิ้งเท่านั้นเอง
เอาเถอะ ยังไงซะเขาก็มาจากโรงเรียนสัปประยุทธ์ แน่นอนว่าต้องวางใจได้”
“ถ้าซูจิ้งลงมือเองจะไม่ดีกว่าเหรอ”
“ซูจิ้งนั้นมีเรื่องต้องทำมากมายแล้วในตอนนี้ แค่เรื่องคลีนิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิง พื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ ไหนจะการวิจัยในสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศนั่นอีก แต่สามเรื่องนี่ฉันก็ว่าเขาหัวหมุนแล้วนะ อีกอย่าง ในครั้งนี้คู่ต่อสู้มีเพียงหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่สนใจหรอก ”
“ถ้าซูจิ้งลงมือเองก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนเลยนะนั่น อีกฝั่งนึงนี่จะเอาอะไรไปสู้ได้ล่ะ”

ขณะเดียวกันที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งหนึ่ง ชาวอเมริกันวัยกลางคนหนหนึ่งที่เห็นข่าวที่ว่าเทียนดาจูจะมาท้าปะลองทำให้หน้าของเขาหมองคล้ำและดูไม่ดีนัก

“วิล…เป็นไปได้ว่าเทียนดาจูคนนี้น่าจะเป็นผู้สืบทอดของซูจิ้ง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ใส่สูตรและใส่รองเท้าหนังขมวดคิ้ว
“อืม ถึงเวลาแล้วสินะ” วิลพยักหน้ารับ
“ทำไมเราไม่หาเรื่องเลี่ยงการปะทะไปล่ะ”
“ไม่ได้หรอก คราวนี้อีกฝั่งบอกว่าจะใช้แค่หมัดไท้เก๊กและเพลงหมัดดอกไม้ร่ายรำเท่านั้น หากว่าฉันเลี่ยงตั้งแต่การรับคำท้ารอบแรกไปล่ะก็ไม่ต่างอะไรกับการขอยอมแพ้กันตรงๆ
ต่อให้วันหลังฉันชนะนักสู้ที่มีชื่อเสียงได้ก็จริงแต่มันก็ไม่ได้เป็นที่สนใจอย่างแน่นอน แล้วก็ ฉันลองดูรายชื่อนักสู้ที่เป็นที่รู้จักของโรงเรียนสัปประยุทธ์นั่นแล้วไม่มีชื่อของเทียนดาจูเลย
ความแข็งแกร่งของเขาสมควรจะไม่ได้มากมายอะไร ตราบใดที่ฉันชนะเขาได้ ชื่อเสียงของฉันต้องมากขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเรจะทำเงินได้มากกว่านี้อีก” พูดเสร็จ วิลก็ได้หัวเราะออกมา

วันถัดมา เหล่าผู้ชมและนักข่าวก็ได้เข้ารอชมเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในสนามประลองคึกคักกันเป็นอย่างมาก ฮู่เฟยหยุน ฮู่ฮงหยาง จี้เสี่ยวถิง ไคหวูเฟิง และนักสู้คนอื่นๆต่างก็มารอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างถ้วนหน้าเช่นเดียวกัน
“ใครคือเทียนดาจูกัน ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน” ฮู่เฟยหยุนเองอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ฉันก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกันนะ แต่ในเมื่ออาจิ้งออกปากเอง แน่นอนว่าเขาน่าจะแข็งแกร่งไม่น้อยเลย” ไคหวูเฟิงพูดออกมา
“ฉันเองก็เคยได้บอกเขาไว้เหมือนกันว่าหากเขานั้นเจอคนที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ล่ะก็ให้เขาช่วยสอนเพลงหมัดตระกูลฮู่ให้ด้วยได้เลย ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้ไปเจอจริงๆ” ฮู่ฮงหยางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“ถ้าอยากจะเก่งเหมือนพี่จิ้งล่ะก็คงต้องเรียนวิชาสุดยอดหมัดวัวคลั่งแล้วล่ะมั้งน่ะ” จี้เสี่ยวถิงพูดออกมา
“เรื่องนั้นโยนทิ้งไปได้เลย ก่อนหน้านี้มีเพียงเสี่ยวไจ๋เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียนรู้เพลงหมัดของศิษย์พี่จิ้งได้
ขนาดหมอนั่นมีพรสวรรค์ขนาดนั้นยังเสียเวลาอยู่นานเลยกว่าเขาจะเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งจากศิษย์พี่จิ้งได้ครบ
ตอนนี้ฉันเชื่อเลยว่าทั้งโลกนี้คนที่จะสยบเสี่ยวไจ๋ได้มีเพียงพี่จิ้งเท่านั้น ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าศิษย์คนใหม่ของซูจิ้งนั้นจะเป็นคนแบบไหนกัน” หวู่หลงมีท่าทีตื่นเต้นและอิจฉา เขาเองก็อยากได้รับการสอนโดยตรงจากซูจิ้งเช่นเดียวกัน

ในตอนนั้นที่ประตูทางเข้าก็ได้มีเสียงโวกเวกโวยวายออกมา
“โอ้ ดูนั่นสิ ซูจิ้งมาที่นี่”
“น่าประหลาดใจจริงๆ นี่เขามาด้วยตัวเองเลยเหรอ”
“นั่น ชายที่เดินตามมานั่น คนที่ใส่ชุดชกมวยนั่นน่าจะเป็นเทียนดาจูนะ”
“จะใช่เหรอ เขาจะผอมไปหน่อยรึเปล่า แถมยังดูแก่แล้วด้วยนา….”
“นักสู้ไม่สามารถตัดสินได้แค่รูปลักษณ์ภายนอกหรอกนะ ในเมื่อเขานั้นมีซูจิ้งเป็นคนพามา แน่นอนว่าเขานั้นต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน”
ในระหว่างที่ผู้ชมกำลังคุยกันเรื่องของเทียนดาจูอยู่นั้น ซูจิ้งและเทียนดาจูพร้อมทั้งคู่ชายหญิงก็ได้ก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว
เมื่อนักข่าวเป็นซูจิ้งต่างก็พากันประหลาดใจและได้ทำการถ่ายรูปกันจนเกิดแสงสว่างแวบวาบกันอยู่นาน คนๆนี้สมควรจะเป็นเทียนดาจู
เพียงซูจิ้งเป็นคนพามาเองแบบนี้ก็คุ้มค่าแล้วที่พวกเขานั้นต้องมาทำการรายงานข่าวระหว่างนักสู้ชายอเมริกาที่ชื่อว่าวิล กับเทียนดาจูที่ซูจิ้งพามา
อีกฝากของเวที วิล เขม่นตามองไปยังซูจิ้งซ้ำไปซ้ำมา เขาเองงก็ได้มีโอกาสได้เห็นวิดีโอที่กวาดล้างนักเทควันโดเกือบสี่สิบคนในครั้งเดียวมาแล้ว

แน่นอนว่าตัวเขานั้นไม่มีความกล้าที่จะสู้กับซูจิ้งอย่างแน่นอน หากเขาต้องขึ้นมาบนเวทีแล้วอยู่ก็ประกาศว่าซูจิ้งนั้นจะท้าเขาสู้เขาจะยอมแพ้โดยทันที
แต่กลายเป็นว่าในครั้งนี้ซูจิ้งไม่คิดจะลงมือเอง นี่ทำให้วิลอดไม่ได้ที่จะมองไปยังชาวัยกลางคนที่อยู่ในชุดคลุมของนักมวย ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในชุดคลุมแต่ก็มองออกได้อยู่ดีว่าร่างกายของเขาดูผอมและอ่อนแอ นี่ทำให้เขานั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ
“อาจิ้ง ผู้นี้คือเทียนดาจูงั้นเหรอ” ฮู่ฮงหยางได้มองไปยังเทียนดาจูพลางคิดอะไรไปหลายอย่าง คนผู้นี้อายุอย่างน้อยๆควรจะอยู่ที่สี่สิบปี แถมยังมีร่างกายที่ผอมแห้งอย่างมาก
“ใช่แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ไม่มีทางน่า” ฮู่เฟยหยุน ไคหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และนักสู้คนอื่นๆแทบจะมองแบบหัวจรดเท้าลงบนล่างของชายอายุสี่สิบกว่าปีคนนี้ในทันที พลางคิดไปว่าคนเช่นนี้หากเก็บซ่อนทักษะการต่อสู้ไว้จริงๆ พวกเขาก็ยินดีเรียกว่าตัวเองเป็นคนตาบอดอย่างไม่เถียง

“ลุยเลย” ซูจิ้งพูดกับเทียนดาจู เทียนดาจูก็ได้พยักหน้ารับ และค่อยๆก้าวขึ้นไปบนเวทีท้าประลองอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่าตัวเขานั้นประหม่าพอดู
วิลเองก็ได้ก้าวขึ้นเวทีด้วยลอยยิ้มกว้าง
เหล่าผู้ชมที่เห็นฉากนี้ต่างก็ส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น เอาจริงๆพวกเขานั้นต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเทียนดาจูนั้นดูไม่เหมือนนักศิลปะการต่อสู้ของจีนแม้แต่น้อย
แถมดูๆไปแล้วตัวเขานั้นน่าจะอ่อนแอกว่าคนทั่วไปเสียด้วยซำ แต่ในเมื่อคนผู้นี้เป็นซูจิ้งที่พามา จึงไปเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะคาดหวังกับคนผู้นี้ไปด้วย
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นไม่ได้สังเกตุว่าคู่ชายหญิงที่มากับเทียนดาจูเองก็มีท่าทีประหม่าไม่ต่างกัน หญิงสาวหันไปถามซูจิ้งด้วยริมฝีปากอันสั่นระริกว่า “คุณซุคะ นี่จะดีจริงๆแล้วเหรอคะ”

“คุณซูครับ คนจากโรงเรียนการต่อสู้สัปประยุทธ์เองก็มาที่นี่ คุณไม่คิดจะเปลี่ยนตัวหน่อยเหรอครับ” ชายหนุ่มหันมาถามซูจิ้งด้วยใบหน้าที่ทำท่าราวกับจะร้องไห้ออกมา
“ไม่ใช่ว่านายเห็นด้วยกับความร่วมมือในการทำแผนประชาสัมพันธ์ของฉันนี่หรอกเหรอ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็…..ก็ใช่ครับ แต่ผมไม่คิดว่าคู่ชกคนแรกของพ่อผมจะเป็นคนที่มีฝีมือแบบนี้” สองพี่น้องในตอนนี้เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เดิมทีแล้วพวกเขานั้นคิดเพียงแค่คิดว่าแผนประชาสัมพันธ์ของซูจิ้งนั้นจะเป็นเพียงการถ่ายภาพตอนที่พ่อของเขาเดิน กิน วิ่ง กระโดด หรือทำกิจวัตรประจำวันโดยอวัยวะเทียมตามที่เขาเคยเห็นต่างประเทศทำกันเท่านั้นเอง
ใครจะไปคิดว่าแผนการประชาสัมพันธ์อวัยวะเทียมของซูจิ้งจะเป็นการให้ไปท้าต่อยกับนักสู้มากความสามารถ หากนี่เป็นเรื่องตลกพวกเขาก็อยากจะให้หยุดเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ

“นี่คือพ่อของพวกเธอเหรอ” ฮู่ฮงหยางและคนอื่นๆที่เห็นสองพี่น้องคุยกับซูจิ้งต่างก็ประหลาดใจ ดูจากอายุของชายหนุ่มและหญิงสาวตรงหน้าพวกเขาแล้ว เทียนดาจูน่าจะไม่ใช่เพียงคนที่น่าจะแก่แล้วล่ะ เขาคือคนที่แก่แล้วจริงๆ
“ครับ/ค่ะ” สองพี่น้องพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
“เดี๋ยวนะ แล้วไอ้แผนการประชาสัมพันธ์ที่ว่ามันคืออะไรเหรอ” จี้เสี่ยวถิงถามออกมา
“เดี๋ยวก็รู้น่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ในตอนนี้เองที่ผู้ตัดสินได้ส่งสัญญาณให้พี่เลี้ยงเตรียมตัวให้นักชกของตัวเอง
ตอนนี้เอง เทียนดาจูได้ขยับร่างกายแล้วดึงเสื้อคลุมออกไป ตอนนั้นเอง ทุกสรรพเสียงได้เงียบลง ทุกสายตาได้จับจ้องไปยังร่างกายของเทียนดาจู
ปากของหลายๆคนอ้ากว้างจนอยากจะทำให้ปลายคางตกไปอยู่กับพื้นเสียให้ได้ สายตาทุกคนในตอนนี้ราวกับได้เห็นภูตผีวิญญาณเลยทีเดียว