ตอนที่ 507 ทนรับการถูกดูหมิ่น

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 507 ทนรับการถูกดูหมิ่น โดย Ink Stone_Fantasy

คิตะมิยะ ฮิเดโอะคิดเหมือนกับเยี่ยเทียนว่าในหุบเขานั้นห่างไกลผู้คน แทบไม่มีใครเดินทางมาถึง จึงเกิดสัตว์แปลกประหลาดอย่างงูยักษ์ตัวนั้นที่ตอนนี้มันได้ถูกกำจัดไปแล้ว พวกเขาสามารถหาทางอื่นออกจากหุบเขาได้

ดังนั้นการปิดปากทางเข้าออกหุบเขาถึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ฮิเดโอะเตรียมสั่งการให้คนที่เหลือครึ่งหนึ่งอยู่เฝ้าขบวนรถ ส่วนที่เหลือออกสำรวจทาง ไม่ว่าอย่างไรสมบัติพวกนี้ต้องไม่ตกไปถึงมือคนอื่นได้

“ครับ หัวหน้า พวกนายสองสามคน อยู่เฝ้าปากทาง!”

คิตะมิยะ ฮิโคโตชิได้ยินคำสั่งแล้วก็รับคำ ถ่ายทอดคำสั่งต่อให้รถคันด้านหน้าสองสามคัน จากนั้นรีบวิ่งไปทางท้ายขบวน เขาเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเสียงดังสนั่นเมื่อครู่ทำไมกลับไม่มีคนออกมายืนดูเลย?

“เจ้าโง่ เกียวโค ทำไมยังนอนหลับอยู่ได้? รีบออกมาสิ!”

เมื่อฮิโคโตชิเดินมาถึงรถคันแรก เขาเห็นหลานของตัวเองคิตะมิยะ เกียวโคฟุบหลับอยู่ที่พวงมาลัยรถ มองผ่านช่องกระจกที่ถูกลดลงมาเข้าไปเห็นใบหน้าครึ่งซีกของเขา

แม้ในปกติฮิโคโตชิจะมีนิสัยค่อนข้างนุ่มนวล แต่เมื่อหัวร้อนขึ้นมาก็ใช้อารมณ์เช่นกัน ครั้งนี้เขาเอื้อมมือไปตบเข้าที่ท้ายทอยของหลานชาย

“เกียว…เกียวโค  แกเป็นอะไร?”

ฮิโคโตชินึกไม่ถึงว่าคิตะมิยะ เกียวโค พอโดนฝ่ามือของเขาฟาดเข้าทีหนึ่งก้มล้มตัวลงไปด้านข้าง ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ดวงตาทั้งสองเบิ่งค้างไว้ ที่มุมปากยังมีคราบเลือดที่ยังไม่แห้ง

คิตะมิยะ ฮิโคโตชิตกใจแทบสิ้นสติ กระโดดถอยหลังไปหลายก้าว ตอนนั้นนั่นเอง จู่ๆ ด้านหลังรถออฟโรดก็ปรากฎเงาคนคนหนึ่งซึ่งกำลังเงื้อมมือมาคว้ามือขวาของฮิโคโตชิรัดกุมไว้ ใช้เรี่ยวแรงมหาศาลลากฮิโคโตชิเข้าไปในรถ

เยี่ยเทียนไม่รอให้ฮิโคโตชิอ้าปากร้องขอ มือซ้ายของเยี่ยเทียนที่แข็งแกร่งรวดเร็วราวกับลิ้นแฉกของงูร้ายนั้นบีบลงไปที่คอของเขา “แป้ก” เสียงกรอบแตกหักดังออกมาจากกระดูกคอหอยของฮิโคโตชิ

“เออ…..เออ….”

ตอนนี้สีหน้าท่าทางของฮิโคโตชิเหมือนกับหลานชายของเขาไม่มีผิด เพราะอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเขาซึ่งจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้า กลับต้องมาจบชีวิตลงที่นี่?

ในใจของฮิโคโตชิยังมีความเสียดายมากมาย เขายังอยากจะเห็นความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลที่สร้างด้วยมือของตัวเอง เขาอยากจะให้ชื่อของตัวเองถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูล เขายังอยาก…..

แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นแค่ความคิดจิตสุดท้ายที่ค่อยๆ จางหายไปของคิตะมิยะ ฮิโคโตชิ ดวงตาคู่นั้นยังเบิ่งค้างด้วยความสงสัยและความอาลัยอาวรณ์ราวกับจะบอกให้เยี่ยเทียนรับรู้ว่าเขายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ

“อืม คนนี้เหมือนจะเป็นคนเก็บรักษากุญแจ?”

เยี่ยเทียนที่พุ่งตัวออกมาจากเบาะหลัง โดยที่ยังไม่รู้ว่าคนที่มาเปิดประตูรถเป็นใคร พอเห็นใบหน้าของฮิโคโตชิตอนนี้ก็อดตะลึงไม่ได้ จากการเฝ้าดูมาทั้งคืน เขามองออกว่าคนๆ นี้มีความสำคัญต่อตระกูลคิตะมิยะแค่ไหน เหมือนจะมีตำแหน่งด้อยกว่าคิตะมิยะ ฮิเดโอะเพียงเล็กน้อย

ความคิดในใจผุดขึ้น เยี่ยเทียนล้วงมือขวาเข้าในเสื้อตรงหน้าอกของฮิโคโตชิ ตอนที่เอามือออกมา ในมือคว้าได้ทองคำแท่งหนึ่ง แม้จะยังไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้ทำอะไร แต่ตอนที่เห็นท่าทางของฮิเดโอะตอนที่มองเจ้าของสิ่งนี้แล้ว เยี่ยเทียนจำได้ขึ้นใจ

“ฮิโคโตชิ  ฮิโคโตชิ เกิดอะไรขึ้น?”

ฮิเดโอะที่ตอนแรกเอาแต่สนใจในเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อครู่ได้เห็นฮิโคโตชิพุ่งตัวเข้าไปรถแล้วรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงรีบเดินมาดู

เยี่ยเทียนได้ยินเสียงตะโกนของฮิเดโอะดังมาก็รีบเก็บกุญแจเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ค่อยๆ เปิดประตูด้านขวาของรถออก แล้วกลิ้งม้วนตัวลงจากรถไปที่พื้นหญ้าด้านข้าง

“เจ้าโง่!”

ตำแหน่งที่ฮิเดโอะยืนอยู่ ห่างจากรถคันนั้นเจ็ดแปดเมตร อีกแค่ไม่กี่ก้าวจะถึงตัวรถ เขาถึงสังเกตเห็นฮิโคโตชิที่นอนหงายตาค้างอยู่ในรถ อดไม่ได้ที่จะถลึงตา มือขวาคว้าไปด้านหลังชักเอาดาบญี่ปุ่นออกมาดัง “ชิ้ง”

“ใคร…เป็นฝีมือใคร ออกมา ออกมาเดี๋ยวนี้!”

ฮิโคโตชิเป็นคนที่ฮิเดโอะคัดสรรและฝึกฝนให้ด้วยตัวเองมาสิบกว่าปี คิตะมิยะ ฮิเดโอะที่ไม่มีลูกหลาน จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจให้คนๆ นี้ไปหมด การตายของฮิโคโตชิทำให้เขาอกแทบระเบิด อยากจะฆ่าแล้วสับเจ้าฆาตกรคนนั้นให้เป็นหมื่นๆชิ้น

ท่านโชตะที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงคำรามด้วยโทสะของฮิเดโอะก็รีบเข้ามาดู ถามว่า “ฮิเดโอะ มีอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ฮิเดโอะกัดฟันกรอดตอบว่า “ฮิโคโตชิพลีชีพเพื่อตระกูลแล้วครับ!”

“อะไรนะ?”หลังจากได้ยินคำพูดของฮิเดโอะ ท่านโชตะก็ตกใจใหญ่ รีบเข้าไปดูที่ตัวรถและเบิกตาค้าง

“มีคน ลักลอบเข้ามา…”

ลักษณะการตายของคนทั้งสองในรถแสดงให้เห็นชัดว่าเหยื่อถูกลงมือโดยไม่ทันระวังตัว นั่นก็แสดงว่า ฆาตกรจะต้องปะปนอยู่ในหมู่พวกเขาแห่งชาติ หรืออาจจะเป็นกบฏในตระกูลก็เป็นได้

คิตะมิยะ ฮิเดโอะ พาพรรคพวกที่มีฝีมือชั้นสูงในตระกูลมาถึงพม่า กลับคาดไม่ถึงว่าไม่เพียงจะพาคนในตระกูลมาตายแล้ว ยังทำให้คนที่จะมารับตำแหน่งต่อจากเขาต้องมาจบชีวิตลงด้วย ทำให้ฮิเดโอะทั้งโกรธทั้งแค้น

“ฮิเดโอะ กุญแจดอกนั้นฮิโคโตมิเป็นคนเก็บรักษาใช่ไหม?” คิตะมิยะ โชตะเป็นผู้อาวุโสในตระกูล ปกติแล้วไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับฮิโคโตมิมากนัก จึงแค่รู้สึกโกรธต่อการตายของฮิโคโตชิเท่านั้น สิ่งสำคัญที่นึกถึงเป็นอันดับแรกคือกุญแจตู้เซฟในธนาคารแห่งชาติสวิส

หลังจากได้ยินคำพูดของท่านโชตะแล้ว ฮิเดโอะเหมือนตื่นจากฝันรีบพุ่งไปถึงร่างของฮิโคโตชิ ควานหาเข้าไปในเสื้อของศพ สีหน้าเปลี่ยน พูดอึกอักว่า “ไม่…ไม่มีแล้ว…”

“ฮิเดโอะ ฝ่ายศัตรูได้วางแผนมาก่อน ไป พวกเราขึ้นรถกัน อย่าให้พวกมันมาซุ่มโจมตีทั้งหน้าหลังได้!”

ถึงจะสูญเสียกุญแจดอกนั้นไป แต่ในอ้อมอกของฮิเดโอะยังมีหลักฐานที่สำคัญพอกัน นี่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูตระกูลของเขาว่าจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ท่านโชตะฉุดรั้งเรียกสติฮิเดโอะไว้ แล้ววิ่งไปที่รถถัง

“เปรี้ยง…เปรี้ยง เปรี้ยง ! เจ้าโง่เอ๊ย!”

ตอนที่คิตะมิยะ โชตะกำลังจะหมดกำลังใจนั้น จู่ ที่ปากทางหุบเขาเกิดเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามด้วยความโกรธเคือง ตามมาติดๆ ด้วยเสียงร้องครวญคราง ภายในเวลาสั้นๆ กว่าเสียงจะมาถึงโสตประสาทของคนทั้งสอง เสียงคำรามนั้นก็สิ้นสุดลง

พวกเขาเดินอ้อมรถออฟโรดไปอีกด้านแล้วก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น คนในตระกูลที่เหลืออยู่เพียงสี่ห้าคนตอนนี้นอนอยู่กับพื้น แขนขายังคงกระตุกอยู่แสดงว่ายังไม่ตายสนิท

แต่ตรงบริเวณคอของพวกเขามีบาดแผลขนาดเท่าปากปลาคาล์ฟประทับอยู่และกำลังพ่นเลือดให้ไหลออกมาจากปาก คิตะมิยะ ฮิเดโอะมองออกในทันทีว่าคนพวกนี้ไม่มีทางช่วยชีวิตได้แล้ว

ตอนนี้ สมาชิกตระกูลทั้งหมดที่ร่วมเดินทางมาพม่าในครั้งนี้ เหลือเพียงแต่ท่านผู้อาวุโสฟูจิโอะ ท่านโชตะ และฮิเดโอะเพียงสามคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นตายหมด

ถ้าเทียบกับบรรยากาศตอนเดินทางเข้าหุบเขาครั้งแรกที่ครึกครื้น ตอนนี้เหลือแค่ตาแก่สามคนที่พอบวกอายุรวมกันแล้วเกินกว่าสองร้ายห้าสิบปี ฮิเดโอะดูแก่ลงไปอีกยี่สิบสามสิบปีในพริบตา ผมสีชาวดอกเลาที่เคยจัดแต่งทรงเรียบกลับยุ่งเหยิงพันกัน หลังที่ค่อมลงต้องอาศัยดาบญี่ปุ่นพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้ม ให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นแสงเทียนวูบสุดท้ายของชีวิต

“หัวหน้า ไป รีบไป!”

คนที่ตายเมื่อครู่เป็นเพียงกลุ่มนักฆ่าที่ไม่ค่อยมีฝีมือ แม้ในประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้กล้าตัวจริง แต่ตอนที่พวกเขาจากโลกนี้ไปนั้นไม่ทันยังได้ต่อสู้เลย พวกเขาถูกฆ่าเหมือนเป็ดไก่ที่ถูกเชือดคอ คิตะมิยะ โชตะยังอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้

“ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าได้กลับไปอีกเลย!”

ท่านโชตะพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงๆ หนึ่งดังก้องขึ้น ถึงจะไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่น แต่เยี่ยเทียนมองออกว่าคนทั้งสองกำลังหนีไปทางรถถังคันนั้น

“แก…แกเป็นคนจีน?”

หากเทียบกับเยี่ยเทียนแล้ว ทั้งผู้อาวุโสโชตะและฮิเดโอะนั้นคุ้นเคยกับภาษาจีนมาก เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง คนญี่ปุ่นกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้เลือกเรียนภาษาจีนเป็นวิชาภาคบังคับ

“ฟังผมพูดรู้เรื่องด้วยเหรอ?”

เยี่ยเทียนเลิกคิ้วอย่างฉงน ดวงตาซ่อนรอยยิ้มพูดต่อว่า “งั้นก็ยิ่งดีเลย พวกเราจะได้ไม่ต้องพูดอ้อมค้อม ทองคำพวกนี้เป็นของผมทั้งหมด พวกคุณจะว่ายังไง?”

 “เจ้าโง่ สมบัติพวกนี้เป็นของตระกูลคิตะมิยะต่างหาก!”

ฮิเดโอะโมโหเลือดขึ้นหน้า กำดาบในมือแน่นจนเห็นข้อนิ้วขาวโพลน เขาไม่เคยเจอใครไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน ฆ่าคนทั้งตระกูลเขาแล้ว ยังจะมาอ้างว่าสมบัติเป็นของเขาอีก

เยี่ยเทียนส่ายหน้าตอบว่า “ผิดแล้ว สมบัติพวกนี้ศิษย์พี่ของผมเป็นคนนำมาซ่อนไว้ ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลคิตะมิยะของพวกคุณเลย?”

“ศิษย์พี่ของแก?” ฮิเดโอะได้ฟังแล้วงุนงง คล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงพลังพิฆาตที่พุ่งเข้าใส่ตัวเอง หรี่ตาแล้วตอบว่า “แกกับโก่วซินเจียเป็นอะไรกัน?”

“สิ่งของพวกนี้โก่วซินเจียเป็นคนนำมาซ่อนไว้ เขาก็ต้องเป็นศิษย์พี่ของผมน่ะสิ!” เยี่ยเทียนหัวเราะเยาะเย้ย ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนได้ฆ่าฝ่ายศัตรูไปหลายสิบคน ทำให้พลังพิฆาตในตัวเขาเข้มข้นขึ้น ให้ความรู้สึกเย็นเยียบน่าหวาดเกรงต่อผู้ที่ได้พบเห็น

“เจ้าโง่!”

ฮิเดโอะโกรธสุดขีด ตอนที่กำลังจะชักดาบออกมานั้นกลับถูกท่านโชตะห้ามไว้ “ในประเทศจีนมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเป็นคนร้องทุกข์ถูกใส่ความต้องหาทางแก้ไขไม่ใช่ผูกใจเจ็บ ทองคำนี่พวกเรายกให้แกได้ แต่แกต้องปล่อยพวกเราไป!”

“ท่านโชตะ?!”

ในใจของฮิเดโอะที่เดือดดาลพลุ่งพล่านจนเก็บอาการไม่อยู่ ต้องหาทางระบายออก พอได้ยินประโยคที่ท่านโชตะพูดออกมา ยิ่งทนไม่ได้ ตะโกนเสียงดัง “เขาเป็นศัตรูตัวร้ายของตระกูล จะปล่อยเขาไปไม่ได้!”

“โง่เง่า” ท่านโชตะฟาดฝ่ามือลงบนหน้าของฮิเดโอะฉาดใหญ่ แล้วใช้ภาษญี่ปุ่นสั่งสอน “ฮิเดโอะ ทรัพย์สินในธนาคารแห่งชาติสวิสต่างหากถึงจะใช้สร้างรากฐานให้ตระกูลของเราได้ ทนกับการดูถูกเหยียดหยามแค่นี้มันเล็กน้อย แกต้องเอามันกลับไปที่ตระกูลเราให้จนได้!”

“รับทราบ! ท่านโชตะพูดถูกแล้ว!”

การตบนี้เตือนสติให้ฮิเดโอะคิดได้ เมื่อตอนที่เขาไปปล้นโก่วซินเจีย พวกเขามีตั้งร้อยกว่าคนแต่ไม่สามารถจับตัวโก่วซินเจียไว้ได้ ตอนนี้เหลือแค่ตัวเขากับท่านโชตะสองคน จะเอาอะไรไปสู้กับคนหนุ่มตรงหน้าได้

……………