ตอนที่ 506 แหวกหญ้าให้งูตื่น โดย Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนเดินไปถึงข้างกระจกรถคันหน้า มือเอื้อมไปควานหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อ แล้วตบเรียกที่กระจกรถคนนั้น พูดว่า “โคนิจิวะ!”
“โคนิจิวะ!”
แม้สำเนียงภาษาญี่ปุ่นของเยี่ยเทียนจะฟังดูแปร่งๆ แต่คนขับรถก็ยอมลดกระจกลง เอื้อมมือมารับบุหรี่ไปจากเยี่ยเทียน เพราะตัวเขาเองตั้งแต่ลงไปงมทองที่สระน้ำขึ้นมายังตัวเปียกอยู่เลย
“เจ้าผี ซาโยนาระ…”
พอเห็นหน้าต่างกระจกเปิดออก เยี่ยเทียนจึงปั้นหน้ายิ้มแย้ม พูดภาษาจีนคำญี่ปุ่นคำ อาศัยตอนที่ฝ่ายนั้นยังไม่ทันตั้งตัว มือขวาของเยี่ยเทียนคว้าไปจับคอหอยของคนขับรถอย่างรวดเร็ว
เสียง “แป้ก!”ดังขึ้นเบา ศีรษะของคนญี่ปุ่นคนนั้นตกลงมาชิดอกเพราะว่าคอหัก โดยที่ตายังเบิ่งค้างอยู่ด้วยความสงสัย เขาคิดไม่ถึงว่าคนในตระกูลเดียวกัน ทำไมต้องลงมือกับเขา
เยี่ยเทียนประคองร่างให้นั่งตรง จัดศีรษะของเขาให้ฟุบลงไปที่พวงมาลัย ถ้ามองไกลๆ เหมือนคนกำลังฟุบหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน เยี่ยเทียนตบมือ หยิบบุหรี่ที่ตกอยู่ยัดใส่เข้าไปในปากของศพให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น
ตอนนี้ความสนใจของตระกูลคิตะมิยะทั้งหมดอยู่ที่ทางเข้าหุบเขาปีศาจ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ท้ายขบวน ทั้งยังมีอีกหลายคนที่เดินลงมาจากรถเพื่อสูบบุหรี่พักผ่อนแบบเยี่ยเทียน จึงไม่มีใครหันมาสนใจเขา
แค่อาศัยประโยค “สวัสดี” ด้วยน้ำเสียงเพี้ยนคำเดียว ภายในเวลาสามสี่นาทีเยี่ยเทียนก็สามารถหักคอคนญี่ปุ่นสิบสี่คนต่อกันแบบที่ทำกับคนแรก พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าในขบวนของตัวเองจะมีนักฆ่าปะปนเข้ามา
……
เยี่ยเทียนกำลังยุ่งอยู่ท้ายขบวน หลังจากคิตะมิยะ นาโอกิที่ได้รับคำสั่งให้ไปสำรวจทางข้างหน้า เดินพาคนในตระกูลห้าคนเดินออกไปตรงทางเข้า
ทางเข้าหุบเขาเป็นรูปตัวเอส ระยะทางประมาณหนึ่งร้อยเมตรเศษจากปากทางทั้งสองไม่สามารถมองเห็นกันได้โดยตรง ต้องเดินบุกไปด้านหน้าอย่างเดียวจึงจะเห็น เหมือนกับคิตะมิยะ ฮิเดโอะก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ในใจของนาโอกิมีแต่ความตื่นตัวระแวดระวัง
ต้องรู้ว่า การจัดคนที่รออยู่หน้าปากทางเข้าหุบเขานั้นเขาเป็นคนจัดการ ถ้าเขาเดินมาถึงตรงนี้แล้วก็ควรจะมีสมาชิกเดินมาต้อนรับ แต่ในซอกเขาตอนนี้กลับว่างเปล่าเงียบเชียบ ทำให้เขารู้สึกขนลุก
แสงอาทิตย์แห่งรุ่งอรุณสาดมาที่ลำตัวของนาโอกิ แต่เขากลับไม่รู้สึกอบอุ่นขึ้นเลย ในใจรู้สึกหนาวเย็บจับจิต ยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในถ้ำเสียอีก
ยิ่งเข้าใกล้ปากทางเท่าไร ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้น แต่ตอนที่คนที่เดินนำหน้าสุดไปหยุดยืนที่ปากทางเข้า กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คนที่มารอรับล่ะ?”
นาโอกิยังไม่ผ่อนคลายความระมัดระวัง ความรู้สึกวุ่นวายใจยิ่งทวีคูณขึ้น เพราะเมื่อมองตรงไปด้านหน้า นอกจากควันไฟจากการประกอบอาหารที่ลอยเหนือหมู่บ้านแล้ว กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่อยู่เฝ้าปากทางเข้าสี่ห้าคนนั้นเลย
“เจ้าโง่เอ๊ย พวกฉันเข้าไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในถ้ำ แต่เจ้าพวกเลวนั่นกลับหาที่หลบไปนอน!”
คนที่ยืนอยู่หน้าสุดก่นด่าเสียงดัง การเผชิญความเป็นความตายเมื่อคืนทำให้เขาตกใจจนแทบเสียสติ พอเดินออกมาแล้วถึงจะรู้สึกวางใจผ่อนคลายลงบ้าง ในใจคิดว่าคนพวกนั้นคงหลบไปหาที่นอนที่ไหนสักแห่ง
“อาจจะเป็นไปได้นะ?”
นาโอกิได้ฟังคำก่นด่าแล้วความเคลือบแคลงในใจทุเลาลงไปบ้าง จึงเผยตัวออกมาจากซอกเขา เดินไปด้านหน้ามองหาไปทั่วบริเวณ แล้วออกคำสั่ง “พวกนายเฝ้าอยู่ตรงนี้ ฉันจะกลับไปรายงานหัวหน้า!”
ตอนที่พูดอยู่นั้นสายตาของนาโอกิ จู่ๆ ก็มัวขึ้น รีบกระพริบตาถี่ๆ มองจ้องไปที่พุ่มไม้ตรงปากทาง กลับเห็นเป็นแผ่นกระจกชิ้นหนึ่งสะท้อนแสงมาที่ใบหน้าของเขา
“แย่แล้ว!”
นาโอกิตกใจมาก หันหลังจะวิ่งกลับไปในหุบเขา “ปัง” เสียงปืนดังขึ้น ตรงหว่างคิ้วของนาโอกิเป็นหลุมกระสุนมีเลือดไหลออกมา ด้วยแรงกระแทกจากกระสุนทำให้ตัวเขาลอยไปด้านหลังไกลถึงสี่ห้าเมตร
เสียงปืนดังเป็นสัญญาณ คนที่เหลืออีกห้าคนจึงรู้ตัว แล้วห่ากระสุนก็ตามมานับไม่ถ้วน กราดยิงไปที่คนทั้งห้าจนตัวกระตุก บนร่างของแต่ละคนมีรอยกระสุนเป็นสิบรอย
เสียงปืนสงบลง เงาคนสี่คนรีบรุดออกมาจากพุ่มไม้ เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาทางปากทางเข้าหุบเขา หนึ่งในนั้นนำปืนอาก้าที่ถูกดัดแปลงจนร้ายกาจขึ้นมาประทับบ่า
“สมควรตาย เมื่อกี้ใครเป็นคนยิงก่อน? ไม่รู้หรือไงว่าพวกนี้เป็นแค่คนมาสำรวจทางน่ะ? จะทำให้พวกนั้นรู้ตัวกันหมด!”
หลังจากเฝ้าดูอยู่ที่ปากทางเข้า มาราไกย์เบาใจลง มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรไปที่พวกหูหงเต๋อ ใช้คำด่าเป็นภาษาอังกฤษปนจีน
ต้องรู้ว่า ตามข่าวที่พวกเขาได้รับรายงานมา ฝ่ายตรงข้ามมีตั้งร้อยกว่าคน อาศัยพวกเขาแค่สิบกว่าคนคงจะจัดการฝ่ายตรงข้ามได้ยาก อีกทั้งคนของอู่เฉินนั้นไม่มีกำลังในการรบเลย สุดท้ายแล้วคงต้องพึ่งพวกเขาแค่สี่คน
ดังนั้นมาราไกย์จึงฝังระเบิดเอาไว้ที่ทางเข้าหุบเขา เตรียมรอขบวนคนญี่ปุ่นลดจำนวนลงเหลือสักครึ่งหนึ่งค่อยจุดระเบิด ตีประกบทั้งหน้าหลัง อย่างนี้ถึงจะเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงต่อคู่ต่อสู้
แต่เมื่อครู่ไม่รู้ว่าใครวู่วาม จัดการเก็บคนญี่ปุ่นกลุ่มเล็กๆ นี้เสีย เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านในจะต้องไหวตัวทัน ถ้าจะหาทางล่อให้พวกนั้นออกมาคงจะยากแล้ว
“แค่กๆ คือว่า…ฉันส่องกล้องเล็งเป้าดูเจ้าผีพวกนี้ ถูกมันรู้ตัวเข้า”
หูหงเต๋อถูกมาราไกย์ตำหนิเข้าก็หน้าแดง เขาไม่เคยใช้กล้องเติดปืนของปืนไรเฟิลมาก่อน เมื่อครู่ลองใช้มองศัตรูจากตำแหน่งไกล ไม่คิดว่าแสงแดดจะส่องมาที่เลนส์แล้วสะท้อนไปที่ใบหน้าของคิตะมิยะ นาโอกิเสียได้
หูหงเต๋อตอบสนองอย่างรวดเร็ว พอเห็นสีหน้านาโอกิเปลี่ยน จึงตัดสินใจลั่นไกปืนทันที ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้ารอจนเจ้าผีพวกนี้กลับเข้าไปในหุบเขาอีก คงจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่
มาราไกย์เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี โบกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ พวกนายถอยหลังไปหน่อยตรงนี้มีพวกฉันเป็นแนวกำบังก็พอ”
มาราไกย์ไม่กล้าไว้ใจในกำลังรบของพวกอู่เฉินเลย การกราดยิงศัตรูเมื่อครู่เห็นชัดอยู่แล้วว่ากระสุนที่ถูกสาดออกไปเกินร้อยนัด แต่มีเพียงไม่กี่นัดเท่านั้นที่เข้าเป้า นอกนั้นคือยิงไปเสียเปล่า
มาราไกย์ยังมองออกอีกว่า คนพวกนี้ฆ่าคนเป็นครั้งแรก สีหน้ายังแสดงความหวาดหวั่นผสมกับความตื่นเต้น ถ้าให้ไปรบที่ชนะได้ง่ายนั้นพอได้อยู่ แต่ถ้าเกิดการบาดเจ็บล้มตายละก็ พวกนี้จะต้องเป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน
“ได้ยินรึยัง? พวกนายถอยหลังไปก่อน ฉันกับเซี่ยวเทียนอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”
หูหงเต๋อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินมาราไกย์พูด ไล่พวกอู่เฉินกลับไปแล้วตัวเองก็ยังคงยืนพิงหินด้านหลังอยู่ที่เดิม คว้าเอาบุหรี่ออกมาสูบพ่นควันฉุย
ท่าทางดื้อดึงของหูหงเต๋อทำให้มาราไกย์เหนื่อยหน่ายไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ฝีมือยิงปืนของหูหงเต๋อนั้นแม่นเหมือนจับวาง จะอยู่ด้วยกันก็ไม่เสียหาย เพียงแต่ทำเป็นไม่รับรู้ แต่เซี่ยวเทียนกลับแย่งบุหรี่มาจากมือของหูหงเต๋อ และต่อว่าอย่างไม่พอใจว่า “ศิษย์พี่หู พวกญี่ปุ่นมันออกมาแล้ว อาจารย์ผมยังอยู่ในนั้นนะ”
แม้โจวเซี่ยวเทียนอายุจะน้อยกว่าเยี่ยเทียนไม่กี่ปี แต่ตั้งแต่ที่คำนับเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์แล้ว ชีวิตของโจวเซี่ยวเทียนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาของแม่เขาได้รับการรักษาเป็นอย่างดี เขาเองไม่ใช่คนไร้น้ำใจ เขาได้ยอมรับเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์ด้วยใจจริง
“เยี่ยเทียน?”
หูหงเต๋อเบะปากใส่โจวเซี่ยวเทียนทีหนึ่ง เอื้อมมือไปคว้าบุหรี่คืนมาก แล้วตอบตวัดเสียงกลับว่า “อาจารย์นายน่ะหรือ ทั้งลื่นไหล ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งยังมีวิชาอำพรางตัวชั้นยอด ต่อให้มีผีญี่ปุ่นสักร้อยคน ไม่สิสักพันคนก็ทำอะไรอาจารย์นายไม่ได้”
หูหงเต๋อแม้จะไม่ได้รับการสืบทอดวิชาค่ายกลประจำตระกูล แต่ก็เข้าใจถึงวิธีการของคนในสำนักวิชาที่ใช้ค่ายกลเป็นอย่างดี คนในสำนักเหมินกับคนในยุทธภพต่างกันที่คนพวกนี้จะมีลางสังหรณ์ด้านอันตรายที่เก่งกว่า น้อยนักที่เอาตัวเองไปอยู่ในที่อันตราย
อีกทั้งวรยุทธของเยี่ยเทียนก็เหนือชั้น ถือว่าเป็นคนเก่งที่สุดที่หูหงเต๋อเคยพบมา เขาจึงเชื่อว่าเยี่ยเทียนไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่นอน
หลังจากได้ยินที่หูหงเต๋อพูด โจวเซี่ยวเทียนจึงเบาใจลงเล็กน้อย แต่ในมือยังกำปืนไว้แน่น สายตาจับจ้องไปที่ทางโค้งของซอกเขาตรงปากทางเข้า
……-
“เจ้าโง่ เกิดอะไรขึ้น?”
ขบวนรถที่อยู่ห่างจากปากทางหุบเขาสองร้อยกว่าเมตรได้ยินเสียงปืนดังสนั่นคิตะมิยะ ฮิเดโอะที่ตอนแรกนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่นั้นก็ตกใจราวกับกระต่ายตื่นตูม หรือสิ่งที่เขารู้สึกเคลือบแคลงใจแต่แรกนั้นเกิดเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
คนอื่นอีกสี่ห้าคนที่ยืนสูบบุหรี่คุยกันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงปืนก็ตกใจก้มตัวลงต่ำ ใช้รถเป็นที่กำบัง เอาตัวเองหลบไปอยู่ด้านหลังรถ ความตกใจหวาดหวั่นจากเมื่อคืนยังทำให้พวกเขาหวาดระแวงตกใจง่ายแม้กระทั่งเสียงลมพัดใบไม้ไหว
“บ้าจริง ไหนว่าเป็นทหารต่างชาติไง ยังไม่ทันดูให้ชัดเลยว่าฝั่งนั้นมีกี่คน?”
เยี่ยเทียนที่หักคอคนญี่ปุ่นไปแล้วหลายคน พอได้ยินเสียงปืนก็หงุดหงิดใจ ตอนแรกเหลือศัตรูแค่ยี่สิบเก้าคน ถูกเขาหักคอไปอีกสิบสี่คน มีหกคนที่ไปสำรวจซอกเขาปากทางเข้า ตอนนี้ถ้านับพวกฮิเดโอะเข้าไปฝ่ายศัตรูก็เหลือเพียงเก้าคนเท่านั้น
ถ้าเสียงปืนดังช้ากว่านี้อีกหน่อย เยี่ยเทียนจะสามารจัดการเก็บพวกที่เหลือนอกจากพวกฮิเดโอะได้อีกสี่คน ถึงตอนนั้นถ้านับจำนวนคน พวกเขาต้องชนะอยู่เห็นๆ
“หัวหน้า ที่ปากทางเข้ามีคนลอบวางกับดัก!” รอเวลาผ่านไปหลายนาทียังไม่เห็นคนที่ไปสำรวจทางกลับมาสักคน ฮิโคโตชิจึงมีสีหน้าเปลี่ยนทันที
ฮิเดโอะพิจารณาดูลู่ทางแล้วเอ่ยขึ้น “ฮิโคโตชิ เรียกพวกนั้นออกมาให้หมด ให้เฝ้าอยู่ตรงนี้ พวกเราค่อยคิดหาทางต่อ!”
ปากทางซอกเขาของทางเข้าออกนั้นมีสภาพเหมือนกันคือเหมาะจะตั้งรับ ไม่เหมาะจะรุก ขอแค่ตั้งรับอยู่ตรงนี้ ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางบุกเข้ามาได้ง่ายแน่
……