ภาคที่ 5 บทที่ 85 นักล่าวายุ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 85 นักล่าวายุ (2)

การต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า

ทันทีที่เริ่มก็ไร้การออมมือ เกิดพายุทุกหนแห่ง คลื่นพลังลอยละล่องไปทั่ว

เผ่าปักษายังใช้วิชาอาร์คาน่า แม้จะเป็นนักล่าวายุก็ตาม

เผ่าปักษาจำนวนมากซัดวิชาอาร์คาน่าออกพร้อมกัน เกิดเป็นพลังควบรวม พลันเกิดสภาพอากาศแปรเปลี่ยน เกิดเป็นแสงสีภาพประหลาดตาทั้งหลายขึ้นมา

วิชาขั้นต่ำรวมถึงกระสุนพลังต้นกำเนิด ลูกเพลิงระเบิด ธารากัดกร่อน วิชาระดับกลางมีพายุหิมะและเพลิงหยก ส่วนขั้นสูงมีอันธการแปลงรูป แสงกระจาย วิชาทั้งหลายถูกซัดทั่วทิศ เกิดเป็นพลังทำลายล้างขั้นสูง

เรือเหาะทั้งสองเองก็รับมืออย่างดุดัน

คณะทูตเริ่มซัดวิชาอาร์คาน่าโต้ ทั้งยังเปิดเกราะป้องกัน ทหารตระกูลจูก็ปล่อยวิชาสายเลือด เกิดเป็นภาพประหลาดตาทั้งหลายทั่วฟ้า สัตว์อสูรคำรามลั่น ปลดปล่อยพลังมหาศาล

เผ่าปักษาเน้นใช้พลังจากธรรมชาติ ส่วนมนุษย์เก่งกาจเรื่องปล่อยพลังจากร่างกาย สุดท้ายจึงมีวิถีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับผสมผสานกันลงตัว

ภายใต้คณะพันธมิตร เรือเหาะทั้งสองต่างก็สามารถต้านแรงโจมตีจากนักล่าวายุได้

“กันไว้ได้ ! เราต้านไว้ได้” คนหนึ่งร้องลั่นขึ้น

แต่ซูเฉินกลับขมวดคิ้วรังเกียจ

ในเมื่อนักล่าวายุเลือกพวกเขาเป็นเหยื่อ ให้เหยื่อต้านการโจมตีได้ง่าย ๆ ก็คงน่าขันไปหน่อยกระมัง

นั่นแค่เรียกน้ำย่อยเท่านั้น จานหลักยังไม่มาเลย

ดังคาด นักล่าวายุเริ่มเปลี่ยนวิถีการต่อสู้แล้ว

กลายเป็นว่านักล่าวายุไม่ได้เล็งที่คน แต่เล็งที่เรือต่างหาก

วิชาอาร์คาน่าทั้งหลายกระแทกเข้าเรือเหาะ เรือเหาะทำท่าราวกับจะแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ

แม้เรือเหาะจะทนทาน มีแกราะป้องกัน แต่ก็ไม่อาจต้านรับการโจมตีดุดันจากนักล่าทั้งหลายไว้ได้

ลูกเพลิงนับร้อยกระแทกเกราะ เกิดเป็นประกายแปลบปลาบ อู่เยว่มี๋รู้สึกใจสั่นทุกครั้งที่เกราะบางลงเรื่อย ๆ ดูท่าไม่นานจะแตกแล้ว และเป็นเช่นนั้นเมื่อไหร่ เรือคงร่วง นางอาจตายได้ แต่นางพญาจะตกอยู่ในมือผิดคนไม่ได้ หากถูกชิงไป แล้วเกิดเรื่องขึ้น คงได้เกิดเรื่องเลวร้ายที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด

อู่เยว่มี๋จึงต้องสั่งการคนของตนเพื่อปกป้องเรือเหาะไว้

ดั่งส่งพวกเขาไปเป็นโล่เนื้อก็มิปาน แต่กลับเปิดโอกาสให้นักล่าวายุ นักล่าปักษาทะยานขึ้นฟ้า หัวเราะยินดีลั่น ก่อนจะโจมตีลำเรือไม่หยุด เกิดแสงจ้าสว่างวาบ ๆ ทหารเผ่าปักษาร่วงลงจากฟ้ามาเป็นระยะ

“ชั่วร้าย ! ไร้ยางอายนัก !” อู่เยว่มี๋ตะโกนเกรี้ยวกราด

ยิ่งทำให้เกิดเสียงเยาะเย้ยถากถางจากอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าเก่า

“ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ลงมืออีก ?” จูเซียนเหยาว่าพลางถอย ใบหน้ากังวลอยู่บ้าง

“มันถึงขนาดไหนกันเล่า ?” ซูเฉินโต้ “ถึงขั้นอันตรายมากหรือ ?”

“ว่าไงนะ ?” จูเซียนเหยาอึ้งไป ไม่เข้าใจที่เขาเอ่ย

แต่ซูเฉินกลับแหงนหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะ “ดูสิ……”

บนท้องฟ้า จูอวิ๋นเยี่ยนกำลังต่อสู้กับหัวหน้านักล่าวายุ หงอูยา

ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 7 ทรงพลังไม่น้อย เขาเชี่ยวชาญวิชาลม ซึ่งเป็นวิชาที่เผ่าปักษาส่วนมากชำนาญ ดังนั้นวิชาส่วนมากจึงสร้างแรงลมส่งไปปะทะศัตรู คล้ายกับเฟิงอันหยาอยู่บ้าง ในขณะที่ราชาอีกาสามารถคุมลมได้จากภายใน หงอูยาเองก็มีวิชาที่ใช้คุมลมพายุเช่นกัน แต่ก็ยังมีข้อต่าง ลมพายุของเฟิงอันหยานั้นสร้างจากลมล้วน ๆ ส่วนหงอูยานั้นผสมเปลวเพลิงไปด้วย

เปลวเพลิงและสายลมผสานกันได้ดี เกิดเป็นหงสาเพลิงขนาดใหญ่ที่พ่นทั้งลมและเพลิงใส่จูอวิ๋นเยี่ยน

จูอวิ๋นเยี่ยนถูกบีบให้ต้องป้องกันเมื่อเจอวิชาอาร์คาน่าที่อีกฝ่ายใช้โจมตีใส่

แต่ด้วยมีสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ จูอวิ๋นเยี่ยนจึงไม่ตัวลำพัง มีข้ารับใช้ต่อสู้เคียงข้างด้วย

จูอวิ๋นเยี่ยนมีข้ารับใช้ถาวร 3 คน หนึ่งคนเป็นด่านผลาญจิตวิญญาณ อีกสองเป็นด่านสู่พิสดาร ในด่านสู่พิสดารสองคน คนหนึ่งมีสายเลือดรุ้งปีศาจ ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่หุ่นเชิดสารพัดประโยชน์ ไม่เหมาะใช้ต่อสู้ ส่วนอีกคนคือหรงเซียงเฉียน

เมื่อจูอวิ๋นเยี่ยนเข้าต่อสู้ พวกข้ารับใช้จึงต่อสู้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยจูอวิ๋นเยี่ยนสู้อยู่ ด้วยกำลังประมือกับนักล่าคนอื่น ๆ ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 7 รับมือกับหุ่นเชิดด่านผลาญจิตวิญญาณ ส่วนปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 5 อีก 2 คนกำลังรับมือกับหุ่นเชิดด่านสู่พิสดารอีก 2 ตัว

ตระกูลจูยังมีด่านผลาญจิตวิญญาณและด่านสู่พิสดาร อีก 3 คนติดตามมาด้วย แต่ก็ถูกพวกนักล่าขวางเอาไว้อยู่

ฝั่งอู่เยว่มี๋ก็เช่นกัน พวกทรงพลังทั้งหลายต่างก็ถูกรั้งตัวไว้

เมื่อดูดี ๆ นี่เป็นการจัดวางที่น่าสนใจมาก พวกที่เก่งกว่าถูกรั้งตัวให้สู้กับพวกที่เก่งพอกัน มีคู่ต่อสู้ประมือกันอยู่ทุกคน

การต่อสู้โกลาหลมาก ทั้งดุดันและไร้แบบแผน พวกที่ได้เปรียบมักเป็นฝั่งที่เป็นฝ่ายโจมตี

การต่อสู้ตัวต่อตัวในระยะประชิดไม่ใช่เรื่องหายาก แต่แทบจะไม่เคยมีมาก่อนในการต่อสู้ คนส่วนมากเอาแต่คิดจะทำให้ศัตรูอ่อนแอเพื่อเพิ่มกำลังฝ่ายตน หากใช้ทหารสองคนเพื่อประมือกับทหารที่เก่งกว่าได้ก็จะทำเช่นนั้น บางครั้งการรวมพลังหลาย ๆ คนก็โค่นคนฝีมือฉกาจทรงพลังได้เลยด้วยซ้ำ

แต่สถานการณ์ในตอนนี้น่าประหลาด ราวกับมีคนวางแผนไว้ แต่ละคนต่อสู้กับคนมีกำลังเทียบเท่ากัน ทำให้ดูไม่ออกว่าจะชนะหรือแพ้ มีเพียงทหารระดับล่างเท่านั้นที่ตายไปโดยไร้คนโศกเศร้าใจ

กระนั้นก็ยังดุดันอันตราย สามารถมองแบบแผนเช่นนี้ออกท่ามกลางสนามรบที่ฆ่าฟันกันได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

จูเซียนเหยาจึงเห็นปัญหาที่เขาชี้ในที่สุด

นางเบิกตากว้าง “ใช่หรือ ? หรือว่าจะ……”

“พวกเขาเตรียมตัวมาดี” ซูเฉินเอ่ย “อาจรู้จักศัตรูก่อนพบหน้ากันด้วยซ้ำ

“แต่ก็ยังกล้าลงมือ ?”

“บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่พวกเขาตัดสินใจมาก็ได้” ซูเฉินเอ่ยเสียงนิ่ง “อาจมีคนไม่เชื่อใจเรา อยากทดสอบ ไม่ก็อาจมีความคิดอื่น”

นางพญาสำคัญมาก แต่ในตอนที่กำลังฟูมฟักเลี้ยงดู ก็หายไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

ในระหว่างนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันบ้าง

อาจไม่ไม่มีอะไร แต่อย่างไรก็ต้องมีคนที่สงสัยแน่

อีกทั้งตระกูลจูยังติดตามมาด้วยอีกต่างหาก

ใครจะรู้ว่าตระกูลจูมีแรงจูงใจอะไรจึงติดตามมาด้วยเช่นนี้ ?

เพื่อค้าขายอย่างเดียวหรือ ? หรือมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่ ?

หรือจะพบนางพญาแล้ว ? แอบวางแผนอะไรไว้หรือไม่ ?

ไม่มีใครรู้คำตอบ ซึ่งทำให้ใจคนไม่สงบนัก

ในเมื่อใจไม่สงบ จึงไม่แปลกที่อยากทดสอบความสงสัย จะได้คลายกังวลลง

คงไม่แปลกหากจะจ้างพวกนักล่ามาทำให้กระจ่าง

แต่อู่เยว่มี๋ดูไม่รู้เห็นด้วย นางยังเกรี้ยวโกรธที่ถูกโจมตีกะทันหัน ห่วงความปลอดภัยของนางพญาอยู่เลย โกรธจนขนปลิวว่อน กลิ่นอายปั่นป่วน สภาพย่ำแย่พอสมควร หากเกิดเรื่องกับนางพญาในความดูแลของนาง นางคงละอายใจยิ่งนัก

เมื่อได้เขาเตือน จูเซียนเหยาจึงเห็นปัญหาแล้วหัวเราะขึ้น “เช่นนี้เอง ! งั้นเราก็ไม่ต้องสนใจหรอก”

ซูเฉินเอ่ย “ไม่ได้ ดูจากความสำคัญของสถานการณ์แล้ว หากไม่ลงมือตามสมควร อีกฝ่ายคงรู้ว่าเราเดาแผนออก”

จูเซียนเหยาะชะงัก “เช่นนั้นจะทำอย่างไร ?”

ซูเฉินหัวเราะ “เขาอยากทดสอบนี่ ? ก็ได้ ในเมื่ออยากทดสอบพวกเรา เราก็เผยไพ่ให้พวกเขาเห็นสักหน่อย”

“เผยไพ่ ?” จูเซียนเหยาตะลึงไป

ตระกูลจูคิดจะส่งนางพญาให้พวกเขาจริง ๆ ไม่ได้เตรียมแผนอื่นไว้อีก แล้วจะไปเอาไพ่มาจากไหนกัน ?

ซูเฉินเอ่ย “อวิ๋นเป้า หลินเซียว และคนอื่น ๆ ช่วงนี้รู้สึกอึดอัด ในเมื่ออยู่ไปก็ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ ให้พวกเขาได้ยืดเส้นยืดสายสักหน่อยก็ดี”

ในเมื่อซูเฉินมา อวิ๋นเป้า กังเหยียน และ 12 ข้ารับใช้ดาบจึงติดตามมาด้วย

ทว่าต่างกับซูเฉินที่พวกเขาปลอมตัวเป็นคนงาน อยู่ชั้นล่างสุดของเรือเหาะ แม้ซูเฉินจะเข้ามาเป็นข้ารับใช้เช่นกัน แต่ก็ยังได้อาศัยอยู่บนชั้นบนสุด ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงพกหุ่นเชิดสื่อสารติดตัวไว้ หน้าที่หลักของเขาก็คือการจัดการดูแลหุ่นเชิดของตระกูลจู

จูเซียนเหยาได้ยินแล้วก็ตาเป็นประกาย “ก็คงได้นะ หากอยากเห็น เราก็จะแสดงให้เห็นเอง”

นางจึงเหินล่างลงไปชั้นล่างเรือ

ภายในห้องโดยสาร 4 ของเรือเหาะ

คนงานกลุ่มใหญ่กำลังนั่งอยู่ มองสถานการณ์ด้านนอกตัวสั่น

อวิ๋นเป้า กังเหยียน และข้ารับใช้ดาบกำลังตั้งวงไพ่

“พี่อวิ๋นเป้า พี่กังเหยียน ยังมีแก่ใจมาเล่นไพ่อยู่ได้อย่างไรกัน ?” เหล่าหู หัวหน้าคนงานห้องโดยสาร 4 เอ่ยเสียงสั่น

ตอนอวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ โผล่หน้ามาคราแรก เหล่าหูพยายามแสดงอำนาจข่ม แต่หลังจากถูกสั่งสอน ก็รู้ว่าใครเป็นคนคุมห้องโดยสารที่แท้จริง เคราะห์ดีที่อวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ ไม่คิดชิงตำแหน่ง เหล่าหูรู้ว่าตำแหน่งตนยังปลอดภัย ดังนั้นจึงเบาใจลงได้

เวลาผ่านไป อวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ ทำงานอย่างมีวินัยและไม่เคยก่อปัญหา ดูท่าทางสบายใจยิ่งนัก

มองแง่นั้น ก็นับว่าปลอมตัวล้มเหลว แต่แค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว จะให้เอาอะไรอีก

อวิ๋นเป้าไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ “จะตระหนกอะไร ? ฟ้าถล่มก็ยังมีหลังคาคุ้มหัว หลินเซียวพลิกไพ่สิ”

หลินเซียวหัวเราะแล้วแบมือ “ขอโทษด้วยพี่อวิ๋นเป้า ข้าชนะอีกแล้ว”

“บ้าเอ๊ย !” อวิ๋นเป้าตบโต๊ะเสียงเกรี้ยว

เป็นตอนนั้นเองที่ลูกเพลิงขนาดใหญ่ปะทะใกล้กับห้องโดยสาร 4 แม้เกราะจะยั้งเอาไว้ได้ แต่พลังรุนแรงก็ยังทำให้เรือโคลง คนด้านในร้องเสียงตื่นตกใจ

ทว่าอวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ ยังเล่นไพ่ต่อ อวิ๋นเป้าหยิบเงินออกมา หน้าตาย่ำแย่นัก

“ศัตรูมาเยือนถึงถิ่นแล้ว !” เหล่าหูตะโกนลั่น

“ข้ารู้” อวิ๋นเป้ามองถุงเงินสายตาเศร้า

เขาโชคไม่ดี เหลือเงินไม่มากด้วย

นั่นทำให้อวิ๋นเป้าเศร้าโศกยิ่งนัก

เหล่าหูและคนอื่น ๆ ก็เศร้าโศกไม่แพ้กัน พวกเขาถูกระเบิดข้างนอกทำเอาตกใจแทบตายอยู่แล้ว !