ภาคที่ 5 บทที่ 86 นักล่าวายุ (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 86 นักล่าวายุ (3)

ตู้ม !

แรงระเบิดสะเทือนเรือเหาะทั้งลำ

เกราะถูกทำลาย คลื่นพลังขนานใหญ่ทะลวงผ่าน เกิดเป็นรูใหญ่ขึ้นที่ข้างเรือเหาะ

ยามถูกโจมตีดุดันเช่นนี้ เรือเหาะทั้งสองลำจึงเริ่มมีไฟลุกโชน ควันคลุ้งโขมง

เกราะป้องกันส่วนมากถูกทำลายแล้ว และเพื่อไม่ให้เรือล่ม จึงจำเป็นต้องหดเกราะลงเพื่อป้องกันเฉพาะจุดสำคัญ สุดท้ายพื้นที่ส่วนมากจึงเผยออกมาในที่สุด

คลื่นพลังรุนแรงกำลังทดสอบความทนทานของเรือเหาะทั้งสอง

แม้จะสร้างด้วยไม้ทังสเตนที่แข็งมาก ใช้แรงยาเคลือบและมีค่ายกลปกป้องไว้อีกชั้น แต่พลังงานที่พัดกระหน่ำก็ทำให้เรือเหาะเสียหายรุนแรง บางคนโชคร้ายร่วงลงจากเรือเลยก็มี ไม่มีใครช่วยทัน เพราะเอาแต่จดจ่อกับการต่อสู้เพื่อปกป้องจุดสำคัญของเรือไว้ ได้แต่มองเมินพวกคนงานชั้นต่ำไป

บางทีนี่อาจเป็นเรื่องร้ายที่ได้อาศัยอยู่ชั้นล่างสุด เพราะมักจะถูกทิ้งเป็นพวกแรก

เจอเรื่องเช่นนี้ กระทั่งอวิ๋นเป้า หลินเซียว และคนอื่น ๆ ก็ยังหยุดเล่นไพ่ เหลือบมองด้านนอก สีหน้าจริงจังขึ้นมา

“ในที่สุดก็จริงจังขึ้นบ้างแล้ว !” เหล่าหูกระสับกระส่ายจนแทบหลั่งน้ำตาแล้ว

จริง ๆ แล้วไม่ว่าอวิ๋นเป้าและคนอื่น ๆ จะตื่นเต้นตกใจหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเขานัก แต่เหล่าหูไม่อาจมองเมินความเย็นชาต่อสถานการณ์อย่างไร้มนุษยธรรมของพวกเขาได้

กระทั่งจูเซียนเหยาปรากฏตัว

จูเซียนเหยาสวมชุดคลุมขาว ทำให้ราวกับเป็นเซียนก็มิปาน

พวกคนงานย่อมจำคุณหนูตนเองได้ เห็นนางแล้วจึงพากันคุกเข่าลงกับพื้น

จูเซียนเหยาไม่สนใจ เดินไปหาอวิ๋นเป้ากับพวกแทน “ขอบคุณที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยกันนะ”

อวิ๋นเป้าตอบเสียงคร้าน “ไม่ต้องห่วง ช่วงนี้รู้สึกชีวิตดีเหลือเกิน ข้าพอใจมาก”

จูเซียนเหยาหัวเราะ “มังกรขาวกลายเป็นปลาเช่นนี้น่าสนใจนัก แต่ก็ลิ้มรสชาติได้ไม่บ่อยนัก”

อวิ๋นเป้าส่ายหน้า “ข้าอ่านตำราน้อย เจ้าพูดตามตรงดีกว่า”

จูเซียนเหยาเอ่ย “เจ้าไปได้แล้ว”

อวิ๋นเป้าตาเป็นประกาย “เขาบอกมาหรือ ?”

จูเซียนเหยาพยักหน้าเบา ๆ

หลินเซียวอละคนอื่น ๆ เริ่มหัวร่อ “ในที่สุดก็ได้ออกแรงแล้ว ! กำลังรอคำนี้อยู่พอดี”

“จะรออะไรอีกเล่า ?” กังเหยียนลุกขึ้น

“เจ้าไปไม่ได้” จูเซียนเหยาว่า

“อะไรนะ ?”

จูเซียนเหยาพูดเสียงเบา “หุ่นเจ้าโดดเด่นไป จดจำได้ง่าย เลยไปไม่ได้ อยู่ที่นี่คอยดูทุกคนให้ปลอดภัยเถอะ”

“……” กังเหยียนรู้สึกห่อเหี่ยวนัก

แต่ก็รู้ว่าจูเซียนเหยาพูดถูก ที่ซูเฉินมีข้ารับใช้เผ่าหินผาไม่ใช่ความลับอะไร อาจทำให้พวกปักษาสงสัยว่าซูเฉินขึ้นเรือมาด้วย ยิ่งเรื่องเมื่อตอนแดนคนเถื่อนนั่นอีก จะลงมืออะไรต่อไปคงลำบากแน่

ดังนั้นกังเหยียนจึงได้แต่หลบซ่อนไป

“ฮ่า ๆ! รอดูพวกเราแสดงฝีมืออยู่ที่นี่เถอะ !” หลินเซียวตบไหล่กังเหยียนแล้วพุ่งออกไป “ไปกันเถอะพี่น้องทั้งหลาย !”

“ไป !” ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ร้องรับ เหินร่างออกจากรูบนลำเรือไปทันที

อวิ๋นเป้าหายตัวไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าไปเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ

เหล่าหูและคนอื่น ๆ มองดูหลินเซียวและพรรคพวกเหินร่างออกไปด้วยสายตาอึ้ง

“เห็นไหม ? เห็นหรือไม่ ? บอกแล้วว่าไม่ใช่ ! ว่าเป็นคนไม่ธรรมดา !” มีคนร้องขึ้น

“เจ้าโง่ จะพูดอะไรตอนนี้ ?” เหล่าหูตบคนที่ร้องขึ้นมา พอแหงนหน้ามองฟ้า สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนเสียแล้ว

ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 พุ่งขึ้นฟ้าท่าทางประหลาด มีแผ่นลอยอยู่ใต้ฝ้าเท้า

แผ่นลอยเหล่านี้คือเครื่องมือลอยตัวสำหรับผู้ใช้พลังที่บินไม่ได้นั่นเอง

ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ต่างอยู่ด่านสู่พิสดาร สามารถบินได้ ไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่ที่ใช้เพื่อหลอกศัตรูว่าไม่ได้อยู่ด่านสู่พิสดาร เป็นเพียงด่านทะลวงลมปราณที่ใช้มันเพื่อบินได้ก็เท่านั้น

สุดท้ายก็จะเชื่อว่าไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนั่นเอง

กลุ่มนักล่าวายุรุดเข้ามา แต่คนที่แกร่งที่สุดอยู่เพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 4 เท่านั้น

หลินเซียวกับพวกมองแล้วก็หัวเราะคิก

หลินเซียว “ใครจะเริ่มก่อน ?”

ข้ารับใช้ดาบนามฉางเชิงเอ่ย “ให้ข้าลอง”

เขาเผยดาบ ตวัดผ่านอากาศรุนแรง ปลดปล่อยคลื่นแสงออกมา

นักล่าวายุ 3 คนแนวหน้าร่างแยกเป็นสองฝั่งในพลัน คลื่นพลังเป่าชีวามลาย ตายคาที่ทันที

“มีด่านสู่พิสดารอยู่ !” นักล่าวายุคนหนึ่งร้องขึ้น

ท่าโจมตีนี้เผยกำลังเขาแล้ว อย่างไรก็มีเพียงด่านสู่พิสดารเท่านั้นที่จะเก่งกาจขนาดสังหารปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 4 หนึ่งคนและขั้น 3 สองคนในดาบเดียวเช่นนี้ได้

เผ่าปักษาขั้น 4 รีบรุดเข้ามา เรียกปีศาจหมาป่าสูญซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแดนพลังสูญออกมาพ่นเพลิง ร่างของมันทรงพลังมาก แต่วิชาอาร์คาน่าก็เรียกได้แค่ภาพมาเท่านั้น ดังนั้นกำลังมันจึงอยู่ที่คนใช้ ปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้นี้แกร่งพอตัว ปีศาจหมาป่าสูญจึงปล่อยพลังรุนแรงออกมาได้ พุ่งเข้าใส่ข้ารับใช้ดาบทันที จากนั้นปรมาจารย์อาร์คาน่าจึงเปิดเกราะ ตามมาด้วยศรเพลิงซัดเข้าใส่ฉางเชิง

วิชาอาร์คาน่าขั้น 5 ถูกซัดติดต่อกัน 3 ครา เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์สูงมาก ใช้วิชาอย่างชินมือ

น่าเสียดายที่มันยังไม่พอ

เพราะเขาพร้อมจะรับมือด่านสู่พิสดารเพียงคนเดียวเท่านั้น

ทว่าแท้จริงกลับต้องพบกับด่านสู่พิสดาร 12 คน

ถูกซัดวิชาออกมาติดต่อกันเช่นนี้ ฉางเชิงจึงทำได้อย่างเดียว

เขาแหงนหน้าเอ่ย “รวมกลุ่มดีหรือไม่ ?”

“ดี” ข้ารับใช้ดาบอีกสองหัวเราะตอบ

พริบตาต่อมา ทั้งสองก็ร่วมโจมตีพร้อมกับฉางเชิง

ริ้วพลังดาบซัดใส่ปีศาจหมาป่าสูญ ยังไม่ทันประชิดตัวฉางเชิง ก็ถูกคมดาบซัดใส่หลายครั้ง ภาพจำลองถูกทำลายเหลือเพียงแสงที่สลายไปอย่างรวดเร็ว แต่คลื่นดาบก็ไม่ลดความเร็วลงสักนิด ยังพุ่งต่อไป กระทั่งทำลายเปลวเพลิงระหว่างทางได้ด้วย

ข้ารับใช้ดาบคนที่สองก็ออกท่า คมดาบเฉียบคมมั่นคง ทำลายเกราะศัตรูในพลัน มันคือกระบวนท่าฝังเกราะ ทำลายเกราะได้เกือบทุกอย่าง แต่ก็เจาะได้เฉพาะเกราะ โจมตีคนไม่ได้ แต่ไม่ได้ก็ไม่จำเป็น เพราะมีอีกคนหนึ่งรอโจมตีอยู่แล้ว

ฉางเชิงเงื้อดาบ

ท่าดาบของเขาก็แตกต่างเช่นกัน คนแรกดูกว้างขวางยิ่งใหญ่ คนสองดูบ้าคลั่งไร้ยับยั้ง หมายเจาะเกราะ แต่ดาบของฉางเชิงดูธรรมดาไม่สะดุดตา เขารวมจิตสังหารทั้งหมดไว้ที่ปลายดาบ หมายสังหารศัตรู

อีกฝ่ายตอบสนองฉับไว้ เกราะแตกแล้วก็หลบทันที หลบพ้นวงการโจมตี ปรากฏตัวอีกทีอีกไกลออกมาอีก 100 จั้ง

เขาก้มมองอกตนเอง

บนอกเกิดรอยแผลจางแผลหนึ่ง

มันคือคลื่นดาบของฉางเชิง

เขาหลบรวดเร็ว แต่ดาบอีกฝ่ายก็ยังถูกตัวจนได้

แค่เฉียดผ่านเล็กน้อยเท่านั้น

แต่พริบตาต่อมา สีหน้าปักษาผู้นั้นก็พลันตกตะลึง

ร่างเขาเริ่มสลาย หนังลอกเป็นแผ่นลงพื้น แล้วกลายเป็นเถ้า พริบตาเดียวเขาก็สลายกลายเป็นกองเถ้ากองหนึ่ง

ท่าดาบนี้กัดกินเขาจากภายใน ทำลายอวัยวะและโอกาสรอดชีวิตทั้งหมดสิ้น

ตายในดาบเดียว !

“สมเป็นพวกปักษา เพราะตอบสนองเร็วนัก น่าเสียดายที่เร็วไม่พอ” ฉางเชิงเอ่ยเสียงเรียบ

“เราจะปล่อยให้พวกมันได้เปรียบได้หรือ ?” ข้ารับใช้ดาบอีกคนว่า

นักล่าวายุทั้งหลายชะงักไป

“ด่านสู่พิสดาร 3 คน ! ด่านสู่พิสดาร 3 คน ! ท่านหานหลิงถูกพวกมันสังหาร !” นักล่าคนหนึ่งร้องขึ้น

ปรมาจารย์อาร์คาน่าจึงยิ่งรุดเข้ามา

ครั้งนี้ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 5 ถึง 5 คน ดูท่าจะได้รับบทเรียนกันแล้ว

อีกทั้งก่อนหน้านี้ทั้ง 5 คนยังไม่ได้เข้าร่วมรบอีกต่างหาก พอข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 เข้ามาถึงได้ออกตัว

เป็นดั่งที่ซูเฉินคาด นักล่าวายุกำลังลองเชิง เมื่อคนบนเรือเริ่มเผยฝีมือ นักล่าวายุก็เช่นกัน

ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 5 ทั้งหมดไม่อาจประเมินศัตรูต่ำไปได้ ต่อสู้กับข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 อย่างจริงจัง แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ยังประเมินพลาดไปอยู่ดี

เจ้านายมักมีลูกน้องอย่างเขา เมื่อหลินเซียวเห็นปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 5 ทั้งหลายรุดเข้ามาก็เอ่ยขึ้น “ดูท่าจะหลอกให้ตกใจได้อีกแค่ครั้งเดียว ฉางเชิง เฟยฝาน พวกเจ้าจัดการคนละหนึ่ง คนอื่น ๆ มากับข้า เราจะจัดการอีกสามคน !”

“ขอรับ !” ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ว่าแล้วออกท่าพร้อมกัน

เกิดเรื่องเช่นเดิมขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นศึกสิบต่อสาม

พวกปักษาไม่คิดว่าทั้ง 12 คนจะอยู่ด่านสู่พิสดาร ที่น่าละอายที่สุดคือทุกคนแกร่งมาก แต่ทำเป็นอ่อนแอกว่าที่เป็น

เผ่าปักษาทั้ง 5 จึงตกใจ ยังไม่ทันรับสถานการณ์ทันก็ตายเสียแล้ว อีกสองล่าถอยสุดฝีเท้าก่อนที่ข้ารับใช้ดาบจะหันมาสนใจ

ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ไม่คิดไล่ตาม แต่กลับหัวร่อคุยเล่นกับคนอื่น ๆ แทน

ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 5 ทั้งหมดตายไปเช่นนั้น พวกที่ร่วมสู้ด้วยล้วนพึงพอใจทั้งสิ้น

ในเมื่อเผยกำลังแล้ว ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 จึงไม่คิดปิดบังอีก ทิ้งแผ่นลอยไปทันที เหินร่างขึ้นฟ้า หัวเราะเล่นหัวกับสหาย

เสียงหัวเราะพวกเขาราวกับแฝงความชั่วช้าไม่น้อย ขวัญกำลังใจศัตรูพลันหดลด

เสียปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 5 ตั้ง 6 คนไปหมดในดาบเดียวเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็เจ็บปวด

เหล่าหูร้องเสียงดีใจ “เห็นไหม ! เห็นไหมเล่า ! เป็นด่านสู่พิสดาร ! เป็นด่านสู่พิสดาร !”

ทุกคนหันมาทางกังเหยียนที่ยกยิ้มเยาะขึ้น “พวกเจ้ายังไม่ทันเห็นของดี”

แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้า

บ้าเอ๊ย ทำไมเขาถึงไม่ได้ไปร่วมมีชัยในแนวหน้าด้วยกันนะ ?

เขาติดตามซูเฉินมานาน มีความคิดเป็นของตนเอง ในเมื่อรู้วิธีตบตาเสแสร้งแล้ว จึงไม่แปลกที่อยากจะร่วมมีเกียรติเช่นนี้ด้วย

เมื่อส่งสายตามองศึกปะทะกันดุดันด้านนอกแล้ว เขาก็หวังยิ่งว่าตนจะเป็นคนที่ได้ออกกระบวนท่าสังหารศัตรู ไม่ใช่เป็นคนอื่น !!