ภาคที่ 5 บทที่ 87 ความแกร่งของข้ารับใช้ดาบ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 87 ความแกร่งของข้ารับใช้ดาบ

ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ต่างยิ้มรับการโจมตีจากฟากฟ้า

อย่างไร ลงมือเล็กน้อยก็สังหารปักษาขั้น 5 ติดต่อกันมาแล้ว

ใครว่าต้องต่อสู้อย่างขื่นขมเพื่อให้รื่นรมย์ยามกำชัยกันเล่า ? นั่นมันก็ดีอยู่หรอก แต่สังหารศัตรูทิ้งง่าย ๆ ไม่ดีกว่าหรือ ?

หากเป็นไปได้ ไม่ว่าใครก็อยากทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นผุยผงแค่เพียงสะบัดมือทั้งนั้น

ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ไม่ได้ใช้พลังประมือกับปักษาขั้น 5 มากมายเลย ดังนั้นจึงนับว่าตายเสียเปล่า ยิ่งเสียเปล่าแค่ไหน พวกข้ารับใช้ดาบก็ยิ่งชอบใจ

แต่ก็ได้ไม่นานนัก

พริบตาเดียวกำลังเสริมก็รุดเจ้ามา

แต่ก็ยังมีจำนวนไม่มาก

มากกันแค่ 3 คนเท่านั้น

ปักษาขั้น 6 ทั้ง 3 รุดเข้ามา

ปักษาขั้น 6 นั่นแกร่งเทียบได้กับสุดขอบด่านสู่พิสดารและด่านผลาญจิตวิญญาณ คนที่แกร่งหน่อยอาจเทียบกับด่านผลาญจิตวิญญาณได้แล้ว

หากปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 6 ทั้งหลายลงมือก่อนหน้านี้ เรือเหาะคงล่มไปแล้ว เห็นได้ชัดว่านักล่าวายุมีบางอย่างซ่อนเร้น

แต่แม้จะมีภารกิจทดสอบกำลังศัตรู ก็ไม่คิดว่าจะเสียหายหนักเช่นนี้ พวกมนุษย์มีไพ่อยู่ในมือจริง แต่กลับเป็นด่านสู่พิสดารไร้ชื่อทั้ง 12 คน ไม่มีใครต่อกรได้ ทั้งยังหน้าไม่อายอีกต่างหาก แสร้งเล่นกลอุบายสังหารปักษาขั้น 5 ไปถึง 4 คน นับว่าตายเสียเปล่า ความโกรธที่พวกนักล่าได้รับนั้นมากเกินบรรยาย

ปักษาขั้น 6 ทั้งหลายที่ปรากฏตัวชี้ให้เห็นว่ามาเพื่อสังหารข้ารับใช้ทั้ง 12 คน เป็นแน่แท้

“นี่ มาอีกกลุ่มแล้ว” หลินเซียวและพวกหัวร่อ

“มนุษย์ไร้ยางอาย !” ปักษาขั้น 6 ผู้หนึ่งตะโกนเสียงเกรี้ยวแล้วเริ่มพึมพำบทสวดโบราณออกมา

เกิดเป็นความผันผวนประหลาดรอบกาย คลื่นแสงสีแดงพลันถือกำเนิด เคล้ากลิ่นอายทำลายล้าง

รัศมีเพลิง !

มันเป็นวิชาที่อาซือถิงเคยใช้เมื่อหลายปีก่อน

ระยะวิขาขั้น 6 เริ่มปรากฏ หมายจะกลืนข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 เข้าสู่หลุมพลังรุนแรง

แต่แค่รัศมีเพลิงอย่างเดียวนั้นไม่อาจโค่นข้ารับใช้ดาบได้ ดูท่าอีกฝ่ายหมายจะกำราบพวกเขาแค่ชั่วคราว พร้อมกันนั้นปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 6 อีกสองก็ลงมือ คนหนึ่งปล่อยพายุคลั่ง เกิดเป็นสายฟ้าฟาดลงจากฟ้า อีกคนปล่อยคลื่นแสงแห่งความตายออกมา เป็นความมืดเงียบสงัด ค่อย ๆ คืบคลานเข้าหาข้ารับใช้ดาบ โดยมีสายฟ้าฟาดวาบลงมาเป็นแสงจ้าปกคลุมเอาไว้

เผ่าปักษาทั้ง 3 ใช้วิชาต่างกัน 3 ชนิด แต่กลับเข้ากันได้ดี

ปกติแล้วการต่อสู้กลุ่มมักจะวุ่นวาย ในเมื่อต่างคนต่างดึงพลังจากภายนอก พลังแถบนั้นย่อมมีจำกัด การโจมตีของคนหนึ่งจึงกระทบต่ออีกคนหนึ่งได้

แต่การโจมตีทั้งหมดนี้ไม่ขัดกันสักนิด เห็นได้ว่าเผ่าปักษาทั้ง 3 มีความสามัคคีสูง

นี่คือความสามัคคีในผู้เชี่ยวชาญพลัง ไม่เพียงโจมตีเสริมถูกจังหวะ แต่ต้องมีกระทั่งระดับพลังเข้ากันได้เพื่อจะปล่อยการโจมตีที่ไม่รุนแรงบ้าระห่ำจนเกินไป แต่ผลของมันกลับขยายแรงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

ปักษาขั้น 6 ทั้งหลายสู้เคียงกันมานาน เข้าใจวิถีการต่อสู้สหายดี ดังนั้นใช้พลังแค่พอเหมาะ ไม่มีการขวางหรือขัดการโจมตีกันและกันเลย

หลินเซียวยิ้มเมื่อเห็นการโจมตีกลุ่มจากปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 6

“สามัคคียิ่ง พี่น้อง เราเองก็แสดงของให้ดูหน่อยเป็นไร !” หลินเซียวตะโกน

ว่าแล้ว ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ก็ลงมือ

ช่างเป็นการโจมตีที่ต่างจากเผ่าปักษาทั้ง 3 อย่างสิ้นเชิง

พวกเขาเหวี่ยงดาบไปในอากาศพร้อมกัน

ท่าการแกว่งดาบเหมือนกัน เห็นซึ่งความสามัคคีเหนียวแน่นยิ่งกว่าอีกฝ่าย เผ่าปักษาทั้ง 3 รู้ว่าตนเจอของแข็งเข้าทันที

แต่แล้วก็มีริ้วน้ำแข็งเริ่มหมุนวนไปรอบ ๆ มือข้ารับใช้ดาบทั้ง 12

วิชาอาร์คาน่าขั้น 3 วิชาแดนหิมาลัย !

เป็นหนึ่งในวิชาที่ซูเฉินถอดออกมาจากเชลยเผ่าปักษาคนหนึ่งและสอนให้กับข้ารับใช้ดาบทั้ง 12

วิชาแดนหิมาลัยสามารถใช้ซ้อนกันได้ไม่จำกัดครั้ง หากใช้มากพอก็สามารถยกระดับได้อีกขั้นเลยทีเดียว

วิชาแดนหิมาลัยทั้งสิบสองสายมุ่งเข้าหาเป้าหนึ่งเดียว คือปักษาคนที่ปล่อยลำแสงแห่งความตายผู้นั้น

แม้มันจะดูไร้ภัยใด แต่ก็อันตรายที่สุด

ดังนั้นข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 จึงคิดจัดการเขาก่อน

เมื่อวิชาแดนหิมาลัยปะทะเป้าหมาย เผ่าปักษาก็รู้สึกถึงพลังเยือกแข็ง การใช้พลังเชื่องช้าลงมาก

ซึ่งไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นความจริง วิชาแดนหิมาลัยส่งผลต่อการใช้พลังได้ ปกติแล้วจะส่งผลไม่มาก แต่หากถูกใช้พร้อมกันมากพอก็กระทบกับปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 6 ได้เช่นกัน

แต่ก็ไม่แกร่งพอจะแช่แข็งปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 6 ได้ ได้เพียงทำให้เชื่องช้าลงเท่านั้น รวมถึงเวลาตอบสนองและความสามารถในการใช้พลังก็ช้าลงด้วย

เท่านั้นก็พอแล้ว

การต่อสู้ระหว่างผู้แกร่งกล้านั้น ตัดสินกันเพียงเฉียดฉิวเท่านั้น

ในตอนที่เผ่าปักษาผู้นั้นคิดหนี ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ก็ลงดาบ

ครั้งนี้ไม่เหมือนวิชาแดนหิมาลัย.. ริ้วดาบกลับควบรวมกันกลายเป็นดาบเล่มใหญ่ !

รัศมีดาบคมกริบแผ่ออกมาราวกับจะเฉือนฟ้า ง้างใส่ปักษาที่คุมสายฟ้าฟาดผู้นั้น

เผ่าปักษาทั้ง 3 ตกใจเป็นยิ่งนัก

พวกเขาพบว่าข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 นั้นมีความกลมเกลียวมากกว่าพวกเขาเสียอีก

คนที่ขาดการร่วมมือที่ดีย่อมโจมตีขัดกันเอง ลดผลการโจมตีลง แต่หากมีความสามัคคีก็จะสามารถโจมตีซ้อนทับกันได้โดยไม่ลดแรงโจมตีของคนอื่นแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักสู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงสามารถขยายแรงการโจมตีได้ เพราะพวกเขารวมการโจมตีเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง พลังทั้งหมดจะมาบรรจบกันในคนหนึ่ง ราวกับดูดเอาพลังจากสหายร่วมรบมา ทำให้พลังบ้าคลั่งขึ้นมา นับว่าเป็นการรวมกับที่ได้ประสิทธิผลดีเยี่ยม

ทำได้ถึงขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงต้องใช้เวลาสั่งสม แต่ยังต้องมีการบ่มเพาะพลังคล้ายกัน แต่ก่อนคงจะมีแต่คนในตระกูลที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้นจึงจะทำได้

แต่ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ก็ได้ทำลายกฎเกณฑ์นั่นไปแล้ว

แม้จะไม่ใช่คนตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่ก็มีการบ่มเพาะพลังคล้ายกัน

พวกเขาใช้วิชาไร้สายเลือดของซูเฉินเพื่อทะลวงพลัง ฝึกวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ และได้รับแรงสนับสนุนจากลักษณ์ของซูเฉิน เป็นซูเฉิน หลี่ฉงซานและฉือไคฮวงที่สอนวิถีดาบให้ ทั้งยังเรียนวิชาเดียวกัน เมื่อรวมวันเวลาที่ฝึกฝนร่วมกันมา จึงไม่แปลกที่จะเข้ากันได้มากเช่นนี้

กระทั่งซูเฉินยังรับมือกับท่าดาบรวมพลังเช่นนี้ตรง ๆ ไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเผ่าปักษาทั้ง 3 เลย

ริ้วดาบง้างเข้ามา ทำพสุธาสะเทือนเลือนลั่น นับเป็นวิชาขั้นที่ด่านผลาญจิตวิญญาณโจมตีได้แล้ว

ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 6 ไม่อาจต้านรับไหว เบิกตามองการโจมตีที่ใกล้เข้ามาด้วยความตกใจกลัว

แม้สายพายุสายฟ้าและรัศมีเพลิงจะยังโจมตีศัตรูได้อยู่ แต่ร่างมนุษย์และพลังด่านสู่พิสดารก็ทำให้รับการโจมตีได้ในระยะหนึ่ง อย่างไรปรมาจารย์อาร์คาน่าพวกนี้ก็ต้องตาย

แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา ปลดปล่อยริ้วแสงเข้าปะทะกับพลังดาบนั้น

ขั้น 7 !

นักล่าวายุยังเปิดไพ่ต่อ ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 7 ที่เร้นกายได้เผยตัวเพื่อช่วยเหลือปรมาจารย์อาร์คาน่าที่เหลือแล้ว

แต่จังหวะที่ลงมือ ร่างหนึ่งก็พลิ้วเข้าโจมตีปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 7 ราวกับอสนีบาต

อวิ๋นเป้า !

เขาซ่อนตัวอยู่ ไม่ออกตัวจนกว่าจะถึงจังหวะจวนตัว กล่าวได้ว่าเรียนรู้จากซูเฉินมาดี

เผ่าปักษาขั้น 7 เหมือนเตรียมตัวมาแล้ว ปล่อยคลื่นพลังดุกันใส่อวิ๋นเป้า หมายสังหารไปพร้อมกับคลื่นดาบ ที่ดีคือกักอวิ๋นเป้าไว้ในคลื่นพลังนี้และสังหารไปพร้อมกับแรงระเบิดเสียเลย

แต่เกินคาด อวิ๋นเป้ากลับพุ่งเข้าใส่วิชาอย่างไม่เกิดผลใด

ไม่สิ เกิดผลอยู่ เผ่าปักษาขั้น 7 เห็นแล้วว่าอวิ๋นเป้าเลือดออกอยู่ภายใน นับว่าสาหัสไม่น้อย

แต่อวิ๋นเป้าก็ไม่กระเด็นไป กลับเพิ่มความเร็วเข้าประชิดตัวเผ่าปักษาขั้น 7 โดยเล็งกริชดำเข้าที่ลำคอเป้าหมาย

วิชาอาร์คาน่าย้อนกลับ !

ชื่อนี้พลันแวบขึ้นในหัวปรมาจารย์อาร์คาน่า

เขาไม่มีเวลามาสงสัยว่าอวิ๋นเป้าไปเรียนวิชามาจากไหน เพราะศัตรูเร็วกว่าที่คาดมาก กริชดำเผยกลิ่นสังหารออกมา สมองเขาสั่งการว่าหากมันถูกเขา เขาก็คงไม่รอดแน่ !

ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 7 จึงเลือนร่างหายไป ไม่คิดสนใจใครอีก

แสงที่ต้านดาบหายไป ทำให้มันทำลายล้างไปตามทางจนถึงเป้าหมายในที่สุด

เผ่าปักษาที่ปล่อยพายุสายฟ้าสร้างเกราะกำบังกายโดยใช้เวลาที่เผ่าปักษาขั้น 7 ถ่วงไว้ให้ และกำลังล่าถอยอย่างบ้าคลั่ง กล่าวได้ว่าการตอบสนองเฉียบคมไม่น้อย แต่ริ้วดาวก็ยังรุกคืบเข้ามาปะทะ สุดท้ายเกราะแตก ก่อนจะกรีดผ่านร่างเขาเป็นชิ้น ๆ

“อึ่ก !”

ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 กระอักเลือดออกมาพร้อมกัน

เป็นผลจากการใช้ร่างต้านพลังพายุสายฟ้าและรัศมีเพลิงนั่นเอง

แต่ทำไปเพื่อสังหารปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 6 ได้ก็นับว่าคุ้มแล้ว

ครู่ต่อมา ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ก็ปล่อยท่าดาบอีกครา

มีหรือที่เผ่าปักษาที่เหลือจะกล้ารับการโจมตีตรง ๆ อีก ? พวกเขาถอยทันที แต่ก็เห็นว่าริ้วดาบจางหายไป มันเป็นภาพลวงตาต่างหาก

ความสามารถในการร่วมมือแบบนี้แสดงไม่ง่ายเลย ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ไม่อาจลงมือตามอำเภอใจได้

แต่ใช้วิชาเช่นนี้เพื่อทำให้เผ่าปักษากลัวก็เกินพอซื้อเวลาให้ข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ได้ฟื้นตัว จากนั้นต่างก็พากันหยิบยาขึ้นกระดกอย่างหน้าไม่อาย มีเจ้านายปรุงยาเก่งมันก็ดีเช่นนี้

บาดแผลที่พวกเขาเพิ่งได้รับเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

เผ่าปักษาที่เหลือเสียดายที่พลาดจังหวะดีไปยิ่ง

ที่อีกด้านหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็เริ่มประมือกับปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 7 แล้ว

กริชดำที่เขาชิงมาจากฉู่ไหวเหลียงกรีดผ่านอากาศไม่หยุด ปลดปล่อยแสงสีดำออกทั่วทุกทิศทาง !!!