บทที่ 88 มีด
เมื่อฉู่ไหวเหลียงยังมีชีวิตอยู่ เขามีชื่อเล่นว่าเฮยไป๋
‘ไป๋’ หมายถึงดาบแยกนภาสีขาวของเขา ส่วน ‘เฮย’ หมายถึงใบมีดที่อวิ๋นเป้ากำลังกวัดแกว่งอยู่ในตอนนี้
ชื่อใบมีดเล่มนี้คือทมิฬทำลายล้าง มันถูกตีขึ้นด้วยกระดูกฝ่าเท้าของราชันฉลามมืดทะเลใต้เป็นวัสดุต้นและเสริมด้วยทองโกลาหลที่ขุดจากภูเขานภาเหนือ มันจึงเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังไม่สิ้นสุดของราชันฉลามมืดอยู่ภายในมัน
หากผู้ใดถูกฟาดฟันโดยมีดเล่มนี้ เจตสังหารของราชันฉลาดมืดจะเผยออกมาและเริ่มกลืนกินพลังชีวิตของเหยื่อผู้โชคร้าย เพราะเจตสังหารนี้นั้นล่องหนและยากที่จะตรวจจับได้ มีดนี้จึงถูกตั้งชื่ออย่างเหมาะสมว่าทมิฬทำลายล้าง คุณสมบัติในการกัดกร่อนของมีดนี้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกป้องกันได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีกำแพงใจก็ตาม
แต่ก็ยังมีตำหนิที่ร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่งในมีดเล่มนี้ เพราะความเกลียดชังในตัวมันนั้นแข็งแกร่งเกินไป ใครก็ตามที่มีพลังจิตที่ทรงพลังจึงสามารถสัมผัสมันได้อย่างง่ายดาย ซูเฉินสามารถรับรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน และปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 คนนั้นก็เช่นกัน ผลก็คืออย่าปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสเราได้เด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม !!
แต่อวิ๋นเป้านั้นว่องไวยิ่งนัก มีดของเขาไหลลื่นราวกับสายลมขณะที่มันฟันลงไปยังคู่ต่อสู้ของเขาอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนไหวของมันนั้นเรียบง่ายและเถรตรงอย่างน่าเหลือเชื่อ
เขาเติบโตขึ้นมาข้างถนน ที่ที่สถานะของบุคคลถูกชี้วัดด้วยความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขา เขาไม่เคยได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้แบบดั้งเดิม ท่าทางการต่อสู้ของเขาจึงได้รับมาจากนักเลงข้างถนนเป็นส่วนมากไปตามธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะโบยบินในฟากฟ้าและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองด้วยพลังต้นกำเนิด ทว่าการเคลื่อนไหวของเขานั้นก็น่ารำคาญที่จะรับมือยิ่ง !
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 คนนี้นั้นถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีทางเลยที่เขาจะเป็นนักล่าวายุตัวจริง แต่เขาดูเหมือนชนชั้นสูงที่มีตำแหน่งสูงส่งเสียมากกว่า กระทั่งในการสู้รบ เขาก็ดูจะพยายามอย่างถึงที่สุดในการรักษาเกียรติศักดิ์ศรีไว้
เขาแกว่งไม้เท้าหยกเขียวฝังทับทิม ด้วยคลื่นจากไม้เท้าของเขาแต่ละครั้ง แสงสีเขียวหยกที่คล้ายคลึงกันจะห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ ไม่นานต่อมา เถาวัลย์นับไม่ถ้วนก็เลื้อยออกมาเบ่งบานจากร่างของเขาและทำให้กลีบดอกไม้มากมายร่วงหล่นลงมาจากผืนฟ้า ฉากนี้นั้นสวยงามชวนมองอย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าทุกกลีบดอกไม้นั้นจะเปี่ยมไปด้วยเจตสังหารที่เข้มข้น ใครก็ตามที่ได้เห็นพวกมันจะไม่รู้สึกถึงแรงข่มขู่กดดันใด ๆ
แต่อวิ๋นเป้านั้นเป็นเหมือนกับหมูป่าที่กำลังฉีกทิ้งดอกไม้ในสวน เขาอาละวาดอย่างร้ายกาจผ่านดอกไม้เหล่านี้และสังหารพวกมันไปจำนวนมาก แต่ก็ยังคงเหลือดอกไม้อีกไม่น้อย เมื่อผนวกเข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันงอกงามขึ้นใหม่หลังจากที่ถูกกำจัดไป หมูป่าดุร้ายก็ไม่สามารถกำจัดพวกมันได้ทั้งหมดไม่ว่าเขาจะทำลายมันอย่างเกรี้ยวกราดมากเท่าไรก็ตาม
ถึงอย่างนั้น อวิ๋นเป้าก็ยังคงพุ่งไปรอบ ๆ อย่างดุร้าย ทมิฬทำลายล้างปล่อยลำแสงแล้วลำแสงเล่าของแสงสีดำมืด
เพื่อตอบโต้ เผ่าปักษาระดับ 7 จึงเรียกวายุกลีบดอกไม้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยพลังสีฟ้านั้นครอบครองคุณสมบัติบางอย่างอยู่ด้วย ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว วายุกลีบดอกไม้นี้จะลดความเร็วของคู่ต่อสู้อย่างรุนแรง แต่วิชาอาร์คาน่าย้อนกลับของอวิ๋นเป้าทำให้เขาสามารถผ่านพ้นมาจากพายุนั้นได้โดยไม่สูญเสียความเร็วใด ๆ ไป ขณะที่เขายังคงกระโดดผ่านมวลอากาศต่อไปอย่างว่องไว ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 ก็ถูกบีบบังคับให้ปรับเปลี่ยนความสนใจมากขึ้นและมากขึ้นไปกับการถอยหนี
ปรมาจารย์อาร์คาน่านั้นเก่งกาจทีเดียว ทักษะเคลื่อนกายและวิชาหลบหลีกของพวกเขาจึงน่าอัศจรรย์ไม่น้อยเลย ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 หรือสูงกว่านั้นคนใดก็ตามจะต้องมี 1 หรือ 2 วิชาเคลื่อนกายที่ฝึกไว้ ซึ่งเป็นไปได้ยากอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ส่วนมาก วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินนั้นถูกมองว่าเป็นทักษะหายากในเผ่ามนุษย์อย่างแน่นอน แต่สำหรับชาวอาร์คาน่าและลูกหลานของพวกเขาแล้ว วิชาอาร์คาน่าประเภทหลบหลีกเช่นนี้นั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดาทั่วไป
แต่การหลบหนีนั้นไม่เพียงพอ การชิงข้อได้เปรียบของพื้นที่ที่สร้างขึ้นจากการหลบหลีกการโจมตีและตอบโต้กลับไปนั้นคือกุญแจสู่ชัยชนะ !
ชาวอาร์คาน่านั้นคุ้นชินกับการต่อสู้พร้อมการเคลื่อนไหว เผ่าปักษาระดับ 7 ปล่อยทำนบกลีบดอกไม้ที่มั่นคงออกมา และไม้เท้าของเขาก็เรียกภาพลวงตาอสูรที่คอยขู่คำรามและตะครุบเข้าที่อวิ๋นเป้าออกมาอย่างต่อเนื่อง อสูรเหล่านี้ส่วนมากเป็นรูปแบบของอสูรจริง ๆ ที่ถูกเรียกออกมาด้วยวิชาอาร์คาน่าพวกมันพุ่งผ่านพายุกลีบดอกไม้และเห่าหอนอย่างดุร้าย
การใช้พายุกลีบดอกไม้เพื่อลดทอนการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเป้าโดยปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 พร้อมกับโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องด้วยร่างอสูรลวงตานั้นงดงามทีเดียว และการผสมผสานกันของทั้งสองก็เต็มไปด้วยเจตสังหารที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่อวิ๋นเป้าก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป !
พุ่ง !
พุ่ง !
พุ่ง !
ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเขวี้ยงปาวิชาใดใส่ การโต้ตอบของอวิ๋นเป้าก็มีเพียงแค่พุ่งตรงไปข้างหน้าและฟันฝ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า การเคลื่อนไหวของเขานั้นเรียบง่าย เฉียบคม และมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก
หมู่กลีบดอกไม้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และเลือดอสูรก็เปรอะเปื้อนไปทุกหนแห่ง
กระทั่งขณะที่ดอกไม้ในอากาศเบ่งบานและร่วงโรยลง อวิ๋นเป้าก็มุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่ท้อถอย
ปรมาจารย์อาร์คาน่ารู้ตัวในไม่ช้า ว่าไม่ว่าเขาจะใช้วิชาประเภทใด เขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเข้ามาของชายหนุ่มคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย !
เขาเคลื่อนตัวมาข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ช่องว่างระหว่างตนเองและฝ่ายตรงข้ามกำลังลดน้อยลงทุกอึดใจ
นี่เป็นเพราะชาวปักษาคนนั้นต้องการจะทำหลายสิ่งอย่างเกินไป เขาจำเป็นต้องโจมตี ป้องกัน ถ่วงเวลา และถอยทัพ ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ส่วนอีกฝ่าย อวิ๋นเป้าเพียงแค่ต้องโจมตีเท่านั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงเผ่าปักษาระดับ 7 ผู้ปราดเปรียวอย่างน่าเหลือเชื่อและสามารถใช้ทุกทักษะของเขาได้อย่างช่ำชอง คู่ต่อสู้เช่นนี้นั้นจึงไม่สามารถเทียบได้กับผู้ที่คิดเพียงแต่จะเดินหน้าไปเท่านั้น !
เผ่าปักษาจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และยอมแพ้ที่จะโจมตี
หมู่ดาวตกที่พวยพุ่งในอากาศนั้นหายลับไปเป็นอย่างแรก
แต่เขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่ามันไม่เพียงพอ ความเร็วของตนเองยังคงด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม สิ่งต่อไปที่เขาต้องละทิ้งจึงเป็นการพยายามหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเป้า อย่างไรแล้วอีกฝ่ายก็มีวิชาอาร์คาน่าย้อนกลับ จะขัดขวางสักเท่าไรก็คงไม่เป็นผล
วายุกลีบดอกไม้เริ่มค่อย ๆ ร่อยหรอลงจนหยุดไปเช่นกัน
มันทำให้เขาสามารถมุ่งสมาธิไปกับการเคลื่อนกายหนีได้ ระยะห่างระหว่างเขาและอวิ๋นเป้าจึงควรจะเข้าใกล้มาช้าลงมากขึ้น
แต่เขาก็รู้ตัวอย่างรวดเร็วว่ามันก็ยังไม่เพียงพอ การโจมตีของอวิ๋นเป้ามีแต่จะรุนแรงขึ้นเมื่อพายุกลีบดอกไม้หยุดลง แม้ว่าความเร็วของอีกฝ่ายจะเพิ่มขึ้น อวิ๋นเป้าก็ดูจะรวดเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน และช่องว่างระหว่างทั้งสองก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ไม่เร็วเท่าก่อนหน้านี้เท่านั้น
ท้ายที่สุด ชาวปักษาก็จำเป็นต้องยอมละทิ้งกระทั่งภาพอสูรลวงตา
มันมากพอที่จะขัดขวางไม่ให้ช่องว่างระหว่างทั้งสองคนลดลงไปมากกว่านี้ได้ในที่สุด แต่แล้วเขาก็พบว่า เนื่องจากเขายอมแพ้ต่อการสวนกลับไปแล้ว สถานการณ์จึงกลับกลายเป็นอวิ๋นเป้าที่เป็นฝ่ายไล่ตามและฟาดฟันเขาขณะที่เขาพยายามหลบหนีอย่างไม่หยุดหย่อน มันดูเหมือนว่ามนุษย์ด่านสู่พิสดารกำลังบีบให้เขาต้องวิ่งไปมาราวกับกระรอกตัวจ้อย
นี่มันน่าเกลียดเกินไปแล้ว !
เขาเป็นเผ่าปักษาประเภทไหนกัน ?
ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 !
เพียงเท่านั้นก็สูงกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารแล้ว และยังมีความแข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณอีกด้วย เขาสามารถถูกตามไล่ล่าเช่นนี้โดยผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้อย่างไรกัน ?
อวิ๋นเป้ายังไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเขาได้ และยังคงบาดเจ็บหนักจากการโจมตีที่เขาได้รับขณะพยายามที่จะเข้าไปใกล้ แท้จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังเสียเปรียบ แต่เหล่าคนนอกมองเห็นเพียงปักษาระดับ 7 ผู้ยิ่งใหญ่ อวี่เชียนเซียว กำลังถูกไล่ตามอยู่ฝ่ายเดียวโดยมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ความอับอายขายหน้าที่เขารู้สึกนั้นช่างน่าละอายเกินกว่าจะให้ใครเห็นได้ !
เผ่าปักษาเย่อหยิ่งเป็นธรรมชาติ และชนชั้นสูงเผ่าปักษานั้นยิ่งกว่า
อวี่เชียนเซียวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมรับผลเช่นนี้ได้
ขณะที่ความเดือดดาลกำลังเข้าเกาะกุมใจ ร่างกายของเขาก็เริ่มเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ
ภายใต้แสงเรืองรองสีเขียว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดรอบกายเขาเริ่มเหี่ยวเฉาและเปื่อยเน่าลงอย่างรวดเร็ว
โลกเหี่ยวเฉา !
นั่นคือชื่อวิชาอาร์คาน่าของอวี่เชียนเซียว
การเรียกมันว่า ‘โลก’ นั้นออกจะเกินจริงไปสักหน่อย โดยเฉพาะเนื่องจากระยะส่งผลของมันไปได้เพียงแค่ไม่กี่จั้งเท่านั้น แต่มันก็มากเกินพอที่จะรับมือกับคู่ต่อสู้ใดก็ตามที่โง่เง่าพอจะพยายามและประมือในระยะใกล้กับเขา
เผ่าปักษาเกลียดการต่อสู้ระยะใกล้ และพวกเขาก็มีวิชาหลากหลายซึ่งมีประโยชน์ในการปกป้องตัวเอง
เขาเชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้ว การป้องกันที่ดีที่สุดคือการโจมตีที่ดี
การป้องกันที่แท้จริงของเขาคือโลกเหี่ยวเฉานี้ สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่เข้าใกล้เขาจะเริ่มร่วงโรยลงเนื่องจากพลังลึกลับของทักษะนี้
โลกเหี่ยวเฉาสร้างทรงกลมแห่งความตายขึ้นรอบกายเขา มันทรงพลังจนพลังของมันนั้นเกินไปกว่าที่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 จะสามารถปลดปล่อยออกมาได้ ในทรงกลมนี้ กระทั่งสิ่งของไร้ชีวิตก็ยังสามารถสิ้นชีพได้ รวมถึงก้อนหิน โลหะ ก้อนเมฆ และกระทั่งอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างจะละลายหายไปเป็นความว่างเปล่า หากเป็นมนุษย์คงไม่ต้องพูดถึง !
หากทักษะนี้จะมีตำหนิอะไรสักอย่าง คงจะเป็นที่มันไม่สามารถแยกแยะระหว่างมิตรและศัตรูได้
แม้กระทั่งผู้ใช้มันเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
แต่มันไม่มีความหมาย
โลกเหี่ยวเฉานั้นไม่ได้ไร้เทียมทาน แม้ว่าพลังกัดกร่อนของมันจะเก่งกาจ มันก็ยังสามารถถูกต่อต้านได้ ด้วยความสามารถของการต่อต้านที่ถูกกำหนดโดยวิชาที่ผู้นั้นใช้
อวี่เชียนเซียวได้เรียนรู้และใช้โลกเหี่ยวเฉามาหลายต่อหลายปี และเขาก็รู้ถึงศักยภาพในการกัดกร่อนของมันเป็นอย่างดี เขาเริ่มตั้งเกราะป้องกันชั้นแล้วชั้นเล่าให้กับตัวเอง
ไม่มีใครเก่งกาจในสิ่งนี้ไปกว่าเขา อย่างไรแล้วนี่ก็เป็นวิชาที่เขาเป็นผู้สรรค์สร้างขึ้นมาเอง
ด้วยการพึ่งพาวิชานี้ เขาได้เอาชนะผู้เชี่ยวชาญมาคนแล้วคนเล่า
การต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่เว้นเช่นกัน
“จงภูมิใจที่เจ้าโชคดีพอที่จะได้ตายด้วยโลกเหี่ยวเฉาของข้า !” อวี่เชียนเซียวประกาศกร้าวอย่างมืดมนขณะที่เขาปลดปล่อยพลังของโลกเหี่ยวเฉาไปจนถึงขีดสุด
พลังงานทำลายล้างเริ่มแพร่กระจายออกไปและปกคลุมร่างของอวิ๋นเป้าจนมิดชิด วินาทีต่อมา ควันเริ่มโขมงขึ้นจากผิวหนังของเขาซึ่งแสดงถึงพลังงานทำลายล้างที่เริ่มแทรกซึมเข้าไปในผิวของเขาและจะค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายในไม่ช้า
แต่ถึงอย่างนั้น อวิ๋นเป้าก็ไม่สนใจใยดีต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกายและยังคงเดินหน้าต่อ
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่สามารถแตะต้องอวี่เชียนเซียวได้แม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังคงไล่ตามไปอย่างต่อเนื่องไม่ว่าอวี้เชียนเซียวจะทำเช่นไร อวี่เชียนเซียวไม่สามารถชะลอเขาลงได้เลยแม้แต่ครึ่งก้าว
พลังเหี่ยวเฉานี้สามารถกัดกร่อนร่างกายของอวิ๋นเป้าได้แต่ไม่ใช่กับจิตใจของเขา ยิ่งเขาต่อสู้ เจตสังหารของเขาก็ยิ่งแผ่ออกมามากยิ่งขึ้น ราวกับว่าเขาไม่รู้จักคำว่า ‘เกรงกลัว’ หรือ ‘ถอยหลัง’ เลยสักนิด ความเร็วและความอันตรายของเขายังคงเพิ่มสูงขึ้นจนถึงตอนนี้
อวี่เชียนเซียวตะลึงงันเมื่อค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นกำลังเคลื่อนที่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น
ควันสีเทามืดยังคงไหลทะลักออกมาจากร่างของเขา โดยยืดและยาวออกทางด้านหลังราวกับหางยาวเหยียดที่ประกอบขึ้นด้วยควัน
ทมิฬทำลายล้างคดโค้งไปตามอากาศอย่างไม่หยุดยั้งและผลักดันให้อวี่เชียนเซียวต้องถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง
“ไม่ !” อวี่เชียนเซียวจ้องเขม็งไปยังคู่ต่อสู้ของเขาด้วยความตกตะลึงขณะที่เขาขยายโลกเหี่ยวเฉาไปจนถึงขีดสุด
เนื่องจากเขากำลังเพ่งความสนใจไปยังการใช้งานและให้พลังงานกับโลกเหี่ยวเฉา ความเร็วของเขาจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด และอวิ๋นเป้าก็สามารถเข้ามาใกล้เขาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
แต่เขาก็คิดว่าอวิ๋นเป้าจะต้องสิ้นลมหายใจก่อนจะมาถึงตัวเขาได้แน่ !
อีกฝ่ายจะต้องตายอย่างแน่นอน !
อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่อวี่เชียนเซียวคิด
ขณะที่เขามองดูอวิ๋นเป้าเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อวี่เชียนเซียวก็รู้สึกถึงจิตใจของตนที่สั่นสะท้าน
ความมั่นใจของเขาก็เริ่มที่จะเหี่ยวเฉาแล้วเช่นกัน
บางทีเขาอาจไม่ควรพยายามที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับคู่ต่อสู้ของเขาคนนี้ !
อย่างไรเผ่าปักษาชั้นสูงก็ไม่เหมาะสมกับการต่อสู้โดยตรงอยู่แล้ว
เขาลังเลและไม่แน่ใจว่าจะทำสิ่งใดในตอนนี้ พลังล้างผลาญจึงอ่อนลงทำให้อวิ๋นเป้าเข้ามาได้ไวยิ่งขึ้นไปอีก
อวี่เชียนเซียวรู้ว่าสถานการณ์นี้ต้องไม่ดีแน่ ๆ แต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะหลบหนีอีกต่อไป เขาทำได้เพียงแค่พยายามอีกครั้งและชะลออีกฝ่ายลงก่อนที่คู่ต่อสู้จะเข้าถึงตัวเขาได้
อวิ๋นเป้าช้าลงอีกครั้งในที่สุด พลังกัดกร่อนของโลกเหี่ยวเฉากำลังทำร้ายเขาอย่างรุนแรง และกระทั่งพละกำลังของเขาก็เริ่มที่จะลดต่ำลง
แต่เขายังคงฟาดฟันกริชของเขาออกไปอย่างเฉียบขาด
โดยเชื่องช้าแต่แน่นอน เขาเริ่มปิดช่องว่างสุดท้ายระหว่างตัวเขากับอวี่เชียนเซียว
อวี่เชียนเซียวจ้องมองขณะที่กริชเล่มนั้นเข้ามาใกล้เขา การคุกคามของความตายจวนจะเข้ามาถึงแล้ว
เขาไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองจากการชูไม้เท้าวิเศษของเขาขึ้นและปล่อยเกราะป้องกันสีเขียวออกมาเพื่อปกป้องตัวเอง
ในวินาทีนั้น เขาไม่สามารถควบคุมการตอบสนองตามสัญชาตญาณในการเปลี่ยนจากโจมตีเป็นตั้งรับเพื่อพยายามรักษาชีวิตของตัวเอง
ปั้ง !
ทมิฬทำลายล้างฟาดฟันผ่านท้องฟ้าและปะทะเข้ากับเกราะป้องกันของเขา
การโจมตีครั้งนี้เทียบเท่ากับการโจมตีหลายพันครั้ง
เกราะป้องกันของเขาแหลกสลายไปขณะที่ทมิฬทำลายล้างท่วมทะลักเข้าไปใจกลางของอวี่เชียนเซียว
การฟาดฟันใบมีดเพียงหนึ่งครั้ง !
การฟันใบมีดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ต้องการ !!
อวิ๋นเป้าถูกโจมตีโดยเขานับหลายพันครั้งก่อนที่ตนเองจะโดนมีดนั่นในวินาทีสุดท้าย
อวี่เชียนเซียวตัวสั่นเทิ้มเมื่อพลังชีวิตที่ไหลเวียนในร่างกายของเขาหยุดชะงักลงเพราะผลของใบมีดเล่มนั้น
“ไม่ !” อวี่เชียนเซียวส่งเสียงโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของตัวเขากำลังไหลออกจากร่างไปอย่างรวดเร็ว
“มีความตะขิดตะขวงและลังเลใจมากเกินไป ข้ายอมรับว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งไม่น้อย แต่จิตใจของเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป เจ้าแพ้เพราะขาดไหวพริบ !” อวิ๋นเป้าป่าวประกาศด้วยเสียงแผ่วเบา
เขาดึงกริชออกมา
ขณะที่เขาชักกริชออกมาจากอวี่เชียนเซียว ร่างกายของอวี่เชียนเซียวก็เริ่มแหลกสลายไปอย่างรวดเร็ว แล้วจึงกลายเป็นเถ้าถ่านแปลกประหลาดที่ปลิดปลิวไปตามสายลม