ภาคที่ 5 บทที่ 89 การมาถึง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 89 การมาถึง

เหล่าหูและคนอื่น ๆ กำลังเฝ้ามองทุกอย่างอยู่บนฟากฟ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่ออวี่เชียนเซียวถูกสังหาร ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความสุขใจ

ด้วยพละกำลังของพวกเขาแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่สามารถบอกได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่าและใครอ่อนแอกว่า

แต่พวกเขายังสามารถมองเห็นรัศมีของผู้ต่อสู้ได้

พวกเขาสามารถเห็นได้ว่าอวิ๋นเป้าได้ปลดปล่อยวิชาที่สง่างามยิ่งกว่าที่เผ่าปักษาคนใดจะสามารถทำได้ และเข้ายังใช้วิชาโจมตีในขณะที่เคลื่อนกายไปมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ฝูงภาพอสูรลวงตาที่น่าหวาดกลัวนั้นมากเกินพอที่จะบอกพวกเขาได้ว่าชายคนนี้นั้นแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ

แต่ชายผู้น่าเกรงขามคนนี้ได้ถูกแทงจนเสียชีวิตโดยอวิ๋นเป้า ด้วยความเคารพนับถือที่หลินเซียวและคนอื่น ๆ มีต่อเขา จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะไม่รู้สึกผิดแปลกไปกับสถานการณ์นี้

“ผู้ยิ่งใหญ่ ! อวิ๋นเป้าคือผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน !”

“มีความสามารถที่แท้จริงไม่เคยคุยโวโอ้อวด !”

“ช่างเก่งกาจยิ่งนัก อวิ๋นเป้า !”

“อวิ๋นเป้าไม่ธรรมดาจริง ๆ!”

“เงียบซะพวกโง่ ผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการต่อสู้นี้คือตัวจริง ดูสิ กังเหยียนยังอยู่ที่นี่กับพวกเรา นั่นหมายความว่ากังเหยียนน่ะคือที่สุด !”

หนึ่งในคนที่ฉลาดเฉลียวกว่ากลับไปให้ความสนใจกับกังเหยียนเสียอย่างนั้น แทนที่จะสรรเสริญเยินยอผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไป คงจะดีกว่าหากจะยึดติดอยู่กับกำลังเสริมที่มั่นคงที่นั่งอยู่เคียงข้างพวกเขา

กลุ่มคนงานขนาดใหญ่เข้าล้อมกังเหยียนและพยายามที่จะชื่นชมเขา เพราะเขาเป็นคนจากเผ่าหินผา เขาจึงเคยชินกับการโดนดูถูกโดยผู้อื่น เป็นไปได้ยากที่ผู้คนจะประจบสอพลอเขาเช่นนี้ เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้นในที่สุด “ข้าไม่ใช่นายของใคร ข้าเป็นแค่ข้ารับใช้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องยกยอข้าเช่นนี้”

“หากกังเหยียนยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ งั้นนายของเจ้าจะต้องน่าทึ่งยิ่งกว่าเป็นแน่”

กังเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเป็นการยืนยัน “อื้ม ก็ถูกนะ”

ใครบางคนถามขึ้น “นายของเจ้าอยู่ที่ใด ? พวกเราจะขอเข้าพบเขาได้หรือไม่ ?”

กังเหยียนตอบแต่โดยดี “เขาไม่อยู่ที่นี่ในตอนนี้”

ทุกคนต่างก็ผิดหวัง ความฝันของพวกเขาที่จะได้พบกับกำลังเสริมที่มั่นคงนั้นจางหายไปแล้ว

แต่นั่นก็มีเหตุผล หากอวิ๋นเป้าและกังเหยียนเป็นลูกน้องของใครบางคน นายของพวกเขาจะต้องมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์อย่างแน่นอน แล้วคนผู้นั้นจะช่วยชีวิตมดปลวกเช่นพวกตนได้อย่างไร ?

แต่โดยไม่มีใครคาดคิด กังเหยียนก็พูดขึ้น “เจ้าคงไม่สามารถรับใช้นายของข้าได้หรอก แต่มันไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับพวกเจ้าที่จะเรียนรู้สิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นมา”

หืม ?

หมายความว่าอย่างไร ?

ไม่มีใครเข้าในใจสิ่งที่กังเหยียนพยายามจะบอก

ในโลกเช่นนี้ คนงานชั้นต่ำเหล่านี้จะเรียนรู้สิ่งที่มีค่าโดยไม่ต้องจ่ายราคามหาศาลได้อย่างไร ?

พวกเขาเป็นทาสมานับหลายสิบปีแล้ว พวกเขาจึงได้เรียนรู้การฝึกฝนแค่เพียงหยิบมือเท่านั้น ที่จริงแล้วพวกเขานั้นค่อนข้างโชคดี พวกเขาเพียงต้องการที่จะตามหาบุคคลที่แข็งแกร่งเพื่อให้ได้รับการดูแลที่ดีขึ้นและตามหากำลังเสริมที่ทรงพลัง พวกเขาล้วนไม่อาจหาญแม้กระทั่งจะฝันถึงการได้เรียนรู้บางสิ่งอย่างจริง ๆ

แต่กังเหยียนดูเหมือนจะบอกว่าการกลายเป็นข้ารับใช้นั้นยากเสียยิ่งกว่าการเป็นศิษย์อีกหรือ ?

“กังเหยียน… ท่าน ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าท่านไม่ได้กล่าวอะไรผิด ?” หนึ่งในคนงานที่มีความกล้าถามขึ้น

“ใช่แล้วละ หากเจ้าต้องการเรียนเกี่ยวกับการฝึกพลัง จงไปยังนิกายไร้ขอบเขตที่เขาหมื่นดาบ”

ผู้เชี่ยวชาญพลังงานต้นกำเนิดส่วนมากจะรู้ว่ากังเหยียนกำลังพูดถึงใครทันทีที่เขาเอ่ยถึงนิกายไร้ขอบเขต แต่ก็เป็นไปไม่ได้สำหรับคนงานเหล่านี้ที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องราวระดับสูงเช่นนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ละทิ้งความสนใจไปเมื่อพวกเขาได้ยินว่าพวกเขาจะต้องไปยังที่แห่งอื่นกระทั่งเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง

เมื่อกังเหยียนเห็นพวกเขาหมดความสนใจ เขาจึงกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “นายของข้าคือนายของนิกายไร้ขอบเขต เขาเปิดประตูของเขาต้อนรับใครก็ตามที่ต้องการจะฝึกพลัง พวกเจ้าล้วนไร้พรสวรรค์ แต่นิกายไร้ขอบเขตกำลังตามหาสมาชิกเพิ่มเติม เกณฑ์ของพวกเราจึงต่ำทีเดียว เจ้าจะได้รับโอกาสมากกว่านี้หากเจ้าไปที่นั่นทันที หากเจ้าพลาดไปในตอนนี้ คงไม่ง่ายเลยที่จะเข้ามาสู่นิกายนี้ในภายภาคหน้า”

เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในยุคของผู้ลากมากดี ผู้คนส่วนมากจึงยังคงมองนิกายต่าง ๆ ว่าเป็นเพียงเพียงความยุ่งเหยิงวุ่นวายและไม่สมควรได้รับความสนใจใด ๆ

และเพราะกังเหยียนกำลังพยายามโน้มน้าวให้พวกเขาเข้าร่วมด้วยการบอกว่าเกณฑ์การคัดเลือกนั้นต่ำยิ่งนัก แนวโน้มที่พวกเขาจะมองว่ามันสูงส่งจึงเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น กระทั่งมีใครบางคนเชื่อว่ากังเหยียนและคนอื่น ๆ นั้นกำลังทำเรื่องไร้สาระ เพราะพวกเขาไม่มั่นใจในสถานการณ์ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาส่วนมากจะไม่ต้องการตอบรับข้อเสนอของกังเหยียน

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่คิดแตกต่างออกไป

อาจไม่ใช่ว่าพวกเขามีความคาดหวังสูงกับนิกายไร้ขอบเขต แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีตัวเลือกอื่น อย่างไรแล้วพวกเขาบางส่วนก็พร้อมที่จะลองเสี่ยงดูสักตั้ง แม้ว่าผลลัพธ์คือพวกเขาจะต้องสูญเสียชีวิต พวกเขาก็ไม่ต้องการปล่อยผ่านโอกาสในการเข้าร่วมการเดินทางนี้ด้วย

ผู้คนจำนวนหนึ่งประทับใจในคำพูดของกังเหยียนและจะเดินทางไปยังเขาหมื่นดาบในภายหลัง

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต

สถานการณ์การต่อสู้กลางเวหานั้นค่อย ๆ กระจ่างแจ้งมากขึ้นหลังจากชัยชนะของอวิ๋นเป้าและ 12 ข้ารับใช้ดาบ

การตายของเผ่าปักษาระดับ 7 ได้พังทลายจิตวิญญาณของนักล่าวายุลง

หงอูยากระพือปีกของเขาและปล่อยลมกรรโชกออกมาพัดพาจูอวิ๋นเยี่ยนกลับไปขณะที่เขาส่งเสียงดัง “ถอยทัพ !”

นักล่าวายุทุกคนต่างก็เริ่มถอยหนีไปพร้อม ๆ กัน

เผ่าปักษาที่กำลังจู่โจมส่วนมากหายลับไปภายในการกระพือเพียงไม่กี่ครั้ง พวกเขานั้นว่องไวกว่าเรือเหาะอย่างเห็นได้ชัด

นี่เป็นกลยุทธ์ทั่วไปของเผ่าปักษา มีเพียงไม่กี่เผ่าพันธุ์ที่สามารถแข่งขันกับพวกเขาในเรื่องของการสงครามแบบกองโจรได้ แต่ด้วยมาตรวัดเดียวกัน เผ่าปักษาก็ไม่ได้เก่งกาจในการต่อสู้โดยตรงเช่นกัน

ขณะที่พวกเขามองดูเผ่าปักษาถอยทัพ สมาชิกของเรือเหาะก็ระเบิดเสียงครื้นเครงแห่งชัยชนะออกมาดังลั่น

สำหรับนักรบเผ่ามนุษย์ระดับต่ำแล้ว นี่เป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างยากเย็น แต่สถานการณ์นี้นั้นแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัดสำหรับผู้ที่มีระดับสูงกว่า

อู่เยว่มี๋ก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าจุดประสงค์ของการโจมตีเหล่านี้คืออะไร ไม่เช่นนั้น มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะสามารถอธิบายรูปพรรณสัณฐานของเผ่าปักษาที่ปรากฏตัวขึ้นในภายหลัง และมันก็ชัดเจนว่าการตรวจจับนี้นั้นมีประสิทธิภาพทีเดียว ตระกูลจูได้ทำการเปิดเผยตัวตนของผู้เชี่ยวชาญที่แฝงตัวมาได้จำนวนไม่น้อย

มีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทั้งหมด 13 คน หนึ่งในนั้นเป็นผู้กล้าหาญอย่างน่าเหลือเชื่อและได้สังหารเผ่าปักษาระดับ 7 ไป ในขณะที่อีก 12 คนนั้นมีความสามัคคีกันเป็นอย่างมาก

แต่หากพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารตั้งมากมายเพียงนั้น ทำไมจึงไม่มีผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณเลยสักคน ?

เป็นเพราะเผ่าปักษารู้จักผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณส่วนมากในเผ่ามนุษย์ หากพวกเขาเกรงว่าผู้เชี่ยวชาญที่แอบแฝงอยู่จะถูกจับได้ ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารนั้นสามารถแฝงตัวได้ง่ายกว่ามาก อย่างน้อยที่สุด เผ่าปักษาก็ไม่เคยได้ยินถึงผู้เชี่ยวชาญคนใดใน 13 คนนั้นเลย อย่างไรแล้วเผ่าปักษาก็ไม่สามารถที่จะติดตามเผ่ามนุษย์ทั้งหมดได้ด้วยจำนวนของมนุษย์ที่มากมายมหาศาลเกินไป

อู่เยว่มี๋จึงคิดค้นข้ออ้างที่ไร้ที่ติขึ้นมาสำหรับตระกูลจู

นางสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าทำไมตระกูลจูจึงนำกองกำลังแอบแฝงเหล่านี้มาด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางพญา พวกเขามาเพียงเพื่อให้มีกำลังมากพอจะรองรับกับอุบัติเหตุใดก็ตามที่อาจเกิดขึ้นได้

เหล่านักล่าวายุจากไปแล้ว เช่นเดียวกันกับเรือเคลื่อนเมฆา

ไม่มีใครรู้ว่านักล่าวายุถูกยุยงให้โจมตีพวกเขาโดยใครบางคนหรือไม่ และไม่มีใครสนใจที่จะหาคำตอบ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาไปถึงจุดหมายได้ ภารกิจของพวกเขาก็จะเสร็จสิ้น และเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา

ในที่สุดเรือก็มาถึงยังเมืองล่องนภาหลังจาก 7 วันของการเดินทาง

เมื่อเมืองล่องนภาเข้ามาในสายตา มนุษย์ทั้งหมดก็ถูกโจมตีโดยคลื่นพลังที่น่าสะพรึ่งกลัว

เมืองนี้มีขนาดใหญ่ราวกับภูเขา ที่จริงแล้วกระทั่งภูเขาก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเมืองแห่งนี้ด้วยซ้ำไป เพราะเมืองนี้นั้นลอยอยู่บนฟ้า มันจึงสูงตระหง่านเสียยิ่งกว่าภูเขาส่วนมากไปโดยปริยาย

และมันไม่ได้เป็นเพียงแค่นั้น แต่มันยังมีระบบนิเวศด้วยตัวเองอีกด้วย มันมีทั้งป่าไม้ ยอดเขา ที่ราบ ทุ่งหญ้า และแม่น้ำตั้งอยู่ทั่วทั้งพื้นที่

เมืองนี้นั้นตั้งอยู่สูงในสวรรค์ชั้นที่ 9 ราวกับว่ามันตั้งอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล เพราะขนาดที่ยิ่งใหญ่ของมัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นถึงรูปร่างดั้งเดิมของมันได้อย่างชัดเจน ในด้านของความน่าตกตะลึงและน่าสะพรึงกลัวแล้ว เมืองล่องนภานั้นยังคงด้อยกว่าหอคอยแห่งความโกลาหล

แต่ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น และความกว้างใหญ่ไพศาลของเมืองเข้ามาในสายตา มันก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้กลับลงสู่พื้นดินเบื้องล่างในทันที

ขณะที่พวกเขากวาดสายตาไปยังพื้นที่ราบป่า ก็ได้เห็นเข้ากับใบไม้เขียวชอุ่ม และเผ่าปักษามากมายนับไม่ถ้วนที่โบยบินขึ้นและลงไปทั่วทั้งพื้นที่ ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาพลันพวยพุ่งไปจนถึงจุดสูงสุด

สถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นครอบครองบันทึกจำนวนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งเมืองล่องนภา

ตามที่กล่าวไว้ในบันทึกเหล่านั้น เมืองล่องนภานั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นนี้มาแต่แรกเริ่ม

แต่หลังจากที่เมืองล่องนภาได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงแล้ว เผ่าปักษามากมายก็ค้นพบหลังจากที่พวกเขาได้ตั้งถิ่นฐานยังท้องสมุทรต้นกำเนิดไร้ขอบเขตว่าความสามารถในการแบกรับน้ำหนักของเมืองล่องนภานั้นเพิ่มสูงขึ้นมากมาย

เนื่องจากไม่มีความหวังที่พวกเขาจะสามารถเคลื่อนย้ายเมืองล่องนภาได้ พวกเขาจึงเริ่มขยายดินแดนเมืองล่องนภาออกอย่างรวดเร็ว

นี่คือเหตุที่เมืองล่องนภาได้เปลี่ยนแปลงจากเมืองสันโดษขนาดใหญ่เป็นระบบนิเวศลอยฟ้าขนาดมหึมา

ตอนนี้มี 3 เมืองโดยรวมอยู่บนเกาะลอยฟ้านี้

เมืองล่องนภานั้นตั้งอยู่ที่ใจกลางสุดอย่างเห็นได้ชัด และรอบข้างของมันคือเมืองเพื่อนบ้านขนาดเล็ก 2 เมือง พวกมันเป็นเหมือนกับ 2 ปีกที่ขนาบข้างเมืองล่องนภา หรือปราการป้องกันสำหรับปกป้องเมืองหลัก แน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติในป้องกันที่แน่นหนาอย่างเหลือเชื่อของเมืองล่องนภาแล้ว การเพิ่มชั้นการป้องกันเข้าไปนั้นแทบไม่มีความหมาย ทั้งสองเมืองนั้นมีไว้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนเผ่าปักษาและเพื่อพัฒนาที่ดินเพิ่มขึ้นอีก

ในบางแง่มุม เผ่าปักษาได้สร้างอาณาเขตพึ่งพาตนเองสำหรับพวกตนไว้กลางฟากฟ้า แต่พวกเขาก็ยังมีความปรารถนาในพื้นดิน

เรือลำนั้นจอดลงใกล้กับบริเวณชานเมืองของเมืองล่องนภา

พวกเขาทำการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง

จากเมืองนภาลัยราบมาจนถึงที่นี่ กลุ่มผู้ค้าขายได้ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดอ่อนมาแล้วถึง 3 ครั้งและการตรวจสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกนับครั้งไม่ถ้วน พวกเขายังถูกตรวจสอบอย่างลับ ๆ ครั้งหนึ่งโดยเหล่านักล่าวายุอีกด้วย เห็นได้ชัดเลยว่านางพญานั้นสำคัญเพียงไรต่อเผ่าปักษา

มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่เผ่าปักษาจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ

คืนนั้น กลุ่มผู้ค้าขายมาถึงยังโรงแรมที่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในเมืองล่องนภา

“ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่ !” จูเซียนเหยาปล่อยลมหายใจยาวเหยียด

นางจ้องมองซูเฉินและถามขึ้น “นี่ ทุกอย่างเป็นไปได้ดีเลย เจ้าสามารถวางตัวตามสบายได้แล้วใช่ไหม ?”

“คงงั้นละ” ซูเฉินตอบกลับพร้อมพยักหน้า

แม้ว่าพวกเขาจะต้องพบกับอุปสรรคเล็กน้อยระหว่างทางมาที่นี่ ทว่าพวกเขาก็ประสบความสำเร็จทีเดียวหลังจากที่พิจารณาทุกสิ่งอย่างแล้ว

“แล้วเจ้ายังอยากจะ…” ซูเฉินเข้าใจในสิ่งที่จูเซียนเหยากำลังบอกใบ้อยู่แม้ว่านางจะไม่ได้ระบุมันชัดเจน นางกำลังถามเขาว่ายังต้องการที่จะอาศัยตัวตนของเผ่าปักษาอยู่หรือไม่ ?

ชุยอวี่คงเหินยังคงอยู่ เขาอยู่ท่ามกลางเหล่าทูต ในฐานะหนึ่งในนักโทษสงคราม เขาได้ถูกตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่า และเขายังไม่ได้ถูกปล่อยตัว สำหรับอวี้หมิวหลิงแล้ว เขาได้กระทำการน่าสรรเสริญไปและถูกดูแลเป็นอย่างดีโดยเผ่าปักษา แต่ด้วยเหตุผลเดียวกันนั้น เขาก็ยังไม่ถูกปล่อยเป็นอิสระเช่นกัน

ณ ตอนนี้นั้นเป็นช่วงที่อ่อนไหวทีเดียว จูเซียนเหยากำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางคาดหวังให้ซูเฉินหยุดทุกสิ่งอย่างที่นี่ ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำต่อไปคือซื้อสินค้าจำนวนหนึ่งและกลับไปยังอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย แล้วนางก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับซูเฉินได้นานเท่าที่นางจะพอใจ

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูเฉินกำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอน

เขาส่ายหัวและตอบกลับไป “ขอโทษด้วย มีหลายสิ่งอย่างที่เผ่าปักษาครอบครองและข้าต้องไล่ตามหาพวกมัน”

“พวกเรามีสิ่งใดที่ท่านต้องการไหม……”

“ข้าไม่ได้หมายถึงวัสดุอุปกรณ์” ซูเฉินแทรก “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้ขัดสนเงินตรา ข้ากำลังตามหาความรู้”

ความรู้ !

นี่คงจะเป็นสิ่งเดียวที่ซูเฉินไม่สามารถซื้อมาได้ด้วยเม็ดเงิน

และเผ่าปักษาผู้ฉลาดหลักแหลมก็ครอบครองความรู้มากมายมหาศาล ซูเฉินไม่ต้องการจะพลาดสิ่งนี้ไปไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

“งั้น… เจ้าก็ยังจะทำต่อไปสินะ” จูเซียนเหยากล่าวอย่างช่วยไม่ได้

ซูเฉินเผยยิ้มบาง “ไม่ต้องห่วง ข้าแค่อยากจะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ข้าสัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย นอกเสียจากว่าข้าจะจำเป็นจริง ๆ ข้าจะเป็นนักเรียนผู้เชื่อฟังในคราวนี้”