“แย่แล้ว!น่ากลัวอะไรถึงเพียงนี้ ข้าไม่เคยพบเจออะไรเช่นนี้มาก่อนเลย!”
  เหล่าชาวยุทธต่างพากันวิ่งวุ่นและดิ้นรนไม่ต่างจากฝูงปลาในอวนของชาวประมง ทุกคนต่างก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดผวา และพากันวิ่งหนีตายไปในป่าทางด้านทิศใต้ของหุบเขาแทน
  ชัวะ!ชัวะ!
  กระบี่กังฉีของหลิงหยุนยังคงพุ่งตามออกไปด้วยความเงียบแทงทะลุเข้าใส่แผ่นหลังบ้าง หลังศรีษะบ้าง หรือเหาะไปดักอยู่ด้านหน้าบ้าง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครสามารถเอาชีวิตรอดจากคมกระบี่ได้เลยแม้แต่คนเดียว บางคนวิ่งออกไปไกลถึงสามสิบเมตรจึงค่อยสิ้นใจตายก็มี
  ขั้นลิ่วเฉิงชี่นั้นจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะขยายกว้างออกไปไกลถึงหกกิโลเมตร และกระบี่กังฉีก็สามารถจู่โจมศัตรูได้ไกลถึงสามกิโลเมตร ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงสามารถจัดการกับศัตรูที่วิ่งหนีไปได้ไม่ต่างจากศัตรูที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า!
  ผู้ใดวิ่งหนีไปก่อนผู้นั้นย่อมตายก่อน!
  ทางด้านทิศเหนือของหุบเขาหลงเฟิงนั้นยอดฝีมือที่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ได้เพียงแค่ครึ่งระดับผู้หนึ่ง ได้ใช้วิชาตัวเบาขั้นสุดเพื่อหนีไปยังหน้าผาอย่างไม่คิดชีวิต เขาไม่สนใจเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดที่ดังอยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย และพยายามที่จะหนีเอาชีวิตรอดให้ได้!
  และนับว่าโชคดี..เพราะเสียงกรีดร้องโหยหวนเหล่านั้นค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงร้องเหล่านั้นอีกต่อไป และนั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเขาได้หนีพ้นรัศมีการจู่โจมของหลิงหยุนแล้ว
  หลังจากที่วิ่งไปยังเขาอีกลูกที่อยู่ใกล้ๆยอดฝีมือผู้นั้นก็ได้หยุดหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยหอบ แต่ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ แสงจนทร์ที่ส่องสว่างกลับดับพรึบลงทันที เขาได้แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความงุนงงสงสัย..
  “ห๊ะ”
  ยอดฝีมือผู้นั้นถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีดเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ต่างจากเทพแห่งซาตาน!
  เทพแห่งซาตานตนนี้มีร่างกายสีม่วงทองเป็นประกายแวววาวและสูงมากกว่าสามเมตร ด้านหลังมีปีกสีม่วงถึงสองคู่ และเมื่อสยายออกมานั้นก็มีความยาวถึงสิบสองเมตร ในมือถือหอกโลหิตสีแดงยาวกว่าสามเมตร ภายในหอกโลหิตนั้นมีร่างของมนุษย์เสียบอยู่มากมาย!
  “นี่..นี่มันตัวอะไร! อสูรกาย หรือปีศาจอันใดกันแน่?!”
  ยอดฝีมือผู้นั้นกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว..
  “ข้าคือปีศาจร้ายที่จะมาเอาชีวิตของเจ้ายังไงเล่า”
  เจสเตอร์แสยะยิ้มพร้อมกับยกหอกโลหิตขนาดใหญ่นั้นขึ้น และเพียงแค่พริบตาเดียว ภายในหอกสีแดงของมันก็มีร่างของมนุษย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน!
  ….
  ทางเข้าหุบเขาหลงเฟิง..
  โดยสัญชาติญาณของมนุษย์ทั่วไปนั้นหากเผชิญกับวิกฤติถึงชีวิตเมื่อใด สิ่งแรกที่มนุษย์จะทำคือการวิ่งหนีออกจากจุดนั้น นั่นเพราะมนุษย์มีสัญชาติญาณของการระวังภัยอยู่ในจิตใต้สำนึก ด้วยเหตุนี้เหล่าชาวยุทธมากมายจึงพากันวิ่งหนีออกจากหุบเขาหลงเฟิงเพื่อเอาตัวรอด!
  หยกจักรพรรดิขนาดใหญ่ที่กดทับลงบนผืนดินภายในหุบเขาหลงเฟิงนั้นได้คร่าชีวิตของเหล่าชาวยุทธผู้ผยองไปอย่างมากมายกว่าสามร้อยคน ส่วนอีกสามร้อยกว่าคนที่รอดมาได้ ก็พากันวิ่งหนีตายไปที่ทางเข้าหุบเขา
  แต่เพียงแค่พวกเขาหนีออกจากหุบเขาไปได้นั้นเอ็ดเวิร์ดก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าทางเข้าทันที ร่างสูงใหญ่สีม่วงทองนั้นถือหอกโลหิตด้ามยาวกว่าสามเมตรไว้ในมือ และกำลังยืนแลบลิ้นเลียริมฝีปากพร้อมกับจ้องมองเหล่าชาวยุทธที่หนีตายกันออกมาด้วยแววตาเย้ยหยัน
  “หมอกโลหิต!ธนูโลหิต! กรงโลหิต! เนตรปีศาจ!”
  เอ็ดเวิร์ดร่ายมนต์ซาตานเสกโลหิตให้กลายเป็นอาวุธชนิดต่างๆและทันใดนั้นหมอกโลหิตก็ปรากฏขึ้นครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณทางเข้า เหล่าชาวยุทธที่พากันหนีตายออกมาต่างก็ถูกพิษของโลหิตแวมไพร์ และพากันกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
  ฉึก!ฉึก!
  ธนูโลหิตจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของเหล่าชาวยุทธที่อยู่ท่ามกลางหมอกโลหิตและเพียงแค่พริบตาเดียวเกือบทั้งหมดก็สิ้นใจตายในทันที!
  มีเพียงบางคนที่มีพลังปราณแข็งแกร่งจึงสามารถฝ่าหมอกโลหิตนี้ไปได้ แต่ก็กลับถูกกรงโลหิตจับขังไว้ และไม่สามารถหนีไปไหนได้อีก
  ภายในเวลาเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทั่วทั้งหุบเขาหลงเฟิงก็มีร่างไร้วิญญาณนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมด
  แม้เอ็ดเวิร์ดจะสามารถสังหารยอดฝีมือไปได้มากมายแต่ก็มียอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติส่วนหนึ่งที่สามารถฝ่าด่านของเอ็ดเวิร์ดออกไปได้ แต่ถึงกระนั้นเอ็ดเวิร์ดก็ดูไม่เดือดร้อนหรือเร่งรีบที่จะตามไปไล่ล่านัก เพราะมันรู้ดีว่า ห่างจากด่านของมันไปอีกหนึ่งกิโลเมตรก็จะมีหวังชงเซียวรออยู่!
  ปัง!
  หวังชงเซียวซัดหมัดเข้าใส่ร่างของยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสามผู้หนึ่งแล้วใช้กระบี่ของตนเองไล่ฟาดฟันเอาชีวิตของยอดฝีมือคนอื่นๆโดยไม่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
  และเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวร่างไร้วิญญาณของยอดฝีมืออีกยี่สิบกว่าคนก็ร่วงลงพื้นแทบเท้าของเขา ส่วนใหญ่เป็นยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสามทั้งสิ้น ที่เหลือก็ต่ำกว่านั้นลงมา
  หวังชงเซียวและเอ็ดเวิร์ดได้รับคำสั่งจากหลิงหยุนว่าต้องไม่ให้เหล่ายอดฝีมือบนหุบเขาแห่งนี้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!
  และแน่นอนว่าทั้งคู่ย่อมต้องทำตามคำสั่งของหลิงหยุนอย่างเคร่งครัด!
  “มันซุ่มกำลังไว้ด้านนอกเต็มไปหมดพวกเรากลับไปในหุบเขาดีกว่า!”
  เวลานี้..หลายคนจึงเพิ่งเข้าใจว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะหลิงหยุนวางกำลังไว้หมดแล้ว และรู้ว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน เวลานี้ทางรอดของพวกเขามีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือกลับเข้าไปในหุบเขาและเอาชนะหลิงหยุนให้ได้!
  เหล่าชาวยุทธที่มีชีวิตรอดต่างพากันหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในหุบเขาหลงเฟิงอีกครั้งและด้านหลังก็มีแวมไพร์ทั้งสี่ตัวกำลังวิ่งไล่ล่า  ……
  “คนอย่างหลิงหยุน..พูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น!”
  ในเวลานั้นเองหลังจากลงมือสังหารเหล่ายอดฝีมือในหุบเขาหลงเฟิงที่ต้องการจะหลบหนีจำนวนมากแล้ว เขาก็ใช้มังกรคำรามประกาศก้องว่า
  “คืนนี้ข้า..หลิงหยุน มาเพื่อชำระแค้นเมื่อสิบแปดปีก่อนเท่านั้น ข้าไม่ต้องการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่เคยมีความแค้นต่อกัน แต่หากผู้ใดคิดจะหนีออกไปก่อนที่ข้าจะชำระแค้นเสร็จแล้วล่ะก็ มันผู้นั้นจะต้องตายเพียงสถานเดียวเท่านั้น!”
  สิ้นเสียงคำรามของหลิงหยุนภายในหุบเขาหลงเฟิงกลับยิ่งเงียบสงัด ไม่มีเสียงพูดดังขึ้นมาแม้แต่คำเดียว!
  เวลานี้เหล่าชาวยุทธได้ถูกสังหารตายไปหลายร้อยคนเวลานี้จึงเหลือผู้รอดชีวิตอยู่ไม่ถึงสามร้อยคนเท่านั้น!   สู้ก็ไม่ได้หนีก็ไม่ได้! เวลานี้ชาวยุทธหลายคนมีสภาพไม่ต่างจากลูกแกะที่ท้อแท้สิ้นหวัง และรอคอยเวลาที่จะขึ้นเขียงเท่านั้น!
  หลิงหยุนเก็บปีกหยิน–หยางแล้วหันไปพูดกับหลวงจีนจื้อเหนิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “หลวงจีนเฒ่า.. เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ เวลานี้มีผู้ใดบ้างที่ต้องการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า? มีผู้ใดบ้างที่ต้องการร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้า?”
  “เจ้าพูดสิ..เวลานี้ยังมีผู้ใดบ้างที่ต้องการถล่มตระกูลหลิงของข้า และมีผู้ใดบ้างที่ต้องการทำลายล้างพรรคมาร?”
  หลวงจีนจื้อเหนิงได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ..
  หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินเผชิญหน้ากับเหล่าชาวยุทธมากกว่าหกร้อยคนร่วมกันไม่มีท่าทีนึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย นี่ต่างหากที่เรียกว่าต่อสู้เคียงข้างกันอย่างแท้จริง!
  “เจ้ายังมีหน้าพูดอีกหรือไม่ว่าจะต่อสู้เพื่อผดุงความสงบสุขให้กับยุทธภพในเมื่อชีวิตของเจ้าเองยังไม่อาจรักษาไว้ได้..”
  หลิงหยุนจ้องหน้าหลวงจีนจื้อเหนิงพร้อมกับพูดต่อว่า“พวกเจ้าล้วนแล้วแต่อาศัยคนหมู่มากรังแกผู้อื่น ช่วยกันปลุกระดมให้เกิดการสังหารเข่นฆ่า โดยไม่คิดที่จะประเมินตัวเองด้วยซ้ำไป!”
  “หลวงจีนเฒ่า..เจ้าคิดว่าข้าหวาดกลัวพวกเจ้างั้นรึ ข้าจะบอกอะไรให้.. ไม่ว่าจะเป็นสำนักเขาหลงหู่ สำนักดาบสวรรค์ อารามจิ้งซิน หรือสำนักใดๆก็ตาม ข้าไม่เคยเห็นพวกมันอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย..”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้หน้ายอดฝีมือของสำนักต่างๆทีละคนแล้วจึงพูดต่อว่า “พวกเจ้ากล่าวหาผู้อื่นเป็นมาร แต่ตัวเองกลับข่มเหงรังแกผู้อื่นเพียงเพื่อต้องการโอ้อวดบารมีของสำนักตนเองทั้งสิน!”
  “เจ้าโอ้อวดตนเป็นฝ่ายธรรมะและอ้างว่าในยุทธภพจะต้องมีเฉพาะฝ่ายธรรมะเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วโลกจะต้องถึงคราวสูญสลาย ข้าจะบอกอะไรให้ ต่อให้โลกนี้มีเพียงพรรคมารไร้ซึ่งฝ่ายธรรมะแม้แต่ผู้เดียว โลกใบนี้ก็จะยังคงหมุนเวียนไปตามกฏแห่งธรรมชาติ เจ้าเชื่อหรือไม่”
  ระหว่างนั้น..หลิงหยุนก็หันไปมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดต่อว่า “พวกเจ้าล้วนตาต่ำทั้งสิ้น! พวกเจ้าไม่เห็นรึ.. ภรรยาของข้าเป็นเพียงสาวน้อยที่ทั้งงดงาม บริสุทธิ์ อ่อนหวาน ราวกับเทพธิดาที่มาจุติบนโลกใบนี้ก็ไม่ปาน!”
  คำพูดประโยคนี้ของหลิงหยุนทำให้เย่ซิงเฉินถึงกับเขินอายแต่นั่นยิ่งทำให้นางดูงดงามมากยิ่งขึ้น!
  “แต่ดวงตาต่ำช้าของพวกเจ้ากลับเห็นนางเป็นแม่มดบ้างเป็นนางมารบ้าง ทุกคนต่างก็ร้องตะโกนให้พากันเข่นฆ่านาง ข้าขอถาม.. นางไปสร้างความคับแค้นใดให้กับพวกเจ้างั้นรึ นางไปขุดทำลายหลุมฝังศพบรรพบุรุษของพวกเจ้าหรืออย่างไรกัน? พวกเจ้าต่างก็บ้ากันไปหมดแล้ว..”
  “ขยะอย่างพวกเจ้า..กล้าดีมาตัดสินพวกข้าได้อย่างไรกัน ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”   พูดจบ..หลิงหยุนก็บ้วนน้ำลายลงพื้นเป็นการแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามเหล่าชาวยุทธในที่นี้!
  จากนั้นหลิงหยุนก็ใช้สายตามีประกายสังหารกวาดไปโดยรอบพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านพ่อของข้า – หลิงเสี่ยว กับท่านแม่ของข้า – หยินชิงเฉวียน ทั้งสองรักใคร่กัน มันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้างั้นรึ เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องเข่นฆ่าพวกเขาทั้งคู่ อีกทั้งยังสังหารคนตระกูลหลิงที่บริสุทธิ์ตายไปมากมาย? ทำให้ข้าต้องพลัดพรากจากท่านพ่อและท่านแม่ไปนานถึงสิบแปดปี นี่น่ะหรือคือการผดุงความยุติธรรมของพวกเจ้า?”
  “พวกเขาทั้งสองรักกันมันเป็นบาปอย่างนั้นรึ”
  “หึ!ข้าจะบอกอะไรให้ สิ่งที่พวกเจ้าทำลงไปนั้นไม่ใช่เพราะต้องการผดุงความยุติธรรม หรือยุทธภพอะไรหรอก แต่ที่พวกเจ้าทำเช่นนั้นเพราะต้องการชื่อเสียงและผลประโยชน์ต่างหากเล่า หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงและผลประโยชน์ พวกเจ้าคงไม่แม้แต่จะใส่ใจด้วยซ้ำไป! หรือพวกเจ้าจะปฏิเสธ..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ได้หันไปทางนักพรตชงซวีแห่งบู๊ตึ๊ง..
  “ท่านนักพรตชงซวี..คืนนี้ข้า – หลิงหยุนขอให้ท่านนักพรตช่วยตอบข้าทีว่า คำกล่าวของข้าเมื่อครู่นั้นถูกต้องหรือไม่”
  “สวรรค์เมตตา!ประสกน้อยกล่าวได้ดีนัก!”
  นักพรตชงซวีไม่เพียงรีบตอบกลับหลิงหยุนอย่างไม่ลังเลแต่ยังปรบมือให้เขาด้วย
  นั่นเพราะคำกล่าวของหลิงหยุนเมื่อครู่นั้นก็คือเหตุผลที่สำนักบู๊ตึ๊งตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสิบแปดปีก่อน!
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยให้กับนักพรตชงซวี..
  ต่อหน้าเหล่าชาวยุทธหลายร้อยคนเวลานี้การที่นักพรตชงซวีจะเอ่ยอะไรเช่นนี้อออกมานั้น นับว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก..   จากนั้นหลิงหยุนจึงหันมองไปทางอารามจิ้งซินเขามองผ่านแม่ชีคนอื่นๆไป และจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลี่ซิ่วพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “น้องหลี่ซิ่ว..เจ้าคิดว่าข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”
  “เอ่อ..ข้า..”
  หลี่ซิ่วคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มความจำเสื่อมที่นางพบเจอเมื่อวานนี้จะเป็นคนเดียวกับที่เหล่าชาวยุทธในงานชุมนุมคืนนี้ต้องการที่จะสังหาร! และยิ่งไปกว่านั้นนางคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะเก่งกาจและแข็งแกร่งมากมายถึงเพียงนี้!
  หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนหลี่ซิ่วรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่มีเหตุมีผลยิ่งนัก แต่เวลานี้บรรดาศิษย์พี่และอาจารย์ของนางต่างก็พากันจ้องมองนางเป็นตาเดียว นางจึงได้แต่หวาดกลัวและไม่กล้าตอบหลิงหยุน..
  หลิงหยุนทำเสียงไม่พอใจอยู่ในลำคอก่อนจะพูดกับหลี่ซิ่วอีกครั้งว่า“น้องหลี่ซิ่ว.. เจ้าอย่าได้กังวลหรือหวาดกลัวพวกนางไปเพราะหลังจากคืนนี้จะไม่มีชื่ออารามจิ้งซินอีกแล้ว!”
  หลิงหยุนเกลียดอารามจิ้งซินเข้ากระดูกดำและไม่คิดจะหยุดเพียงแค่ได้ตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับมา และสังหารแม่ชีมี่ยู่ไปแล้วเท่านั้น!
  “ห๊ะ!”
  ทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงหยุนหลี่ซิ่วถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ!