ไม่จำเป็นต้องออกไปตามข้างนอก คุณชายฉู่ก็พาฮูหยินท่านหนึ่งและเด็กน้อยผู้หนึ่งมายังเบื้องหน้าของตงหลิงหวง ซึ่งเด็กน้อยผู้นั้นคือคนที่ตงหลิงหวงนำมาเป็นตัวอย่างอธิบายให้เขาฟัง
“ป้าหลัวและบุตรชายคนโตของนางชื่อต้าเป่า เป็นคนกลุ่มแรกในหุบเขาที่ติดเชื้อนี้”
ตอนนั้นเองที่ตงหลิงหวงสังเกตสตรีนางหนึ่งและบุตรชายตัวเล็กของนางอย่างละเอียด
ตงหลิงหวงรู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้ดูคุ้นหน้าอย่างมาก
“ฮูหยินท่านนี้ สามีของเจ้าเสียชีวิตแล้ว คนในครอบครัวยังมีคนชราและลูกชายคนเล็กอีกคน ใช่หรือไม่? ”
สตรีนางนั้นตื่นตระหนกเล็กน้อย “ฮูหยิน ท่านเรียกข้าน้อยว่าฮูหยิน ข้าน้อยรับไม่ไหวจริงๆ ข้าน้อยแซ่หลัว ฮูหยินเรียกเหมือนคุณชายฉู่ก็ได้ เรียกข้าน้อยว่าป้าหลัวดีกว่า
ครอบครัวของข้าน้อยมีคนชราหนึ่งคน เป็นหญิงชราอายุราว 80 ปี และยังมีลูกชายคนเล็กอายุ 5 ขวบ ฮูหยินทราบได้อย่างไร หรือว่าฮูหยินเคยพบพวกเขา”
ตงหลิงหวงพยักหน้า “ตอนที่เดินทางมาถึง ข้าพบกับพวกเขาที่ทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาตั้งตารอให้แม่ของเขากลับไป! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของตงหลิงหวง สตรีนางนั้นก็ร้องไห้ออกมา
“ข้าน้อยชีวิตต่ำต้อย ทำงานหนักตั้งแต่ยังเล็ก ตายไปก็ไม่เป็นอันใด แต่ที่น่าสงสารก็คือบุตรชายสองคนและแม่สามีของข้า หากข้าไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะอยู่อย่างไร? ”
เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของสี่คนนี้ไม่มีบุรุษ ทุกคนต่างพึ่งพาสตรีนางนี้เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าเพียงคำพูดประโยคเดียวจะทำให้อีกฝ่ายร้องห่มร้องไห้ใหญ่โต ตงหลิงหวงรู้สึกผิดและทำอันใดไม่ถูก
“เจ้าวางใจได้! ในโลกนี้ ความชั่วไม่ครอบงำความถูกต้อง หากมีเหตุย่อมมีผล และหากมีผลก็ย่อมมีวิถีของมัน ไม่มีโรคใดที่รักษาไม่หาย พวกเจ้าจะดีขึ้นแน่นอน”
“จริงหรือ? ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ สตรีนางนั้นจึงหยุดร้องไห้ พลางปาดน้ำตาพูดว่า “ฮูหยิน ท่านมีวิธีรักษาพวกเราจริงหรือ? ”
เด็กสามารถเกลี้ยกล่อมได้เป็นครั้งคราว ทว่ากับผู้ใหญ่ไม่อาจทำได้ ตงหลิงหวงจึงเลือกที่จะบอกความจริง
“ข้ายังไม่มีเบาะแส แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
“ข้าน้อยเชื่อในตัวท่าน ฮูหยิน ข้าเชื่อในตัวท่าน! ” ป้าหลัวคุกเข่าต่อหน้าตงหลิงหวง “ท่านเป็นหมอที่คุณชายฉู่เชิญมา เป็นคนที่คุณชายฉู่ไว้วางใจ ข้าน้อยเชื่อมั่นในตัวฮูหยิน ท่านต้องทำได้
ฮูหยิน ท่านต้องช่วยข้าน้อยและลูกชาย ต้องช่วยพวกเราให้ได้! ”
ตงหลิงหวงเป็นคนที่ผู้คนคอยคุกเข่าให้ตั้งแต่เล็ก นางจึงไม่ตกประหม่าและแสดงท่าทางเรียบเฉย
“เจ้าวางใจได้ หากมีทางช่วยแม้เพียงนิด ข้าจะช่วยพวกเจ้าอย่างไม่ยอมแพ้ เจ้าลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
ป้าหลัวรู้ว่าโรคในร่างกายของนางสามารถติดต่อได้ หากนางเข้าใกล้ ตงหลิงหวงอาจติดเชื้อได้ นางจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
คุณชายฉู่เห็นการแสดงออกที่สงบนิ่งของตงหลิงหวง ดวงตาของเขาพลันทอประกายแปลกประหลาด
หากเป็นสตรีธรรมดา นางคงไม่อาจแสดงท่าทางได้สงบนิ่งถึงเพียงนี้
ท่าทางสงบนิ่งเช่นนี้ เห็นได้เฉพาะผู้ที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงส่งมาเป็นเวลานานเท่านั้น นอกจากนั้น ทั่วทั้งร่างของนางยังปรากฏรัศมีความสูงศักดิ์ออกมาอีกด้วย
นางแซ่หลิงแน่หรือ?
มีคนแซ่หลิงมากมายในอาณาจักรเทียนเหอ แต่มีคนจำนวนน้อยที่มีสถานะสูงส่ง
สถานะของนางเป็นอย่างที่นางพูด เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นหรือ?
ตงหลิงหวงไม่รู้ว่าคุณชายฉู่กำลังครุ่นคิดอันใด
นางตรวจอาการของป้าหลัวและเด็กน้อยอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าไม่มีอันใดผิดปกติ
“พวกเจ้ารู้ว่าร่างกายของตนผิดปกติเมื่อใด? ”
ป้าหลัวตอบว่า “คราแรกเป็นบุตรชายของข้าที่มีร่างกายผิดปกติ ครึ่งเดือนก่อน เขามีไข้ตลอดสามวัน ไม่ลดลงแม้แต่น้อย ต่อมาเริ่มเป็นแผลพุพอง วันที่สี่ ข้าน้อยจึงป่วยด้วยโรคเดียวกัน”
“ตอนนั้น หญิงชราและบุตรชายคนเล็กในครอบครัวของเจ้าไม่มีอาการเหมือนกันหรือ? ”
“บังเอิญพวกเขาไม่อยู่ที่บ้าน บุตรชายคนสุดท้องและหญิงชราไปบ้านลุงรองที่อยู่ไกลออกไป พวกเขาจึงไม่มีอาการใดๆ ”
เช่นนั้น ปัญหาต้องเกิดจากบุตรชายคนโตของป้าหลัว
ตงหลิงหวงพยายามมองเด็กน้อยด้วยท่าทางเป็นมิตร
“บอกพี่สาวได้หรือไม่ เจ้าพบใครก่อนที่เจ้าจะป่วย หรือสัมผัสอันใด หรือพบเห็นสิ่งใดแปลกๆ ”
เด็กคนนี้คือต้าเป่าของป้าหลัว เขาอายุมากกว่าเสี่ยวเปาที่นางพบตรงปากทางเข้าหมู่บ้านก่อนหน้านี้มาก ดังนั้นเขาจึงมีความเป็นผู้ใหญ่ และจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเสี่ยวเปา
เขาไม่ได้ตอบคำถามของตงหลิงหวงทันที ทว่าเงยหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง
ทุกคนมองดูท่าทางของเขา คิดว่าเขากำลังนึกถึงอันใดบางอย่าง จึงตั้งตารอคำตอบ
อย่างไรก็ตาม นึกไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขากลับส่ายศีรษะ
ท่าทางที่เฝ้ารอคำตอบอย่างมีความหวังพลันมลายหายสิ้น
ทว่าเพียงเท่านี้ไม่ทำให้ตงหลิงหวงสิ้นหวัง นางพูดกับป้าหลัวว่า “เช่นนั้นพาข้าไปตรวจดูที่บ้านของเจ้าได้หรือไม่? ”
ในเมื่อถามแล้วไม่ได้คำตอบ คงต้องไปตรวจสอบด้วยตนเอง ไม่แน่ว่าอาจพบเบาะแสอย่างอื่น
จากนั้น ตงหลิงหวง มู่หรงฉี และคุณชายฉู่ก็เดินทางมาที่บ้านป้าหลัว พร้อมกับป้าหลัวและบุตรชายคนโตของนาง
นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด ท่านย่าและบุตรชายคนเล็กของป้าหลัวก็อาศัยอยู่ในบ้านอารองของพวกเขาซึ่งอยู่ไกลออกไป เมื่อคนมาถึง บ้านก็เต็มไปด้วยฝุ่น เพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน
ตงหลิงหวงตรวจสอบบ้านของป้าหลัวอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะอาหารของพวกเขา นางใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม
ทว่าไม่พบเบาะแสอันใดแม้แต่น้อย
คุณชายฉู่พูดว่า “ฮูหยินหลิง ท่านต้องการความช่วยเหลืออันใดหรือไม่? ”
ตงหลิงหวงส่ายศีรษะ “ยังก่อน”
คุณชายฉู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “พวกเราอาจมาผิดทาง พิษของต้าเป่าอาจติดจากที่อื่น”
การแสดงออกของตงหลิงหวงสงบนิ่ง แววตาของนางจริงจังอย่างมาก
“ยังไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ พวกเราดูที่นี่ก่อนเถิด”
นางพูดพลางเดินออกไปด้านนอก
ครอบครัวของป้าหลัวไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตที่เจริญในหุบเขา แต่อยู่ในจุดที่ห่างไกลจากเขตที่ผู้คนพลุกพล่าน บริเวณโดยรอบมีผู้คนไม่มากนัก ทั้งยังมีทุ่งนาและป่าไม้
ตงหลิงหวงเดินออกจากบ้านและมองไปรอบๆ อย่างละเอียด ก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังบ้าน
มีลำธารเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ตงหลิงหวงเดินไปที่ลำธาร พลางตรวจสอบไปตลอดเส้นทาง
เมื่อเห็นลำธาร จู่ๆ ท่าทางของนางก็ปรากฏความเคร่งขรึมราวกับพบอันใดบางอย่าง
มู่หรงฉี คุณชายฉู่ ป้าหลัว และคนอื่นๆ เดินตามมาด้านหลังตงหลิงหวง เมื่อเห็นท่าทางแปลกประหลาดของนาง คุณชายฉู่ก็อดถามไม่ได้ “ท่านพบเบาะแสหรือไม่? ”
ตงหลิงหวงไม่ได้ตอบคุณชายฉู่ในทันที ทว่านางถามป้าหลัวว่า “ลำธารสายนี้กว้างเช่นนี้เสมอหรือ? ”
เนื่องจากนางพบว่ามีหญ้าอยู่ในลำธาร แต่ไม่ใช่จอกแหนริมน้ำ เห็นได้ชัดว่ามันเติบโตที่ริมลำธารและจมอยู่ใต้น้ำในเวลาต่อมา
“ในอดีตไม่ได้กว้างถึงเพียงนี้ ทว่าจู่ๆ เมื่อครึ่งเดือนก่อนก็กว้างขึ้น”
หลังจากนั้น ตงหลิงหวงก็สังเกตลำธารต่อโดยไม่ได้ถามอันใดอีก
คุณชายฉู่และมู่หรงฉีไม่รู้ว่าตงหลิงหวงกำลังทำอันใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ารบกวน
ทว่าลำธารสายนี้เกี่ยวอันใดกับโรคระบาด?
มันเป็นเพียงลำธารธรรมดาบนเนินเขามิใช่หรือ?