ตอนที่ 896 หอห้าวชือ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 896 หอห้าวชือ

บนชั้นสองของห้องรับรองพิเศษ ณ หอห้าวชือที่ตั้งอยู่บนถนนสายเหนือของเขตซื่อหยาง

เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนให้กงซุนเซ่อนั่งอยู่ข้างกายตน

“เจ้าเอ่ยว่าหนิงหยู่ชุนถูกหยูเวิ่นเต้าโยกย้ายไปจากว่อเฟิงเต้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เรื่องนี้เกิดขึ้นจากแม่น้ำขนส่งสายนั้น หนิงหยู่ชุนบอกว่าต่อให้ลำบากเพียงใดก็ต้องขุดแม่น้ำให้เชื่อมโยงกันจนสำเร็จ เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถบรรลุผลตามแผนการที่ท่านเคยวางเอาไว้ได้ ซึ่งก็คือการขนส่งสินค้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ จะต้องใช้เวลาน้อยที่สุด”

“ทว่าเมื่อปีกลาย เกลือขาว… เกลือขาวที่นำเข้าราชวงศ์หยูจากเมืองการค้าซินโจวและเมืองการค้าหลานฉีได้ครอบครองตลาดไปกว่าสามส่วน ส่งผลให้ปีนั้นราชวงศ์หยูขาดแคลนภาษีไปหลายล้านตำลึง กอปรกับตลาดหุ้นในเมืองว่อเฟิงมิได้ครึกครื้นเฉกเช่นในอดีต เมื่อมีเงินมิเพียงพอ การขยายแม่น้ำจึงต้องหยุดชะงักลง”

“มีเสียงคัดค้านจากขุนนางในราชสำนักเกินกว่าครึ่งโดยเฉพาะฉางฮวนผู้ที่เป็นชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลัง เขายืนกรานคัดค้านการจัดสรรงบประมาณขุดขยายแม่น้ำ เต้าถายหนิงจึงเขียนหนังสือไปอธิบายอยู่หลายต่อหลายฉบับทว่าก็ไร้ผล จากนั้นในเดือนสามที่ผ่านมา ฝ่าบาททรงโยกย้ายหนิงหยู่ชุนกลับไปที่เมืองจินหลิงและได้มอบตำแหน่งจานซื่อ1 ให้แก่เขา…”

“เรื่องนี้ช่างน่าขันนัก เนื่องจากฮองเฮาทรงตั้งพระครรภ์ ทว่าบัดนี้ยังมิได้ให้กำเนิดเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจะเป็นหญิงหรือชายก็มิอาจทราบได้”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ หนิงหยู่ชุนกำลังถูกกักบริเวณอยู่นั่นเอง เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะแม่น้ำสายนั้นเดิมทีก็เป็นเรื่องลำบากอยู่แล้ว หากตนยังอยู่ในว่อเฟิงเต้าต่อไปก็คงมีหนทางจัดการปัญหาอยู่บ้าง

แต่ข้ามิได้อยู่ที่ว่อเฟิงเต้าแล้ว เรื่องนี้ข้าจะยื่นมือเข้าไปสอดได้เยี่ยงไร

“บัดนี้เต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าคือผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฉางหย่งเล่อ ขุนนางระดับสูงจือโจวแห่งหางโจวบนเจียงหนานตงเต้า เขาถูกย้ายไปเป็นเต้าถายที่ว่อเฟิงเต้า เขา…เขายืนกรานปฏิเสธแผนการทั้งหมดก่อนหน้านี้ที่ท่านวางเอาไว้ เขาลงมือจัดการกับผู้ค้าขายเหล่านั้นโดยยกเลิกนโยบายละเว้นภาษี โรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อตั้งในว่อเฟิงเต้าจะต้องจ่ายภาษีสามส่วน”

ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตาลง พร้อมกับเหยียดยิ้มเย้ยหยันออกมา “น่าเสียดายมากยิ่งนักที่ในตอนนั้นข้าไปแย่งว่อเฟิงเต้ามา เอาเถิด… ช่างมัน มา ๆ ๆ ดื่มกันดีกว่า”

สุรานี้มิใช่สุราซีซานเทียนฉุน ดังนั้นรสชาติจึงมิค่อยถูกปากสักเท่าใดนัก

กอปรกับอารมณ์ของฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เบิกบานเท่าที่ควร

ว่อเฟิงเต้าแห่งนั้น มิว่าเยี่ยงไรเขาก็เป็นคนชิงมันมาเองกับมือ แน่นอนว่าเรื่องกฎหมายพื้นฐานของที่นั่น เขาก็เป็นคนร่างมันขึ้นมา

หากหนิงหยู่ชุนยังเป็นเต้าถายอยู่ที่นั่นและดำเนินตามนโยบายที่ตนวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ ต่อให้ว่อเฟิงเต้าจะย่ำแย่เพียงใด แต่มันย่อมดีกว่าอีกสิบสามมณฑลที่เหลือของราชวงศ์หยู

เนื่องจากมีบริษัทมากมายก่อตั้งขึ้นในว่อเฟิงเต้า ด้านอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานก็มีอยู่แล้ว เพียงต้องพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพเท่านั้น

บัดนี้เป็นเยี่ยงไร เต้าถายคนใหม่ได้ทำลายล้างการพัฒนาเหล่านั้นโดยการเก็บภาษีสามในสิบส่วน ค่าขนส่งจากว่อเฟิงเต้าไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในราชวงศ์หยูก็แพงเต็มกลืนแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ พวกเขาจะเอากำไรมาจากที่ใด ?

เมื่อธุรกิจไร้ผลกำไร นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตยิ่ง พวกเขาจะสูญสิ้นเงินทุน เพราะเพิ่งลงทุนในว่อเฟิงเต้าได้มินานจึงยังมิมีทางได้เงินทุนคืนมาอย่างแน่นอน

หรือบางทีอาจจะเป็นเรื่องดีก็ว่าได้ เนื่องจากสถานการณ์ด้านการค้าของราชวงศ์อู๋ค่อนข้างมั่นคง ดังนั้นจะต้องมีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาลงทุนเป็นแน่

เมื่อสุราไหลลงกระเพาะ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยต่อว่า “เดิมทีหนิงหยู่ชุนยังคงเป็นเต้าถายอยู่ ข้าจึงมิกล้าแย่งคนเหล่านั้นมาจากเขา ทว่าบัดนี้มิจำเป็นต้องเกรงใจแล้ว เจ้าจงเขียนจดหมายไปหาพวกเขาสัก 1 ฉบับโดยกล่าวว่าหากผู้ใดยินดีมายังราชวงศ์อู๋ ข้าก็ยินดีต้อนรับ ก่อนหน้าพวกเขามีตำแหน่งขุนนางใดจะยังคงเป็นตำแหน่งนั้น ส่วนเรื่องการเลื่อนตำแหน่ง ทุกคนย่อมเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องของผลงานและกฎระเบียบ”

กงซุนเซ่อหัวเราะร่า “ข้าคาดว่าจะมีคนเดินทางมากว่าครึ่ง ! ”

“เยี่ยงนั้นก็ดี ข้าต้องการผู้มีความสามารถมากมายจริง ๆ ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าอย่าลืมบอกพวกเขาว่า เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว จำต้องลงหลักปักฐานซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนของราชวงศ์อู๋ ข้ามิบังคับผู้ใด ดังนั้นโปรดมาตามความสมัครใจ”

“อีกประการหนึ่ง ข้ายังต้องเดินทางสำรวจต่ออีกสักพัก หากเจ้ายินยอมก็สามารถติดตามข้าไปดูรอบ ๆ ด้วยกันได้”

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง กงซุนเซ่อจึงรีบตอบรับทันที เพราะการได้ติดตามฝ่าบาทและได้เรียนรู้ไปพร้อมกับพระองค์เป็นเรื่องที่น่ายินดีเพียงใด ทุกคนย่อมทราบกันดี อีกอย่างตัวเขาก็ตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ในราชวงศ์อู๋แล้ว แน่นอนว่าต้องอยากทำความรู้จักราชวงศ์อู๋ให้มากขึ้นเป็นธรรมดา

จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่หันมาสบตากัน ใบหน้าของทั้งสองปรากฏรอยยิ้มออกมาเพราะเดิมทีก็ตั้งใจจะจัดหาขุนนางหนุ่มผู้มากความสามารถมาสักหน่อย มองดูแล้วบัดนี้คงมิจำเป็นต้องลงแรงควานหาแล้ว

ในตอนที่ฝ่าบาทอยู่ในราชวงศ์หยู พระองค์ได้ปลูกฝังเยาวชนที่มีความสามารถไว้มากมาย

อาทิเช่น กงซุนเซ่อผู้นี้มีการแสดงออกต่อพระพักตร์อย่างมั่นใจ ทั้งยังมีหลักการในยามสนทนา หาได้มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด

เมื่อมองกงซุนเซ่อก็พลันนึกถึงหยุนซีเหยียนและจงสือจี้ขึ้นมา พวกเขาเหล่านี้มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันคือมีความกล้าหาญและมิเกรงกลัวต่อสิ่งใด

พวกเขามิเหมือนขุนนางคนอื่น ๆ ในราชวงศ์อู๋ ที่มักจะกลัวว่าตนเองจะทำให้ฝ่าบาทมิพอพระทัยจึงทำตัวนอบน้อมเป็นพิเศษ ไร้ความกล้าหาญในการนำเสนอความคิดเห็น แต่สิ่งเหล่านี้มิได้ตรงตามที่ฝ่าบาทปรารถนาเอาเสียเลย

หากขุนนางในว่อเฟิงเต้าเดินทางมายังราชวงศ์อู๋ก็คงดี แต่เกรงว่าต้องจัดการถอดถอนขุนนางเดิมจำนวนมิน้อยเลยทีเดียว

เยี่ยงไรก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะพวกตนก็อายุมากแล้ว จึงหวังว่าขุนนางรุ่นใหม่เหล่านี้จะเติบโตไปพร้อมกับฝ่าบาท

“ในวันรุ่งขึ้นพวกท่านจงเดินทางกลับไปเสียเถิด ส่วนเรื่องการสร้างสำนักศึกษาต่าง ๆ อย่างช้าสุดในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าต้องก่อตั้งจนแล้วเสร็จ จากนั้นก็ให้รับสมัครนักเรียน ด้านสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชราในปลายปีนี้ต้องจัดการให้แล้วเสร็จเช่นกัน กรมคลังต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ อีกทั้งต้องคอยจับตามองว่าเงินเหล่านี้ถูกนำไปใช้ที่อื่นหรือไม่”

“เรื่องปัญหาของราษฎรโดยมากเป็นปัญหาเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัย จงเอาฝ้ายที่นำเข้ามาจากแคว้นอี๋ไปแจกจ่ายให้กับราษฎร เจ้าสิ่งนี้สามารถให้ความอบอุ่นได้ ส่วนเรื่องอาหารคงมิเป็นปัญหามากนัก แต่ก็ยังต้องจับตามองเขตสลัมยากไร้เอาไว้และหากมีความจำเป็นก็สามารถนำเสบียงในคลังหลวงไปแจกจ่ายได้ ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยควรจับตามองเขตสลัมเอาไว้ให้ดี เพราะอย่างน้อยต้องมั่นใจว่าชาวบ้านเหล่านั้นจะมิโดนหิมะถล่มทับ”

“ข้าเอ่ยเข้าเรื่องงานอีกแล้ว ข้าเป็นอันใดไปกัน ? เอาล่ะ เอาล่ะ มาดื่มกันเถิด ! ”

“ข้าจะดื่มให้แก่พวกท่านทุกคน เชิญ… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถึงเรื่องงานอีก เขาดื่มสุราและสนทนาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตแสนสุขที่ภูเขาซีซาน ไร้ซึ่งความแตกต่างระหว่างจักรพรรดิกับขุนนางโดยสิ้นเชิง

หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์สุรา ฟู่เสี่ยวกวนจึงเลิกแขนเสื้อขึ้น ทำให้เขามิมีท่าทีของจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย

“ข้ารู้ว่าต่อให้เล่าไปพวกท่านก็มิเชื่อว่าข้าต้องการเป็นเพียงนายน้อยเศรษฐีที่ดินธรรมดาเท่านั้น… ดูสิ ! พวกท่านจ้องหน้าแบบนี้อีกแล้ว เป็นพ่อค้าที่ดินมิดีตรงที่ใดกัน ? หากเป็นพ่อค้าที่ดิน ข้าจะต้องลำบากเดินทางมายังพื้นที่เหล่านี้อยู่อีกหรือ ? ”

“นอนอยู่ที่เรือนซีซาน วันทั้งวันผ่านพ้นไปโดยการกิน นอน ดื่มสุราและประพันธ์กวี… จริงสิ ! ข้ามิได้ประพันธ์กวีมานานมากแล้ว วันนี้ข้าขอประพันธ์ให้พวกท่านสักหน่อยเถิด ! ”

อืม…จักรพรรดิพระองค์นี้มีความสามารถด้านวรรณกรรมซึ่งโด่งดังไปทั่วหล้า !

“เช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงประพันธ์เกี่ยวกับเรื่องใดกันพ่ะย่ะค่ะ ? ” จัวอี้สิงทูลถาม

“ข้าเคยเอ่ยว่า… มิว่าจะเป็นหัวข้อใดในใต้หล้าก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับข้ามิใช่หรือ เชิญท่านราชเลขาจัวบอกหัวข้อมาเถิด ! ”

โหยวเซียนจือเสนาบดีกรมคลังเห็นเยี่ยงนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ฝ่าบาททรงเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

พระองค์มีพระชันษาเท่าใดกันเชียว ?

ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ปรากฏให้เห็นแล้วว่าฝ่าบาททรงหนักแน่นเข้มแข็งดุจขุนเขา !

จัวอี้สิงยกมือขึ้นลูบเครายาวพลางครุ่นคิด “ในเมื่อฝ่าบาททรงเป็นห่วงเป็นใยราษฎรเยี่ยงนี้ กระหม่อมเห็นว่าทรงประพันธ์กวีสักบทให้แก่พวกเขาเหล่านั้นดีหรือไม่ ? ”

“หัวข้อนี้ง่ายดายนัก พวกท่านจงฟังให้ดี ! ”

1จานซื่อ คือ ขุนนางทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่องการรับใช้ฮองเฮากับองค์รัชทายาท