ตอนที่ 895 ยินดีที่ได้พบ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 895 ยินดีที่ได้พบ

ตามกฎหมายของการจำหน่ายตั๋วเงิน จำนวนทองคำที่อยู่ในท้องพระคลังจะเป็นตัวชี้วัดและผูกขาดการพิมพ์ตั๋วเงินออกจำหน่ายในอัตราส่วนตั๋วเงิน 10 ตำลึงเท่ากับทองคำ 1 ตำลึง

จำนวนทองคำในท้องพระคลังราชวงศ์อู๋ บัดนี้มีอยู่ 17,200,000 ตำลึง โดยตั๋วเงินของราชวงศ์อู๋ที่จำหน่ายออกไปเท่ากับ 172 ล้านตำลึง ซึ่งจำนวนครึ่งหนึ่งได้มาจากการบริหารงานในช่วงหนึ่งปีแรกที่จักรพรรดิเต๋อจงขึ้นครองบัลลังก์ !

เมื่อใดที่เงินตราในตลาดถูกจำหน่ายเพิ่มเป็นเท่าตัว ราคาของสินค้าก็จะสูงขึ้นอย่างน้อยสามในสิบส่วน

ทว่าราคาสินค้าของราชวงศ์อู๋เมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนปีนี้กลับลดลงไปอีกแล้ว คาดมิถึงว่ามันยังทรงตัวอยู่ได้

“ผลิตภัณฑ์ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นทบทวี รายได้ของผู้คนก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน อุปทานของเงินตราจะทำหน้าที่เป็นตัวรักษาสมดุล หากการไหลเวียนของเงินในตลาดมิเปลี่ยนแต่สินค้าเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ราคาสินค้าลดลงเพราะเงินในมือของผู้คนมีเท่าเดิม กำลังซื้อจึงมิได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ด้านสินค้าส่วนเกินเหล่านั้นย่อมขายมิออกจนกลายเป็นสินค้าคงคลัง สุดท้ายเหล่าพ่อค้าก็ไร้หนทางนำเงินทุนคืนมา เมื่อทำเงินมิได้ก็ต้องปิดโรงงาน”

“ดังนั้น พวกท่านอย่าได้กลัวการจำหน่ายตั๋วเงินไปเลย เพราะในใจของข้ามีแผนการอยู่แล้ว ครึ่งหนึ่งของตั๋วเงิน 100 ล้านที่ให้ธนาคารซื่อทงพิมพ์ ข้าจะใช้จัดซื้อสินค้าจำนวนมากจากแคว้นฝานและแคว้นหยู ส่วนอีกครึ่งที่เหลือโดยมากจะนำไปใช้ด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์ รวมถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ”

“…”

ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเงินตราและเศรษฐกิจให้โหยวเซียนจือฟังอยู่เนิ่นนาน เสนาบดีอาวุโสทั้งสามนั่งฟังด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่งและเพิ่งเข้าใจว่าการจำหน่ายตั๋วเงินยังมีความซับซ้อนอยู่อีกมาก

สุริยาใกล้ลาลับขอบนภาเต็มที ทว่ายังไร้สายลมเย็นพัดพา

“ขันทีเจี่ย…”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“พวกเรามาถึงเขตซื่อหยางนานแล้ว ทว่ายังมิได้ไปลิ้มรสอาหารที่หอห้าวชือเลยนี่ จงไปจองไว้หนึ่งโต๊ะสำหรับมื้อเย็นวันนี้”

“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ข้าจะเป็นเจ้ามือเอง แน่นอนว่าข้าเองก็มิทราบว่าที่นี่มีอาหารใดอร่อยบ้าง มันย่อมมิสามารถเทียบเคียงกับอาหารของเมืองกวนหยุนได้ แต่ก็ช่างเถิด…”

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทันได้เอ่ยจนจบ ขันทีเจี่ยก็เดินกลับเข้ามาอีกครา จากนั้นก็รายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ด้านนอกมีชายหนุ่มนามกงซุนเซ่อมาขอเข้าเฝ้า เขาเอ่ยว่าเคยเป็นลูกน้องของฝ่าบาทยามที่อยู่ว่อเฟิงเต้าพ่ะย่ะค่ะ”

ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเป็นประกายขึ้นมาทันใด “ให้เขาเข้ามา ! ”

“พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“คนผู้นี้ ประเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก เขาเป็นคนจากราชวงศ์หยูและมีความสามารถมากยิ่งนัก”

กงซุนเซ่อที่ยืนอยู่ด้านนอกสำนักงานเขตรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

เป็นความรู้สึกอึดอัดที่มิเคยมีมาก่อนในอดีต

เขาคืออดีตจอหงวนในรัชสมัยเซวียนลี่ที่สิบ เป็นขุนนางชุดแรกของกรมการค้าที่ฟู่เสี่ยวกวนก่อตั้งขึ้นมาและเป็นขุนนางกลุ่มแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนส่งไปยังว่อเฟิงเต้า

คนอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันกับเขายังมีปั๋งเหยี่ยน…ซังเหลียง รวมไปถึงทั่นฮวาอย่าง…ซือหม่าหนาน หม่าซิงคง และคนอื่น ๆ

พวกเขาเหล่านั้น บัดนี้อยู่ที่ว่อเฟิงเต้ากันทั้งหมด ทั้งยังได้เลื่อนขั้นอีกด้วย แต่พวกเขากลับปฏิบัติหน้าที่กันอย่างมิมีความสุขสักเท่าใดนัก

เมื่อสองเดือนก่อน กงซุนเซ่อได้ไปที่เขตหลานหลิงและได้ทานหม้อไฟพร้อมกับร่วมสนทนากับเหอเชิงอันนายอำเภอเขตหลานหลิงอยู่หนึ่งคืน

เหอเชิงอันเอ่ยว่า “หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไปหาเจิ้นกั๋วกง ทว่าน่าเสียดายที่สถานะของข้าต่ำต้อยจนเกินไป แม้ในปีนั้นจะเป็นคนที่เจิ้นกั๋วกงคัดเลือกมาเองกับมือ แต่ระหว่างข้าและเจิ้นกั๋วกงได้พบหน้ากันมิกี่คราเท่านั้น”

“ว่อเฟิงเต้านี้ จะเอ่ยว่าเยี่ยงไรดีเล่า ? มันคือว่อเฟิงเต้าของเจิ้นกั๋วกง หากเขายังอยู่ที่นี่ มันย่อมเต็มไปด้วยพลังและมีชีวิตชีวาอย่างแน่นอน แต่บัดนี้เขาจากไปแล้ว เจ้าดูสิ…อย่างมากสุดก็อีกสักสองปี ที่แห่งนี้จะกลายเป็นบ่อน้ำแห้งเหือด”

“หากเจ้ายังมีความมุ่งมั่นในเรื่องการบริหารบ้านเมืองก็อาศัยจังหวะนี้ติดตามรอยเท้าของเขาไปเถิด ต้าเผิงเริ่มโบยบินตามสายลม ขี่พายุหมุนโผทะยานเก้าหมื่นลี้… อุดมการณ์บางอย่างจะสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต่อเมื่อติดตามผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น”

คำเอ่ยของเหอเชิงอันสั่นสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณของกงซุนเซ่อ ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ว่าจะจากมา ดังนั้นเขาจึงกลับไปทำเรื่องลาออกที่เมืองว่อเฟิง เดินทางผ่านแคว้นอี๋จนมาถึงแคว้นอู๋

ระหว่างทาง เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนมากมาย เขาถึงได้ทราบว่าเดิมทีที่ฟู่เสี่ยวกวนบริหารว่อเฟิงเต้า มันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวความสามารถของอีกฝ่ายเท่านั้น

ฟู่เสี่ยวกวนได้ปลดปล่อยความสามารถอย่างเต็มที่ยามที่อยู่ในราชวงศ์อู๋ จากที่กงซุนเซ่อเคยไปเยือนเมืองการค้าเสรีซินโจวและเคยผ่านเมืองการค้าเสรีด่านต้ายู่ เขาพบว่าความมีชีวิตชีวาของเมืองการค้าเสรีทั้งสองแห่งนี้เปล่งประกายออกมาจนทำให้เขาตื่นตาตื่นใจมากยิ่งนัก ยังมิต้องเอ่ยถึงโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของราชวงศ์อู๋ที่ทำให้กงซุนเซ่อเอ่ยชมมิขาดปาก

หากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูพระองค์ก่อนมิได้ทำเรื่องเยี่ยงนั้นต่อฟู่เสี่ยวกวน เขาจะทอดทิ้งราชวงศ์หยูมาหรือไม่ ?

กงซุนเซ่อเองก็มิทราบ เขารู้เพียงแค่ว่าบัดนี้ราชวงศ์อู๋จะทิ้งห่างแคว้นอื่นไว้เบื้องหลังชนิดไกลโพ้น

บัดนี้เขายืนอยู่หน้าประตูสำนักงานเขต ส่วนฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในเรือนด้านหลังของสำนักงานเขต ระยะห่างมิเกิน 300 จั้ง ทว่า 300 จั้งนี้เปรียบดั่งลำธารสายหนึ่ง… เขามิใช่เจ้าหน้าที่ของกรมการค้าแห่งราชวงศ์หยูอีกต่อไปแล้ว ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็มิใช่เต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าแล้ว ทว่าเขาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ !

ท่านจดจำนามของข้าได้หรือไม่ ?

ท่านจะรู้สึกว่าที่ข้ามาหาเพราะไร้หนทางเดินต่อจึงรุดหน้ามาพึ่งพิงเพื่อขอข้าวทานสักมื้อหรือไม่ ?

เขาจะทำตัวเท่าเทียมผู้อื่นโดยมิเว้นระยะห่างเฉกเช่นแต่ก่อนหรือไม่ ?

บัดนี้เขานั่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิสูงสุด เขาจะทำตัวเย็นชาและทิ้งระยะห่างกับผู้อื่นนับพันลี้หรือไม่ ?

ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ กงซุนเซ่อรู้สึกราวกับว่าผ่านไปเป็นปีเลยทีเดียว

มินาน ขันทีเจี่ยก็เดินออกมา จากนั้นก็ยิ้มให้กงซุนเซ่อแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าไปพบด้านใน”

เขาจำข้าได้ด้วยหรือ ?

กงซุนเซ่อรู้สึกประหลาดใจอยู่มิน้อย เขาโค้งคำนับขันทีเจี่ยแล้วเอ่ยออกมาว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส ! ”

“เข้าไปเถิด”

“ขอรับ ! ”

กงซุนเซ่อสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในสำนักงานเขต เมื่อมาถึงเรือนด้านหลัง แสงสุริยายามเย็นก็ได้ส่องกระทบใบหน้า จึงเห็นได้ชัดว่าบนใบหน้าของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาทั่วทั้งหน้า อากาศค่อนข้างร้อนชวนหงุดหงิด

เขาสงบสติอารมณ์ชั่วครู่ จากนั้นก็เดินไปยังเรือนด้านข้าง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังมาจากห้องที่ตั้งอยู่ถัดจากห้องใหญ่ ต่อจากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย

“พวกท่านมิทราบหรอกว่า ยามที่เพิ่งก่อตั้งกรมการค้าของราชวงศ์หยูขึ้นมาใหม่ ๆ ตอนนั้นยังไร้ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำงาน ข้าจึงหลอกล่อหลี่ฉายมาได้ผู้หนึ่ง จากนั้นก็ฉกกงซุนเซ่อผู้เป็นจอหงวนของชิวเหวยเมื่อปีนั้นและคนอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งมาจากมือของฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้กรมการค้าจึงได้ก่อตั้งขึ้น”

“หลังจากนั้นข้าก็ไปฉกคนจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาอีกมิน้อย ครึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นบัณฑิตที่ติดตามข้ามาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋เมื่อปีนั้น เหตุใดถึงต้องเป็นพวกเขาน่ะหรือ ? เพราะพวกเขายอมรับอุดมการณ์ทางการค้าของข้าได้ ! ”

“แท้จริงแล้วข้าเสียดายคนกลุ่มนั้นมากยิ่งนัก รวมไปถึงบรรดาขุนนางของว่อเฟิงเต้า ทุกคนต่างมีพรสวรรค์… แต่เยี่ยงไรเสียพวกเขาก็เป็นคนของราชวงศ์หยู ดังนั้นข้าจึงเกรงใจที่จะเอ่ยปาก หากพวกเขาต้องมาอุทิศตนเพื่อราชวงศ์อู๋ด้วยความมิยินยอม ก็จะกลายเป็นการทำลายอนาคตของพวกเขา”

เบ้าตาของกงซุนเซ่อมีน้ำใสเอ่อคลอขึ้นมาทันพลัน ท่านมิได้ลืมพวกข้า !

ท่านยังจดจำพวกข้าเสมอมา !

ท่านยังให้ความสำคัญต่อพวกข้ามิแปรเปลี่ยน !

กงซุนเซ่อก้าวเข้าไปในห้อง เห็นฟู่เสี่ยวกวนที่สวมชุดผ้าป่านสีคราม

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองเขา ทันใดนั้นรอยยิ้มเจิดจ้าก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปหากงซุนเซ่อด้วยความตื่นเต้น เขากางแขนทั้งสองข้างออกและโอบกอดกงซุนเซ่อด้วยความกระตือรือร้นอย่างคาดมิถึง !

“สหายข้า ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าอีกครา ! ”

“…ฝ่าบาท ! ”

“ฮ่า ๆ ๆ มา ๆ ๆ นั่งลง ข้าจะแนะนำเจ้าสักหน่อย…”

กงซุนเซ่อโค้งคำนับแต่ละคน เขามิคาดคิดว่าในสถานที่แสนเรียบง่ายเยี่ยงนี้ จะมีขุนนางระดับสูงสุดของราชวงศ์อู๋นั่งอยู่ด้วย

ในระยะเวลาอันสั้น เขาก็สามารถมั่นใจได้หนึ่งเรื่องซึ่งนั่นก็คือ

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แปรเปลี่ยนไป !

ใบหน้าของเขายังเหมือนเดิม และความรู้สึกคุ้นเคยก็มิได้จางหายไป