หลังจากส่งคู่พี่น้องตระกูลสีออกไปแล้ว หลิงตู้ฉิงก็ส่งคนของเขาออกไปแจ้งกับตระกูลจ้าว ตระกูลหลิง และตระกูลมี่ เพื่อให้เข้ามาพบกับเขา
ทั้งสามตระกูลนี้ต่างมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเขาทั้งหมด ถึงแม้ว่าในอดีตเขาจะไม่ค่อยสนใจคนของทั้งสามตระกูลนี้สักเท่าไหร่ แต่ในตอนนี้เขาเห็นว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะชดเชยอะไรให้บ้าง
อันที่จริงในตอนที่หลิงตู้ฉิงกลับมาที่คฤหาสน์สราญรมย์ ทั้งสามตระกูลเองก็อยากที่จะเข้ามาพบกับหลิงตู้ฉิงเหมือนกัน แต่เนื่องจากเมื่อพวกเขาเห็นว่ารอบ ๆ คฤหาสน์สราญรมย์นั้นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชาญระดับสูงยืนรายล้อมคุ้มกันอยู่มากมาย ตระกูลเล็ก ๆ อย่างพวกเขาจะเอาความกล้าจากที่ไหนมาขอเข้าพบ?
ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้รับข้อความให้ไปเข้าพบ พวกเขาจึงดีใจกันเป็นอย่างมากและรีบตรงมาที่คฤหาสน์สราญรมย์ทันที
ในทันทีที่หลิงเจิ้งสงได้มาถึง เขาก็เอ่ยถามขึ้นทันที “ตู้ฉิง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีผู้คนคุ้มกันคฤหาสน์ของเจ้ามากมายขนาดนี้?”
หลังจากที่เวลาผ่านมาร้อยกว่าปี ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของหลิงเจิ้งสงได้ก้าวขึ้นมาอยู่ที่ระดับสวรรค์สามัญแล้ว
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “ท่านปู่ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก เอาล่ะนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเรามารอให้ปู่ของเหมิงลู่มาถึงก่อนแล้วพวกเราค่อยคุยกันทีเดียว”
ไม่นานต่อมา จ้าวปาเทียนและมี่ยี่ถง น้องชายของมี่ไลก็มาถึง
ในตอนนี้มี่ตั้วตั้วไม่ได้อยู่ในทะเลชางหมาง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่มี่ยี่ถง ผู้ซึ่งเป็นลูกชายจะกลายเป็นผู้ดูแลตระกูลมี่แทนชั่วคราว
“พี่เขย มีเรื่องะไรงั้นเหรอ?” มี่ยี่ถงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าระแวดระวัง
เขาได้ยินมาจากพ่อของเขาหลายต่อหลายครั้งว่าพี่เขยของเขาไม่เหมือนคนปกติทั่วไป และเขาไม่ควรที่จะบุ่มบ่ามทำตัวสนิทสนมให้มากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยประโยคใด ๆ ที่ดูใกล้ชิดเกินไป
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่จะคุยกับพ่อของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าคงมีวิธีที่จะติดต่อกับพ่อของเจ้าอยู่แล้วใช่ไหม?”
มี่ยี่ถงพยักหน้าทันที “ท่านพ่อของข้าในเวลานี้อยู่ในอาณาเขตนภา แต่เขาไม่ได้อยู่ในทะเลชางหมาง ต่อให้ข้าจะติดต่อเขาไปในตอนนี้เขาก็คงจะต้องใช้เวลาบ้างกว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่”
“ถ้างั้นก็ติดต่อหาเขาเลยและให้เขาพาหวงอี้เฟยมากับเขาด้วย” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “และอีกอย่าง จากที่ข้าดูเจ้าแล้ว พรสวรรค์ของเจ้าค่อนข้างที่จะด้อยไปสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะมอบโอสถที่สามารถทำให้ร่างกายของเจ้าพัฒนาขึ้นไปได้อีกระดับ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ช่วยให้เจ้าบ่มเพาะได้เร็วขึ้น แต่มันก็สามารถทำให้เจ้าบ่มเพาะได้ไปถึงในขอบเขตสวรรค์แน่นอน”
“ขอบคุณมากพี่เขย!” มี่ยี่ถงตอบกลับด้วยความดีใจทันที
“เอาล่ะ จงไปติดต่อหาพ่อของเจ้าได้แล้ว!” เมื่อหลิงตู้ฉิงส่งมี่ยี่ถงออกไป จากนั้นเขาก็หันมาพูดกับหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียน “นี่มันก็นานแล้วที่พวกเราได้เจอกัน รากฐานการบ่มเพาะของพวกท่านทั้งสองนับได้ว่ามั่นคงดีทีเดียว นับว่าเป็นเรื่องดีจริง ๆ”
หลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขารู้สึกว่าบุคลิกของหลิงตู้ฉิงในตอนนี้มันมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป
แน่นอนว่าสิ่งนี้มันทำให้พวกเขารู้สึกยินดี เนื่องจากความรู้สึกที่พวกเขาสัมผัสได้มันดูใกล้ชิดกว่าเดิมไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มันดูเหมือนว่าพวกเขาห่างเหินกันราวฟ้ากับเหว
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจอาการงุนงงของชายชราทั้งสอง เขาหยิบอาวุธจักรพรรดิขึ้นมา 2 อันและยื่นให้กับพวกเขาและพูดว่า “พวกท่านเคยเห็นอาวุธระดับจักรพรรดิมาบ้างไหม? พวกมันคืออาวุธที่มีอำนาจเหนือกว่าพลังของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภานับหมื่นเท่า”
“อาวุธทั้ง 2 ชิ้นนี้พวกท่านจะใช้มันได้ก็ต่อเมื่อพวกท่านเชื่อมจิตของตนเองไว้กับพวกมันแล้ว ด้วยการดำรงอยู่ของพวกมันในตระกูลพวกท่าน ถึงแม้ว่าในอนาคตตระกูลของพวกท่านจะตกต่ำสักเพียงไหน ตระกูลของพวกท่านก็จะยังอยู่รอดไปได้อีกนาน”
“แต่เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของพวกท่านยังคงไม่สูงเท่าไหร่ ดังนั้นพวกท่านคงยังไม่อาจจะปลดปล่อยอำนาจที่แท้จริงของพวกมันได้ จงฝึกฝนให้หนักขึ้นแล้วในอนาคตพวกท่านจะสามารถใช้มันได้อย่างใจนึก ว่าแต่ ตอนนี้ใครเป็นคนดูแลสถาบันจันทรา?”
หลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนต่างรู้สึกตกตะลึง เมื่อพวกเขาทั้งสองรับอาวุธจักรพรรดิมาและเชื่อมจิตของพวกเขาลงไป พวกเขาสัมผัสได้ทันทีว่าอาวุธเหล่านี้มันทรงอำนาจมากจนพวกเขาไม่เคยจินตนาการออกได้ว่ามันจะมีพลังอะไรที่เหนือล้ำได้ขนาดนี้
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินประโยคคำถามของหลิงตู้ฉิงที่ถามถึงสถาบันจันทรา จ้าวปาเทียนก็รีบตอบกลับทันที “สถาบันจันทราในตอนนี้ถูกดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญขั้นสูงสุดผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนขององค์จักรพรรดิ”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ในฐานะที่ข้าเคยสอนอยู่ที่นั่น มันแปลว่าข้าและสถาบันจันทรามีชะตาที่ผูกกัน ดังนั้นในอนาคตข้าจะทิ้งเจตจำนงของข้าเอาไว้ที่สถาบันจันทราเพื่อคอยปกปักคุ้มครองมันไปตลอดกาล จริงสิ ข้าจำได้ว่าในสถาบันจันทรามีอาจารย์ผู้หนึ่งที่ชื่อว่า เหลียนปู้ชิง ไม่ทราบว่าตอนนี้เขายังอยู่ในสถาบันรึเปล่า?”
จ้าวปาเทียนหัวเราะ “ตอนนี้เขายังอยู่และยังคงเป็นคณะบดี คณะช่างหลอมเหมือนเดิม!”
“ถ้างั้นข้าขอรบกวนท่านปู่จ้าวช่วยแจ้งกับเขาทีว่าให้มาพบกับข้าที่นี่สักหน่อย ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเขา” หลิงตู้ฉิงรีบพูดขึ้นทันที
จ้าวปาเทียนพยักหน้า “ได้เลย หลังจากนี้ข้าจะไปบอกเขาให้!”
หลังจากส่งจ้าวปาเทียนและหลิงเจิ้งสงออกไป หลิงตู้ฉิงก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด
ในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงจำเป็นต้องมาเกิดใหม่ นอกเหนือจากเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางการบ่มเพาะ
เนื่องจากเขายังมีหนี้กรรมที่ติดค้างกับโลกนี้ไว้อยู่และเขาต้องกลับมาชดใช้ เพราะในอดีตเขาได้ทำลายทั้งตำหนักศาสตราศักดิ์สิทธิ์และสำนักโอสถนิรันดร์ ซึ่งมันมีผลทำให้เต๋าทั้งสองที่เป็นส่วนหนึ่งในการค้ำจุนโลกเสื่อมถอยลง
ไม่เช่นนั้นตั้งแต่ตอนแรก ๆ ที่ความทรงจำของเขาคืนกลับมา โชคชะตาของเขาจะพาเขาให้ไปพบกับอัจฉริยะเช่น หวงอี้เฟย และ เหลียนปู้ชิง ได้ยังไง? นี่มันคงเป็นการจัดฉากของใครสักคนที่ต้องการให้เขาส่งต่อเต๋าแห่งโอสถและเต๋าแห่งการสร้างสมบัติต่อไปเพื่อรักษาสมดุลของโลกเอาไว้
และแน่นอนว่ามันไม่เพียงแค่เต๋าทั้งสองเท่านั้นที่เขาต้องถ่ายทอดต่อ มันยังมีบรรดาสุดยอดวิชาที่สูญหายไปเพราะเขามากมายที่เขาจำเป็นต้องแก้ไข
ยกตัวอย่างก็คือวิชาห้วงนิทราแห่งราชันของวัดจินตภาพ ที่เขาเคยไปสังหารผู้สืบทอดและขโมยวิชามาจนทำให้มันสูญหายไป ซึ่งโชคชะตาก็ทำให้เขาได้ถ่ายทอดมันต่อให้กับจิ๋นชาน
ดังนั้นกับวิชาอื่น ๆ อีกมากมายที่เขาทำให้มันสูญหาย เขาก็คงต้องทำการชดใช้กรรมโดยการหาผู้ที่เหมาะสมคนอื่น ๆ เพื่อทำการถ่ายทอดมันออกไป และนี่ยังไม่รวมไปถึง ความรู้สึกของเหล่าผู้คนจำนวนมากที่เขาเคยติดค้างไว้ที่เขาเองก็ต้องชดใช้ และยังมีหนี้ของผู้อื่นที่ติดค้างเขาไว้อีกที่เมื่อตอนชีวิตที่แล้วเขาไม่ได้สนใจจะทวงคืน
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องการเรียกให้เหลียนปู้ชิงและหวงอี้เฟยเข้ามาหาเขา เพื่อที่เขาจะได้ถ่ายทอดสิ่งที่มันไม่ควรหายไปจากโลกให้คงอยู่ดังเดิม
ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงกำลังครุ่นคิด โม่หยูถังก็เดินเข้ามาและเอ่ยถามขึ้น “นายท่าน ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงเงยหน้าขึ้นไปมองโม่หยูถัง และตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อบ้านโม่ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลยสำหรับเรื่องที่เจ้าเคยดูแลข้ามาเป็นอย่างดีก่อนที่ข้าจะฟื้นความทรงจำ นับจากนี้ไป ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพ่อบ้านของข้าอย่างเป็นทางการ!”
โม่หยูถังหัวเราะ “นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าเป็นพ่อบ้านให้ท่านมาโดยตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? และอีกอย่างการดูแลท่านนั้นเป็นหน้าที่ที่ข้าควรกระทำอยู่แล้ว”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าหมายถึงว่านับจากนี้เจ้าจะติดตามข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องติดตามยี่เทียนอีกต่อไป ปล่อยให้เขาหาพ่อบ้านคนใหม่ของตัวเองเถอะ”
“น้อมรับคำสั่งนายท่านเสมอ!” โม่หยูถังประสานมือคำนับด้วยรอยยิ้ม