หลิงตู้ฉิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ทำไมไอ้สีจิ้งหมิงผู้นี้ ถึงทำตัวงี่เง่าได้ขนาดนี้?
“ข้าจะบอกกับเจ้าอีกครั้ง ทะเลชางหมางไม่มีสมบัติลับอะไรทั้งนั้น! ส่วนสมบัติต่าง ๆ ที่ครอบครัวของข้าครอบครองนั้นมันถูกสร้างโดยตัวข้าเอง” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “ในเมื่อเจ้าเองก็ได้รับประโยชน์จากเกาะที่เจ้าเลือกไปแล้ว เจ้าก็ควรจะหยุดโลภมากและกลับไปซะ!”
สีจิ้งหมิงส่ายหัว “ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะสร้างพวกมันขึ้นมาด้วยตัวเอง มันไม่มีทางที่ใครจะสามารถสมบัติที่ทรงพลังจำนวนมากขนาดนั้นได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว”
หลิงตู้ฉิงหันไปมองสีเป่ยเซียะ และถามขึ้น “นี่น้องของเจ้าปัญญาอ่อนหรือไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีเป่ยเซียะก็แสดงสีหน้าขมขื่น นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าหลิงตู้ฉิงสามารถสร้างสมบัติเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่เมื่อนางย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเปิดออก นางก็มีความคิดว่ามันอาจเป็นไปได้
สีจิ้งหมิง เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงหาว่าเขาปัญญาอ่อน เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที “นี่ท่านคิดจะเอาเปรียบข้าแบบนี้ใช่ไหม? หากท่านคิดจะเอาเปรียบข้าแบบนี้ ท่านก็อย่ามาโทษข้าที่จะไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้เหมือนกัน!”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับทันที “เรื่องของเจ้า!”
สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้เขาพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจตัวเองอยากทำ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาต้องคอยหาหนทางประนีประนอมเพื่อไม่ให้เขาต้องทำอะไรรุนแรงจนมันกลายเป็นปัญหากับตัวเขาเอง
ในตอนนี้หากว่าสำนักเบญจธาตุต้องการลองดีกับเขา เขาจะแสดงให้รู้ว่าอำนาจที่แท้จริงมันคืออะไร
หลิงตู้ฉิงมองไปที่สีเป่ยเซียะ และพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับหยดน้ำวิญญาณบริสุทธิ์มาจากเจ้า ซึ่งมันนับได้ว่าข้ายังคงติดค้างเจ้าอยู่! ตอนนี้ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยอาวุธศักดิ์สิทธิ์แล้วถือว่าเราหายกัน เจ้าจะว่ายังไง?”
สีจิ้งหมิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “นี่ท่านถึงขนาดมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์เลยงั้นเหรอ? นี่ท่านยังกล้าบอกอีกเหรอว่าในทะเลชางหมางมันไม่มีสมบัติอะไร? ไม่รู้แหละวันนี้ยังไงท่านก็ต้องแบ่งมันมาให้ข้าบ้าง!”
หลิงตู้ฉิงตะโกนขึ้นทันที “ไสหัวออกไปซะ!”
หลิงตู้ฉิงหยิบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาและโบกมันไปทางสีจิ้งหมิง ส่งร่างเขากระเด็นลอยออกไปด้านนอกคฤหาสน์สราญรมย์ทันที จากนั้นหลิงตู้ฉิงยื่นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปทางสีเป่ยเซียะ
สีเป่ยเซียะรู้สึกตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือของหลิงตู้ฉิง จากนั้นเมื่อนางสัมผัสได้ว่าน้องชายของนางยังคงปลอดภัยดีที่ด้านนอกคฤหาสน์ นางจึงถามขึ้นว่า “นี่ท่านได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน?”
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ข้าไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มา และจากนั้นข้าก็ได้มีโอกาสเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน ซึ่งที่นั่นข้าก็ได้เจอคนของสำนักเจ้าเช่นกัน ส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ได้มาจากในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนนั่นแหละ”
“ข้าเคยบอกกับพวกเจ้าไปตั้งนานแล้วว่าในทะเลชางหมางมันไม่มีสมบัติลับอะไรซ่อนอยู่จริง ๆ! แต่พวกเจ้ากลับไม่เชื่อข้าสักทีแถมยังกล้ามาหาข้าที่นี่เพื่อข่มขู่ข้าอีกงั้นเหรอ? ในสำนักเบญจธาตุ สถานะของพวกเจ้าใหญ่แค่ไหนกัน?”
สีเป่ยเซียะอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึง “ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเปิดแล้วงั้นเหรอ? ไม่มีใครส่งข่าวบอกพวกข้าเลยสักคน! ส่วนเรื่องของสถานะในสำนัก พวกเราคือศิษย์สายหลักและครอบครัวของพวกเราก็พอจะมีอำนาจอยู่บ้าง”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เป็นแค่ศิษย์สายหลักกลับกล้าพูดจาข่มข้างั้นเหรอ? เจ้ารีบกลับไปบอกน้องชายหน้าโง่ของเจ้าได้เลยว่าไม่ช้าก็เร็วข้าจะไปเยือนสำนักเบญจธาตุของพวกเจ้าแน่นอน แต่ถ้าหากพวกเจ้าไม่พอใจ พวกเจ้าจะมาคิดบัญชีกับข้าก่อนก็ย่อมได้!”
“ส่วนอาณาจักรอี้จิ๋นนั่น ข้าไม่ใส่ใจเลยว่าพวกเจ้าจะมอบมันให้ข้ารึเปล่า ต่อให้พวกเจ้าไม่มอบมันมาให้ข้า ข้าก็สามารถยึดมันมาได้ง่าย ๆ ราวกับพลิกฝ่ามือ เมื่อถึงเวลาข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นความน่ากลัวที่แท้จริงของข้า ส่วนเรื่องที่ข้าติดค้างเจ้า อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้แลกกับการที่พวกเราหายกัน เจ้าตกลงไหม?”
แน่นอนว่าสีเป่ยเซียะอยากได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว
แต่ในใจของนางอีกฝั่งมันกลับบอกกับนางว่าไม่ควรรับมา
บนโลกนี้ไม่มีสิ่งล้ำค่าใดที่จะได้มาแบบเปล่า ๆ แบบนี้แน่นอน
นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ตอบว่า “ถึงแม้ว่าน้องของข้าจะไม่เชื่อคำพูดของท่านแต่ข้าคิดว่าข้าเชื่อ! ดังนั้นข้าจะไม่พูดถึงเรื่องสมบัติในทะเลชางหมางอีกต่อไป ส่วนเรื่องของอาณาจักรอี้จิ๋น ข้าจะพยายามโน้มน้าวน้องของข้าให้ดีที่สุดเพื่อให้เขามอบมันให้กับท่าน แต่ถ้าหากเขาไม่ฟังข้าและเมื่อถึงเวลาตอนที่ท่านโจมตีเมืองอี้จิ๋น ข้าขอร้องท่านโปรดละเว้นชีวิตของเขาด้วย ส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์…ช่างมันก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องการมัน มันล้ำค่าเกินไป ข้าไม่อาจรับมันเอาไว้ได้”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วพลางเก็บอาวุธศักดิ์สิทธิ์ลงไปและพูดว่า “ข้าตกลงตามคำขอของเจ้า หากมีการต่อสู้ในอนาคตข้าจะไว้ชีวิตน้องเจ้า 2 ครั้ง!”
“ขอบคุณมาก!” สีเป่ยเซียะพยักหน้า “แต่ถ้าหากพวกเราไม่ได้รบกัน หนี้ที่ท่านติดค้างข้า ข้าจะยังถือว่ามันยังคงอยู่!”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าจนใจ “ข้าเข้าใจ!”
เขาไม่น่าไปติดค้างนางเลยจริง ๆ!
“ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน!” สีเป่ยเซียะหัวเราะ “หากท่านมีโอกาสมาเยือนสำนักของข้าเมื่อไหร่ ข้าจะต้อนรับท่านเป็นอย่างดี!”
“ไว้เราค่อยเจอกัน!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
“เอาล่ะ ข้าขอตัวไปก่อนล่ะ!” พูดจบสีเป่ยเซียะก็ลุกขึ้นและเดินออกจากคฤหาสน์สราญรมย์ทันที
เมื่อออกมาพ้นประตูคฤหาสน์สราญรมย์ สีเป่ยเซียะก็เดินตรงเข้าไปหาสีจิ้งหมิงที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
สีจิ้งหมิงสบถออกมาทันที “เขากับข้าจะต้องได้เห็นดีกันแน่!”
สีเป่ยเซียะพูดสวนทันที “ไม่ว่าเจ้าอยากจะทำอะไรก็เอาเลย ข้าได้ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์นั่นแลกกับให้เขาไว้ชีวิตของเจ้า 2 รอบ ส่วนรอบที่ 3 ข้าคงจะช่วยอะไรเจ้าอีกไม่ได้แล้ว”
นางรู้ดีว่านางเองก็คงไม่อาจโน้มน้าวน้องชายของนางที่กำลังโมโหแบบนี้ได้ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะพูดกับเขาตรง ๆ
สีจิ้งหมิงแสดงสีหน้าเย้ยหยัน “อย่างข้าเนี่ยนะต้องให้เขาไว้ชีวิต? ข้าเป็นถึงศิษย์หลักแห่งสำนักเบญจธาตุอันยิ่งใหญ่ มันจะมีวันที่ข้าต้องให้เขาไว้ชีวิตงั้นเหรอ? น่าขำสิ้นดี!”
สีเป่ยเซียะพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ สำนักเบญธาตุของเรานั้นแน่นอนว่าเกรียงไกร ดังนั้นพวกเรามาใช้อำนาจของสำนักเราในการบดขยี้เขาก็แล้วกัน เริ่มแรกเมื่อเรากลับไปที่อาณาจักรอี้จิ๋น พวกเราจะส่งข่าวกลับไปที่สำนักทันทีเพื่อให้เตรียมทำสงครามและให้ทางสำนักส่งเหล่าบรรพบุรุษและผู้อาวุโสมาเพื่อเสริมทัพ อ๋อและต้องไม่ลืมให้พวกเขาเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์และโองการจักรพรรดิของสำนักเรามาด้วย แต่ว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์อันเดียวมันก็คงน่าจะไม่พอ เพราะหลิงตู้ฉิงได้แสดงให้เราดูแล้วว่าเขาสามารถมอบให้เราได้อันหนึ่ง ดังนั้นเขาน่าจะมีมากกว่า 1 อัน เพราะฉะนั้นเราคงต้องใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยที่สุด 2 อัน!”
“ส่วนโองการจักรพรรดิ เท่าที่ข้าคำนวณแล้วเอามาแค่อันสองอันก็คงไม่พอเหมือนกัน ในตอนนั้นหลิงตู้ฉิงเคยให้ยันต์เคลือบหยกกับลั่วหยุนไว้ใช้อันหนึ่ง ซึ่งมันทรงพลังมากจนสามารถทำลายเศษเสี้ยวจิตสำนักของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นข้าเห็นว่าเราอาจจะต้องเอามาสัก 10 อันเผื่อไว้ เอาล่ะทีนี้พวกเราก็สามารถที่จะสั่งสอนหลิงตู้ฉิงได้แล้วว่าพวกเราไม่ใช่คนธรรมดาที่เขาสามารถล่วงเกินได้ง่าย ๆ แถมยังเป็นการประกาศศักดาสำนักของพวกเราไปในตัวด้วยว่ายิ่งใหญ่และร่ำรวยเพียงไหน!”
สีจิ้งหมิงมองไปที่สีเป่ยเซียะ และพูดขึ้นด้วยสีหน้าหดหู่ “เอ่อ…ท่านพี่…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีจิ้งหมิงก็เหมือนถูกเตะที่กลางหว่างขา เนื่องจากเขารู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าด้วยทรัพยากรจำนวนมากที่พี่สาวของเขาวิเคราะห์มาเพื่อใช้ในการต่อกรกับหลิงตู้ฉิงมันมหาศาลจนพวกเขาไม่มีวันที่จะร้องขอมาจากสำนักได้ ดังนั้นที่พี่สาวของเขายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็เพราะต้องการทำร้ายจิตใจเขาใช่ไหม?
สีเป่ยเซียะถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “เรียกข้าทำไม? ข้าคำนวณอะไรผิดงั้นเหรอ?”
“เอ่อ…แล้วทำไมท่านถึงไม่เอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาล่ะท่านพี่? และอีกอย่างท่านรู้รึเปล่าว่าหลิงตู้ฉิงได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์นั่นมาจากที่ไหน?” สีจิ้งหมิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ
สีเป่ยเซียะยิ้มเย้ยและพูดว่า “ข้าเองก็อยากจะเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั่นมาเหมือนกันนั่นแหละ แต่เผอิญว่าข้ากลัวว่าในอนาคตเจ้าจะโดนทุบตีจนตายเพราะความบุ่มบ่ามของเจ้า ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะใช้มันซื้อชีวิตของเจ้า 2 รอบ! ส่วนที่มาของอาวุธศักดิ์สิทธิ์อันนั้น หลิงตู้ฉิงบอกว่าเขาได้มันมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน เขาบอกกับข้าว่ามันได้เปิดขึ้นแล้วเมื่อไม่นานมานี้”
สีหน้าของสีจิ้งหมิงเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที “อาวุธศักดิ์สิทธิ์นั่นไม่ได้ถูกหาเจอในทะเลชางหมางงั้นเหรอ? ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนถูกเปิดขึ้นได้แล้วด้วย?”
“ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน เจ้าก็ลองไปหาข้อมูลยืนยันดูเอาเองสิ” สีเป่ยเซียะตอบกลับ “เอาล่ะ หลังจากนี้ข้าจะกลับไปที่สำนัก ส่วนเจ้าเองถ้าจะอยู่ที่นี่เพื่อสำรวจต่อก็แล้วแต่เจ้า แต่ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรเจ้าจงพึงสังวรณ์เอาไว้ด้วยว่าชีวิตของเจ้าหนึ่งรอบมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของอาวุธศักดิ์สิทธิ์!”