ตอนที่ 1371 หน้าตาของโลก โดย Ink Stone_Fantasy
“หลุมที่เจ้าเห็นมันเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?” โรแลนด์ยืนขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“ขออภัยเพคะ…” คามิล่าพูดอย่างอายๆ “ฝีมือการวาดภาพของหม่อมฉันมันได้แค่นี้จริงๆ เพคะ”
ภาพที่กางอยู่บนโต๊ะคือภาพที่คามิล่าวาดออกมาจากความทรงจำ อย่าว่าแต่จะเทียบกับบุ๊คหรือโซโรย่าเลย แม้แต่พวกเด็กฝึกหัดในพิพิธภัณฑ์รูปภาพก็ยังวาดได้ดีกว่าเธอมาก เส้นขีดเล็กๆ จำนวนมากนั้นคือพื้นหญ้า เส้นวงกลมคดไปคดมาคือหลุมบนพื้น เนินดินที่ปูดขึ้นมาด้านข้างคือภูเขา ส่วนเส้นยึกยือเหล่านั้นคือน้ำทะเล ในสายตาคนอื่นนี่ไม่ได้ต่างอะไรกับการวาดเล่นๆ ที่ไม่สามารถใช้อ้างอิงอะไรได้เลย
แต่สำหรับโรแลนด์นั้นไม่เหมือนกัน
เขาเคยเห็นบอทธ่อมเลสแลนด์ที่เล่าลือกันในโลกแห่งความฝัน
ซึ่งนั่นเป็น ‘จุดหมายปลายทาง’ ในสงครามแห่งโชคชะตา เป็นอุโมงค์แห่งการยกระดับของเผ่าพันธุ์ที่ชนะ ถึงแม้สุดท้ายมันจะถูกคลื่นยักษ์และพายุกลืนกิน เมืองที่สร้างขึ้นมาด้านบนของมันก็ถูกทำลายจนราบคาบ แต่ลักษณะภูมิประเทศโดยคร่าวๆ ของมันยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างเช่นด้านหนึ่งราบเรียบ อีกด้านหนึ่งยกตัวสูงขึ้นมา และแผ่นดินที่สูงชั้นที่สามารถมองเห็นได้ลางๆ
ในตอนที่ยังไม่ได้เห็นมัน มันก็เป็นแค่ตำนานที่เล่าต่อๆ กันมา เพราะปลายด้านเหนือของดินแดนรุ่งอรุณนั้นทอดยาวออกไปหลายพันกิโลเมตร คนในยุคก่อนสมาพันธ์เองก็ไม่สามารถวาดแผนที่อย่างละเอียดออกมาได้ มันมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
สิ่งที่เขามีก็มีแค่ตำแหน่งของบอทธ่อมเลสแลนด์ที่มิสต์บอกมาเท่านั้น
แต่ตอนนี้ ประสบการณ์ของโจนได้เปลี่ยนให้มันกลายเป็นจริงแล้ว
“ไม่ แค่นี้ก็พอแล้ว” โรแลนด์รีบหยิบเอาแผนที่ขนาดใหญ่ออกมาจากชั้นหนังสือ ก่อนจะเอามันกางไปบนพื้นหน้าโต๊ะทำงาน แล้วเอาแผนที่้แผ่นนั้นวางไปตรงตำแหน่งทางเหนือค่อนไปทางตะวันออกจากแผ่นดิน “มันน่าจะอยู่ตรงนี้”
“นี่มันคืออะไรกันแน่เพคะ?” คามิล่าอดถามขึ้นมาไม่ได้ “หม่อมฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นหลุมที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ”
“ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” โรแลนด์ถามกลับ
“มันก็เห็นๆ อยู่ไม่ใช่เหรอเพคะ?” เธอกอดอกพร้อมพูดว่า “หลุมที่ไหนมันจะเรียบร้อยขนาดนี้ แถมยังมีภาพใต้ทะเลแปลกๆ แล้วก็แผ่นดินกับน้ำทะเลที่อยู่บนท้องฟ้านั่นอีก ดูยังไงมันก็แปลกประหลาดเพคะ”
โรแลนด์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “แต่ข้ากลับคิดว่า…แต่เดิมมันก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติอยู่แล้ว”
“หมายความ…ว่ายังไงเพคะ?”
“อย่างเช่นป่าเร้นลับกับทุ่งหญ้าที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองเนเวอร์วินเทอร์มันก็อาจจะเคยเป็นแค่ที่รกร้างธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มีนกหรือสัตว์บางอย่างเอาเมล็ดพันธุ์พืชมาที่นี่ จากนั้นมันจึงค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสภาพเหมือนอย่างทุกวันนี้ ขอเพียงมีเวลานานมากพอ สมมติฐานแบบนี้มันก็เป็นจริงได้ แต่คนรุ่นหลังกลับคิดว่าแต่ไหนแต่ไรมาโลกก็มีหน้าตาเป็นแบบนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
คามิล่าขมวดคิ้วขึ้นมา “หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสอะไรเพคะ”
ก็จริง โรแลนด์แอบถอนใจ สำหรับคนในยุคสมัยนี้ หลักการอันนี้มันค่อนข้างซับซ้อนเกินไปจริงๆ การที่เธอจะไม่เข้าใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“อย่างนี้นี่เอง” จู่ๆ ไนติงเกลที่คาบปลาแห้งอยู่อีกด้านก็ตบมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “พระองค์อยากจะบอกว่าพวกเราไม่ได้ต่างอะไรกับนกหรือสัตว์ใช่ไหมเพคะ?”
“นี่กำลังเล่นทายปริศนาอยู่เหรอ?” คามิล่านวดขมับอย่างปวดหัว
“เจ้าลองคิดดูนะ” ไนติงเกลชี้ไปยังเมืองที่ตกอยู่ในความมืดที่อยู่นอกหน้าต่าง “พวกนกเอาเมล็ดพันธุ์มาที่นี่ กลายเป็นป่ากับทุ่งหญ้า มนุษย์อพยพมาที่ด้านล่างเนินเขาทิศเหนือ สร้างเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมา สำหรับโลกนี้แล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนแต่เหมือนกัน สิ่งที่พวกเราเรียกว่าธรรมชาติ นั้นก็เป็นแค่การมองมันในมุมของพวกเรา ต่อให้เปลี่ยนเป็นนก มันก็ไม่มีทางคิดว่าหลังคานั้นมีความเป็นธรรมชาติมากกว่ากิ่งไม้ ไม่อย่างนั้นทำไมมันถึงไปสร้างรังอยู่บนต้นไม้? จากการอนุมานอันนี้ หลุมวงกลมกับน้ำทะเลที่ไหลย้อนกลับนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับป่าเร้นลับหรือเมืองเนเวอร์วินเทอร์ พวกมันล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ไม่แน่พระจันทร์และหมู่ดาวที่อยู่เหนือหัวพวกเราก็อาจจะเกิดขึ้นมาด้วยหลักการนี้เหมือนกัน!”
“นี่มัน…” คามิล่า
โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา ปกติเรียนไม่เอาไหน แต่ในเรื่องบางเรื่องกลับหัวไวอย่างน่าประหลาด…ควรจะบอกว่านิสัยเอาตัวรอดทำให้เป็นแบบนั้น หรือว่าความคิดซื่อบื้อมันขยายตัวมากขึ้น?
ภายในหัวเขามีภาพก้อนหินที่พุ่งเข้าชนไม่หยุด จนสุดท้ายรวมกันเป็นดวงดาวทรงกลม
พระเจ้าเอาพลังเวทมนตร์มาสู่โลกนี้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา โลกก็ได้เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“เรากลับมาที่คำถามที่เจ้าถามก่อนหน้านี้ดีกว่า” เขากระแอมเล็กน้อยแล้วเรียกคามิล่าให้ตื่นขึ้นมาจากความสับสน “เกาะที่โจนไปถึงนั้นน่าจะเป็นบอทธ่อมเลสแลนด์ ส่วนหลุมดำนั้นคือประตูแห่งการยกระดับของเผ่าพันธุ์ ในตอนที่มรดกของพระเจ้ารวมเป็นหนึ่ง ถนนที่จะขึ้นไปบนท้องฟ้าจะปรากฏขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่การหลุดพ้นที่แท้จริง แล้วก็ไม่ใช่การเอาชนะรอยยิ้มของพระเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ต้องไปที่นั้น บอทธ่อมเลสแลนด์คือสถานที่ที่อยู่ใกล้ดินแดนของพระเจ้ามากที่สุด บางทีอาจจะมีแค่ที่นั่นถึงจะมีวิธีที่จะหลุดพ้นจากสงครามแห่งโชคชะตาก็ได้”
คามิล่าลืมตาโต เธอเหมือนอยากจะถามออกมาว่า “พระองค์ทรงไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากไหนเพคะ” แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ถามออกมา
“ส่วนแผ่นดินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ข้าเดาว่ามันน่าจะเป็นอาณาจักรซีสกายที่พวกปีศาจพูด” โรแลนด์เดินกลับมาหยิบกระป๋องใส่ดินสอแล้วเอามันไปวางไว้ตรงตะวันตกของดินแดนรุ่งอรุณ “ด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงทำให้ที่ด้านล่างของทะเลชาโดว์กลายเป็นอุโมงค์มิติที่บิดเบี้ยว ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของมันก็เชื่อมต่อกับอาณาจักรซีสกาย โจนถึงได้เคลื่อนที่จากทะเลชาโดว์ไปยังอีกด้านหนึ่งของทะเลในชั่วพริบตา ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่แค่นาง แต่ใต้ทะเลของทั้งสองที่นั้นเชื่อมต่อกันอยู่ และเมื่อผ่านไปทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง น้ำทะเลปริมาณมหาศาลก็จะไหลจากที่นี่เข้าไปยังอาณาจักรซีสกาย ก่อนจะไหลตกลงมาใหม่ กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่อย่างที่โจนเห็น”
คามิล่าพูดอย่างตกใจ “หรือว่าน้ำทะเลที่ไหลจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนเส้นทะเลที่ธันเดอร์เห็นจะเป็นเพราะสาเหตุนี้?”
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขาพยักหน้า “น้ำทะเลไม่จำเป็นต้องไหลย้อนกลับทางเดิม เพราะว่าพื้นที่สูงกับพื้นที่ต่ำนั้นเชื่อมต่อถึงกัน ขณะเดียวกันการที่น้ำทะเลขึ้นลงอย่างรวดเร็วมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับดวงดาวที่อยู่บนฟ้าด้วย หากแต่ขึ้นอยู่กับความถี่และจำนวนของอุโมงค์ที่เปิดออก”
“พระองค์ทรงหมายความว่า ทะเลเหมือนอย่างหมู่เกาะชาโดว์ไม่ได้มีที่เดียวเหรอเพคะ?”
“ถ้าอยากจะทำให้ทั้งทะเลน้ำวนขึ้นๆ ลงๆ อุโมงค์เพียงแค่แห่งเดียวเกรงว่าคงจะไม่พอแน่ ส่วนอุโมงค์เหล่านั้นจะมีโบราณสถานอยู่หรือเปล่านั้นก็ยังไม่อาจรู้ได้” โรแลนด์รู้สึกเหมือนจิ๊กซอว์ภายในหัวค่อยๆ ต่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา “ส่วนสิ่งที่หอคอยโบราณที่อยู่ตรงกลางหมู่เกาะชาโดว์เฝ้ามองอยู่ก็น่าจะเป็นอาณาจักรซีสกาย”
“อย่างนั้นประตูที่อยู่ในกล้องส่องทางไกลมันหมายความว่าอะไรเหรอเพคะ?” ไนติงเกลถามแทรกขึ้นมา
“อันนี้เกรงว่าคงมีแต่ผู้สร้างเท่านั้นถึงจะรู้ได้” เขาส่ายหัว “แต่ข้าคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นหอคอยสำหรับเฝ้ามองดู เวลาส่วนใหญ่มันมักจะจมอยู่ใต้น้ำ บอกตามตรงข้าไม่คิดว่ามันเป็นตำแหน่งสำหรับสังเกตการณ์เท่าไร ดังนั้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ทะเลชาโดว์มันอาจจะไม่ได้มีสภาพเหมือนอย่างทุกวันนี้หรือเปล่า ส่วนอาณาจักรซีสกายก็ไม่ได้สูงขนาดนี้? จนกระทั่งสงครามแห่งโชคชะตาได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป ผู้เฝ้ามองกับผู้ถูกเฝ้ามองล้วนแต่ไม่มีอยู่อีก มีเพียงแค่กล้องส่องทางไกลที่ถูกชักนำด้วยพลังเวทมนตร์ที่ยังคงจับตามองไปทางเป้าหมายเดิมที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง”
“ขออภัยที่หม่อมฉันพูดตรงๆ นะเพคะ นี่มันไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยเหรอเพคะ” คามิล่าสูดหายใจ “เปลี่ยนแปลงระดับความสูงของแผ่นดินสองแห่ง? พระองค์ทรงทราบไหมเพคะว่ามันจะส่งผลกระทบต่อทะเลทั้งทะเลมากแค่ไหน?”
“น่าจะฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งทวีปได้เลยล่ะมั้ง” โรแลนด์นึกถึงภาพคลื่นยักษ์ที่สูงยิ่งกว่าภูเขาลูกนั้นขึ้นมา “บางทีความตั้งใจเดิมของพระเจ้าอาจจะเป็นเช่นนี้แต่แรกแล้วก็ได้…แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น มันอาจจะไม่เป็นเป็นอย่างนั้นก็ได้” เขาสะกดความคิดฟุ้งซ่าน “สุดท้ายก็เป็นแผ่นดินสีดำที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรรุ่งอรุณที่โจนมองเห็นปีศาจทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโจมตีใส่มันอยู่ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาก่อนหน้านี้ดูแล้ว นั่นน่าจะเป็นดินแดนของพวกปีศาจ”
เขาเดินไปยังด้านบนของแผนที่ ก่อนจะใช้ดินสอชาโคลเขียนชื่อที่วัลคีรีย์บอกมาลงไปบนพรม
‘แบล็คสโตน’
………………………………………………………………………