ตอนที่ 1370 กลับบ้าน โดย Ink Stone_Fantasy

หลังประชุมเสร็จ ตัวแทนจากรัฐบาลทั้งสองคนได้รั้งตัวโรแลนด์เอาไว้ก่อน จากนั้นก็ได้ให้สัญญาว่าทางรัฐบาลจะผลักดันโครงการช่วยเหลืออกมามากขึ้น รวมไปถึงข้อมูลที่ได้จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์รุ่นแรกด้วย

แน่นอน สิ่งที่ทำให้พวกเขาให้สัญญาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพราะคำพูดของทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น วัตถุเวทมนตร์ที่มหัศจรรย์เหล่านั้นเองก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทางรัฐบาลกระตือรือร้นที่จะสนับสนุนเขาเช่นนี้ด้วย สรุปแล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างที่ผู้คุมร็อคว่าเอาไว้ การประชุมนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่วัน ศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลได้ทำการอุดจุดอ่อนทั้งหมดในสิ่งต่างๆ ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ทำมาจนถึงตอนนี้ ทุกๆ โครงการจะมีคนหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันคอยครุ่นคิดและปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น สงครามแห่งโชคชะตานั้นไม่ใช่ชะตาชีวิตของโลกเพียงโลกเดียวอีกต่อไป นี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์รับรู้ได้ว่ามนุษย์ที่หลงเหลือไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไป เบื้องหลังเขายังมีพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้คอยสนับสนุนอยู่ ถึงแม้ทั้งสองโลกจะยังไม่เคยติดต่อกันอย่างแท้จริงมาก่อน แต่ชะตาชีวิตของทั้งสองโลกก็ได้ผูกเข้าไว้ด้วยกันแล้ว

โรแลนด์ฉวยโอกาสนี้สั่งการให้สำนักบริหารเกณฑ์คนงานเพิ่มขึ้น แล้วก็สั่งให้สร้างโรงงานใหม่อีกสิบกว่าโรงงานเพื่อทำการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่ดินปืนผสมประสิทธิภาพสูงไปจนถึงเครื่องจักรที่ทำงานกึ่งอัตโนมัติ หลังจากแก้ไขข้อจำกัดเรื่องจำนวนประชากรและเศรษฐกิจไปได้แล้ว เมืองเนเวอร์วินเทอร์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาไปอย่างรวดเร็วก็ได้สร้างและพัฒนาตัวเองไปได้ตามที่เขาต้องการ อย่างน้อยก่อนที่ปัญหาความขัดแย้งว่าอีกโลกหนึ่งมีจริงหรือไม่ การพัฒนาอันนี้ก็ไม่มีทางหยุดลง

ในระหว่างที่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆ โรแลนด์ก็ได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจและน่าดีใจข่าวหนึ่ง

โจนที่หายตัวไปปีหนึ่งกลับมาแล้ว

หลังได้รับแจ้งข่าวนี้ เขากับไนติงเกลก็รีบเดินทางมาที่หน่วยพยาบาลที่หนึ่งของเนเวอร์วินเทอร์ทันที นับตั้งแต่ที่ออกคำสั่งขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานและขนาดของการรักษาพยาบาลภายในเมืองหลวงไป สำนักบริหารก็ได้สร้างหน่วยพยาบาลขึ้นมาอีก 3 แห่ง ได้แก่บริเวณชายฝั่งทางใต้ของแม่น้ำแดง ช่วงกึ่งกลางของถนนหลวงของอาณาจักรและที่ป้อมปราการลองซอง โดยหน่วยพยาบาลพวกนี้จะรับผิดชอบการรักษาโรคง่ายๆ และการป้องกันโรคระบาด ส่วนหน่วยพยาบาลหน่วยแรกสุดที่สร้างปรับปรุงขึ้นมาจากคฤหาสน์ของขุนนางและมีนาน่าคอยประจำการอยู่ก็ได้ถูกเรียกว่าหน่วยพยาบาลที่หนึ่ง

เมื่อเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย คามิล่า แดริลก็ได้โค้งตัวคำนับเขาเล็กน้อย

เวนดี้และทิลลีได้กลับมาจากแนวหน้า บุ๊คยุ่งอยู่กับการคัดลอกเอกสาร หัวหน้าแม่บ้านของเกาะสลีปปิ้งย่อมต้องรับหน้าที่ในการดูแลทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นคนเหตุการณ์ตอนที่โจนหายตัวไปด้วย ภายในใจเธอย่อมต้องรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เธอย่อมต้องรู้สึกดีใจที่ได้เห็นโจนกลับมาย่อมต้องมากกว่ากว่าใคร ในจุดนี้จะเห็นได้จากการที่เธอเป็นฝ่ายทำความเคารพเขา

เพราะที่ผ่านมาเธอคิดว่าโรแลนด์เป็นคน ‘ขโมย’ ทิลลีไป แล้วก็เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้แอชเชสต้องสละชีวิต ถ้าไม่เป็นเพราะได้รับรายงานแจ้งมาว่าอาณาจักรซีสกายอาจจะบุกโจมตีฟยอร์ดและเกาะสลีปปิ้ง เธอคงไม่มีทางที่จะย้ายมาอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แน่นอน

โรแลนด์ไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไรกับเรื่องนี้ เขาโบกมือเล็กน้อย “อาการของนางเป็นยังไงบ้าง?”

“บอกได้แค่ว่า…ไม่ร้ายแรงอะไรมากเพคะ”

“บอกได้แค่ว่า?” โรแลนด์ถามอย่างไม่เข้าใจ สำหรับเขาแล้ว การที่โจนกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

“นาง…กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพคะ” คามิล่าลูบหัวโจน ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ

หลังจากได้ฟังเธอเล่าเรื่องจนจบ โรแลนด์ถึงได้เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

โจนไม่ได้ว่ายกลับมายังท่าเรือน้ำตื้นด้วยตัวเอง

คนที่เจอเธอเป็นคนแรกคือชาวประมงชาวเนเวอร์วินเทอร์ที่เลี้ยงชีพด้วยการจับปลาคนหนึ่ง จากที่ชาวประมงคนนั้นรายงานมา เขาบอกว่าในขณะที่ตัวเองกำลังออกไปจับปลาที่นอกทะเล มีอยู่วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงกระแทกของวัตถุหนักๆ ที่ดังมาจากท้ายเรือ เมื่อเดินออกไปก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรกำลังแทะอาหารอยู่ เดิมเขาคิดว่านั่นเป็นปีศาจทะเล ในตอนที่กำลังคิดจะออกไปสู้ตาย เขากลับเห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นเป็น ‘ปลายักษ์’ ที่มีรูปร่างเป็นคน

ตอนนั้นเธอกำลังแทะปลาที่ตุ๋นอยู่ในหม้อ ท่าทางเธอเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน เมื่อเห็นชาวประมงที่กำลังตกใจกลัว เธอก็ไม่ได้โจมตีใส่เข้า หากแต่ส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา จากนั้นก็ขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือเหมือนกับหลับไปอย่างไรอย่างนั้น

เนื่องจากเคยได้ยินเมืองเนเวอร์วินเทอร์ป่าวประกาศมาเป็นเวลานานแล้ว ชาวประมงจึงลองพาเธอกลับมายังท่าเรือน้ำตื้น ค่าตอบแทนจากการช่วยเหลือแม่มดนั้นสูงกว่าการจับปลามาก การที่อีกฝ่ายมาอยู่กลางทะเลแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ปีศาจทะเลก็ต้องเป็นแม่มดเท่านั้น

และ ‘ปลายักษ์’ ตัวนี้ก็คือโจน

“ลิลลี่ได้ทำการตรวจนางดูแล้วเพคะ ทั่วทั้งร่างกายมีอาการติดเชื้อจากปรสิตอยู่หลายแห่ง แถมยังมีแมลงบางส่วนที่ไม่สามารถใช้พลังเวทมนตร์ กำจัดออกมาได้” คามิล่าพูดอย่างเจ็บปวด “เพื่อที่จะรีบกำจัดหนอนพวกนั้นออกไป หม่อมฉันเลยให้เฟิร์นหลับใหลแก่นางที่กำลังสลบอยู่ จากนั้นก็ใช้มีดเผ่าเอาหนอนมีเปลือกที่ฝังตัวอยู่ใต้ผิวหนังเหล่านั้นออกมา ตามหลักแล้ว หนอนพวกนี้มันจะปรากฏตัวอยู่บนเรือเก่าๆ หรือไม่ก็บนตัวปลาวาฬเท่านั้นเพคะ”

“พูดอีกอย่างก็คือโจนไม่ได้ว่ายกลับมาจากหมู่เกาะชาโดว์เหรอ?”

“ระยะทางแค่นั้นไม่สามารถทำให้หนอนพวกนี้มาฝังอยู่ในตัวนางได้เพคะ” เธอส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความเร็วในการว่ายน้ำของโจน ถ้าจะว่ายน้ำจากซากโบราณสถานกลับมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ไม่มีทางใช้เวลานานขนาดนี้ หม่อมฉันกังวลว่า..นางอาจจะไปเจออะไรบางอย่างที่น่ากลัวมา จนทำให้นางกลับไปเป็นเหมือนอย่างเก่าเพคะ”

ไม่สนแมลงปรสิตที่มาฝังอยู่ในตัว หิวจนขึ้นเรือชาวบ้านมาหาของกิน เหนื่อยจนเกือบจะสลบ นี่แสดงให้ว่าเส้นทางที่เธอกลับมานั้นเต็มไปด้วยอันตราย เมื่อต้องเผชิญกับความเครียดเป็นเวลานาน สภาพจิตใจของแม่มดอาจจะเกิดความเสียหายจนไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เมซีนั้นคือตัวอย่างที่ดีที่เห็นได้ชัด

คามิล่ามีความสามารถในการเชื่อมต่อกับวิญญาณ เธอย่อมไม่กลัวอีกฝ่ายจะพูดไม่ได้ สิ่งที่เธอกังวลจริงๆ ก็คือโจนจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนตอนแรกได้ และหลังจากนี้ก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ทั่วๆ ไป

โรแลนด์นิ่งเงียบไปทันที

ถูกต้อง การที่ร่างกายไม่เป็นไรไม่ได้หมายความว่าเธอจะสบายดี ไม่ว่าจะเป็นผ้าพันแผลของนาน่าหรือว่าน้ำยาวิเศษของลิลลี่ก็ล้วนแต่ไม่สามารถรักษาบาดแผลในจิตใจของเธอได้

ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะพลันทำลายความเงียบภายในห้องขึ้นมา

ไนติงเกลเดินไปเปิดประตูด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นลูน่าชะโงกหน้าเข้ามา

“เออ…ข้าได้ยินว่าโจนกลับมาแล้ว? เดี๋ยว เฮ้ พวกเจ้าอย่าเบียดสิ..”

ประตูถูกผลักจนเปิดออก แม่มดสามสี่คนเบียดเสียดกันเข้ามาในห้อง นอกจากลูน่าแล้ว คนอื่นๆ ก็ยังมีแอ็กเซีย ชารอนและเอมี่ คนที่เดินเข้าประตูมาเป็นคนสุดท้ายคือลิลลี่

“ข้าไม่รู้จะทำยังไง นางรู้เรื่องแล้ว” ลิลลี่พูดอย่างจนปัญญา

“อะแฮ่มๆ! ก่อนอื่นข้าขอบอกไว้ก่อนว่า ข้าแค่ได้ยินว่าโจนไม่สบาย ก็เลยมาเยี่ยมนาง!” ลูน่าพูดเสียงหนักแน่น “ถึงแม้นางจะเป็นคนของทีมนักสำรวจ แต่ตอนนี้ไลต์นิ่งกับเมซี่ไม่อยู่ ก็เลยมีแต่พวกข้าที่มาอยู่เป็นเพื่อนนางได้ ข้าไม่ได้คิดที่จะฉวยโอกาสนี้ดึงนางมาอยู่ในทีมนักสืบเลย…อื้อ….”

แอ็กเซียยื่นมือมาปิดปากนางเอาไว้

“นี่เป็นความคิดของนางคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะ” ชารอนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เอ๋ มีสมาชิกเพิ่มอีกคนไม่ดีเหรอ?” เอมี่เกาหัวอย่างงุนงง

“ชู่วว!” ลิลลี่ทำมือบอกให้เงียบ

เมื่อเห็นเหล่าแม่มดเถียงกันไปมา โรแลนด์จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขามองไปทางคามิล่า แดริล ก่อนจะผายมือแล้วยักไหล่ อีกฝ่ายงงไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าจึงดูผ่อนคลายลง

บางทีโจนอาจจะเจอเรื่องอะไรที่น่ากลัวมา แต่เมื่อมีผองเพื่อนเหล่านี้อยู่ เขาเชื่อว่าช้าเร็วเธอจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่

….

“เฮ้ นี่มันคืออะไรเนี่ย?”

“เหมือนจะเป็นผ้าไหม…”

“ทำไมในศูนย์พยาบาลถึงมีผ้าไหมด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วยังเป็นผ้าไหมชั้นดีด้วย”

“ถ้าไง ลองไปถามคุณน้าคามิล่าดูดีไหม”

“…แล้วทำไมเจ้าไม่ไปถามเล่า?”

“ข้าไม่กล้า”

ข้าได้ยินนะ คามิล่าที่ยังอยู่ข้างเตียงกุมขมับขึ้นมา “นั่นมันเป็นผ้าที่โจนใช้พันแผล ตอนนั้นรีบๆ ก็เลยไม่เอาออกไม่หมด ระวังนะ บนนั้นมีเชื้อโรคอยู่ ในหนังสือของฝ่าบาทเคยบอกใช่ไหมล่ะว่าอย่าไปซี้ซั้วจับสิ่งที่อาจจะเป็นแหล่งของเชื้อโรค”

หลังจากโรแลนด์กับไนติงเกลเดินออกไป ภายในห้องพักผู้ป่วยก็เหลือแค่เธอกับเหล่าสมาชิกทีมนักสืบ เหล่าแม่มดห้อมล้อมเตียงคนไข้คอยช่วยทำนั่นทำนี่ ทั้งวันถือว่าช่วยงานได้ไม่น้อยทีเดียว โจนมีเพื่อนที่ดีแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ปัญหาเพียงอย่างเดียวนั้นอยู่ที่ว่าพวกเธอพูดมากไปหน่อยเท่านั้น

“บนนี้มีเชื้อโรคด้วยเหรอ? ลิลลี่ เจ้าลองดูหน่อยว่ามีไหม?”

“เอามัน ออกไป จากหน้า…ข้า!”

“เฮ้ เจ้าอย่าฉีกมันสิ หืม? เจ้านี่เหมือนจะฉีกไม่ขาดแฮะ…ชารอน เจ้าช่วยข้าหน่อย”

“เหมือนจะเหนียวมากเลย…แอ็กเซียมาลองดูไหม?”

ไม่ เธอขอถอนคำพูด เจ้าพวกนี้ไม่ได้พูดเยอะไปหน่อย แต่โคตรพูดมากเลยต่างหาก! ในขณะที่คามิล่ากำลังจะใช้ข้ออ้างว่า ‘วันนี้มืดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน’ เพื่อไล่พวกนางกลับไปที่ปราสาท จู่ๆ หนังตาของโจนพลันกระตุกขึ้นมา

เธอรีบกลั้่นหายใจ

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที สาวน้อยที่ก่อนหน้านี้นอนสลบพลันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

“ยา..”

โจนอ้าปาก พร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงออกมา

ภายในห้องเงียบเสียงทันที

เธอพูดไม่ได้จริงๆ ด้วย…

คามิล่าสะกดความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ ก่อนจะยื่นมือไปวางไว้บนหน้าอกของโจน

ทันใดนั้นเอง ภาพความทรงจำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันไหลทะลักเข้ามาในหัวของเธอ! ทันทีที่เธอถามคำถาม เธอก็จะได้รับคำตอบกลับมาทันที นี่คือเสียงสะท้อนแห่งวิญญาณ!

เธอมองเห็นตัวเองถูกดึงจนตัวยืดยาวอยู่ในท้องทะเลที่มืดมิด ราวกับเป็นภาพลวงตาที่บิดเบี้ยว

เธอมองเห็นท้องฟ้ากับทะเลกลับหัวกลับหาง น้ำทะเลไหลทะลักลงไปจากบนท้องฟ้า

เธอมองสัตว์ประหลาดโครงกระดูกที่ดำทะมึนกระจายอยู่เต็มทะเลกลายเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ พร้อมกับโจมตีใส่แผ่นดิน

เธอมองเห็นแผ่นหินที่ตั้งเรียงเป็นชั้นๆ อยู่ท่ามกลางหมอก และหญิงสาวในชุดสีขาวที่เดินเข้ามาหาเธอ

สิ่งสุดท้ายที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาคือหลุมวงกลมขนาดยักษ์ที่กว้างสุดลูกหูลูกตาและลึกจนมองไม่เห็นก้น

…………………………………………………………..