ขนลุกไปทั้งตัวอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ลู่ฝานฟื้นขึ้นมาบนโต๊ะ

โต๊ะไม้ยังเป็นโต๊ะไม้ตัวเดิม เหล้ายังเป็นเหล้าไหเดิม ร้านก็ยังเป็นร้านเดิม เถ้าแก่อ้วนก็คนเดิม

ลู่ฝานประคองหัวตัวเองที่รู้สึกมึนเล็กน้อย มองเถ้าแก่อ้วนแล้วพูดว่า “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น พวกเขาโยนอะไรเข้ามาในหัวฉัน”

เถ้าแก่อ้วนยิ้มอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นายดื่มจนเมาแล้ว”

ลู่ฝานเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวา ร้านว่างเปล่า มีเพียงเขากับสิบสามที่กำลังหลับลึก ไม่มีเงาของยอดฝีมือทั้งสามคน

ลู่ฝานมองเถ้าแก่อ้วน แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “เมื่อกี้ฉันหลับตลอดเลยเหรอ”

เถ้าแก่อ้วนแทะเมล็ดแตงโมพลางพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ ฉันนึกว่านายจะคอแข็งขึ้นซะอีก คิดไม่ถึงว่าพอดื่มก็คอพับ นายยังต้องฝึกอีกนะ!”

ลู่ฝานพยักหน้า ยื่นมือไปตบปลุกสิบสาม เอาเจ้าดำมาวางไว้บนไหล่

“ดื่มไม่ได้อีกแล้ว ดื่มอีกจะเสียการเสียงาน เถ้าแก่อ้วน ขอตัวก่อนนะครับ ฉันวางค่าเหล้าไว้บนโต๊ะนะครับ”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเอายาออกมาวางไว้บนโต๊ะหนึ่งขวด

เขาไม่รู้ราคาของเหล้านี้ แต่เขาคิดว่าเหล้าน่าจะราคานี้

วันนี้เถ้าแก่อ้วนก็แปลก ไม่ให้ลู่ฝานเก็บยาเอาไว้ ปกติเขาไม่ยอมรับของของลู่ฝานเด็ดขาด

ลู่ฝานเดินโงนเงนออกจากร้านเหล้า

ลู่ฝานตบหัว จำไม่ค่อยได้ว่าเมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างใน

เขาจำได้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่นึกไม่ออก เหมือนตื่นจากฝันแล้วจำความฝันไม่ได้

สิบสามที่อยู่ด้านหลังก็มีใบหน้าสับสน เขาไม่เคยดื่มจนเมามาก่อนเลย

ไม่ใช่เพราะเขาคอแข็ง แต่เมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเมา เขาจะไม่ดื่มอีก แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น

ลู่ฝานกับสิบสามเดินมาออกมาข้างนอก สายลมของการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ พัดผ่านหน้าเบาๆ

บนถนน มีคนจำลู่ฝานได้ จึงเอ่ยทักทายจากไกลๆ “สวัสดีครับคุณชายลู่”

คนเมืองหลวง มีประสบการณ์มากมายจริงๆ แม้จะนับถือเลื่อมใส แต่ไม่เหมือนคนในเมืองเล็กๆ ที่กรูกันเข้ามาขอลายเซ็น ถึงขั้นที่อยากให้คนที่ตัวเองเลื่อมใสนับถือ เปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกทันที และทำตัวเหลวไหลไร้สาระ

ประชาชนส่วนใหญ่ของเมืองหลวง ล้วนมีใจที่เย่อหยิ่งอยู่บ้าง

พวกเขาก็ชอบและเลื่อมใสใครสักคนเหมือนกัน แต่ไม่มีทางทำเรื่องอย่างเช่นขวางทางคนอื่นบนถนน เพื่อต้องการสิ่งของ พวกเขาคิดว่านั่นคือการกระทำที่ไร้ระดับสุดๆ เจอคนไร้มารยาทแบบนี้ คนข้างๆคงอดลากคนแบบนี้ออกไปไม่ไหว

ดังนั้นลู่ฝานจึงเดินบนถนนได้อย่างสบาย

“ใช่เขาหรือเปล่า”

บนร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล คุณชายถือพัดขนนกคนหนึ่ง มองลู่ฝานจากไกลๆ แล้วเอ่ยขึ้น

มองลู่ฝานจากตรงที่เขาอยู่ ถ้าเป็นคนอื่นคงเห็นเพียงกองจุดดำเล็กๆ ถ้าเป็นคนที่วิทยายุทธไม่ดี การมองเห็นไม่แข็งแกร่ง ไม่มีทางเห็นหน้าลู่ฝานได้อย่างชัดเจน

“ใช่เขา!”

คนสวมชุดข้าราชการที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น

เข็มขัดทองสัมฤทธิ์ที่เอว มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข” ไม่ต้องถามอะไรมาก คือเครื่องแต่งกายขององครักษ์ดูแลเมือง แต่ดูเขามีลายประดับเล็กน้อย เสื้อที่มีไหมสีเงินตรงชายแขนเสื้อ คิดว่าเขาน่าจะเป็นระดับหัวหน้า

“อืม ดีมาก ทำตามที่คุณท่านสั่ง”

คุณชายพูดเสียงเบา หัวหน้าองครักษ์ดูแลเมืองตรงหน้าคำนับพร้อมส่งเสียงตอบรับ สะบัดมือไปฝั่งไกลๆ ฝั่งนั้นมีจุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าอยู่แห่งหนึ่ง

ลู่ฝานมาถึงจุดวาร์ปอย่างรวดเร็ว

จุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าของเมืองหลวง ถือว่าเป็นจุดที่เป็นเอกลักษณ์มาก

เสาอักษรยันต์สี่ต้น องครักษ์สองคน แสงค่ายกลหนึ่งแสง เป็นรูปแบบมาตรฐาน

จุดค่ายกลเคลื่อนฟ้าแห่งหนึ่ง ระยะทางที่สามารถวาร์ปได้ไกลสุดคือประมาณหมื่นลี้ จำกัดให้ใช้ได้แค่ในเมืองหลวงเท่านั้น