“ดูท่าไม่น่าจะผิด ควรเป็นแนวปะการังมารวานรนั่นจริงๆ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวมองยอดเขานิ่งๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยเปล่งวาจาเบาๆ ออกมา

“ตามที่สหายเชียนชิวพูด เกาะนั่นก็คือทางที่มารวานรมองไป ซึ่งเป็นพื้นที่ทางทะเลที่เกินกำหนดการเดินทางในหนึ่งเดือน เช่นนี้ ควรไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้ว”

หลังจากสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกสำรวจมองยอดเขาขึ้นๆ ลงๆ ก็ชะเง้อมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พลางพูดอย่างใจเย็น

“ตามคำพูดของใต้เท้าเผ่าเราท่านนั้น เกาะอยู่ประมาณตำแหน่งนี้จริงๆ แต่ว่า…” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวมีท่าทีลังเลเล็กน้อย

“จนถึงตอนนี้แล้ว สหายยังมีอะไรที่พูดกันชัดๆ ไม่ได้อีก” บรรพชนตระกูลหล่งเห็นดังนี้ ก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่ค่อยพอใจ

“พี่หล่งเข้าใจผิดแล้ว ใช่ว่าที่ข้าไม่พูดเพราะมีอะไรปิดบัง แต่ใต้เท้าท่านนั้น นอกจากเบาะแสด้านหน้าแล้วช่วงท้ายตอนที่คนรุ่นหลังอย่างเราเข้าใกล้เกาะ ยังบอกเป็นนัยว่า ต้องระมัดระวังให้มากๆ คล้ายมีอันตรายที่ไม่ทราบแน่ชัดอยู่ใกล้ๆ เกาะ ทว่าใต้เท้าท่านนี้พูดเรื่องนี้ทิ้งท้ายไว้อย่างคลุมเครือ ซึ่งพวกเราก็ไม่รู้รายละเอียด ข้าถึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับพวกสหายก่อนหน้านี้”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วย! ใต้เท้าผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นเป็นผู้ซึ่งดำรงอยู่ในระดับมหาเมธีท่านหนึ่ง ถ้าขนาดเขายังรู้สึกว่าต้องระวัง เกรงว่าสำหรับเราแล้วเป็นการเสี่ยงอันตรายยิ่ง เราจึงต้องป้องกันตัวให้ดีขณะเข้าไป”

พอได้ยิน หานลี่ก็มีท่าทางเคร่งขรึมลง

“ไม่ผิด จนถึงตอนนี้ สหายทุกท่านมีวิธีสำรองอะไร ล้วนเตรียมตัวก่อนได้เลย เดี๋ยวข้าจะวางค่ายกลสองสามหลังบนเรือยักษ์ อย่างน้อยก็เพิ่มพลังให้เรือวิญญาณได้กว่าครึ่ง” ปราชญ์เฒ่าเผ่าวิญญาณกระแอมไอเบาๆ ก่อนพูด

หลังจากบรรพชนตระกูลหล่งหน้าเปลี่ยนสี ก็พูดอย่างระมัดระวัง

“ในมือของผู้แซ่หล่งยังมีหุ่นเชิดศิลา ที่ตกทอดมาแต่สมัยโบราณอยู่สองตัว แม้วิธีการจู่โจมเรียบง่ายไปหน่อย แต่ถ้าพูดถึงขีดความสามารถในการป้องกัน กลับอยู่ในระดับพอๆ กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่ถ้าคิดกระตุ้นมัน ต้องเริ่มร่ายมนตร์ปลุกเสกล่วงหน้าสิบกว่าวันรอบหนึ่งจึงจะได้”

“ผู้แซ่หานมีธงอาคมแนวตั้งที่ทรงพลังไม่น้อยชุดหนึ่ง วางไว้บนเรือเช่นกัน”

หานลี่ครุ่นคิดสักพัก จึงเอ่ยปากขึ้น

ธงอาคมแนวตั้งชุดนี้ ย่อมได้มาจากมือของจอมมารที่ถูกเขาสังหารตนหนึ่ง สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้ว พลังนี้ไม่ควรมองข้ามจริงๆ

“ข้าเลี้ยงแรดน้ำเย็นไว้สองสามตัว ซึ่งพูดได้ว่ามีผิวหนังที่ทั้งหยาบทั้งหนา และไอเย็นที่พ่นออกมาก็ค่อนข้างร้ายกาจ ใช้พวกมันแทนอสูรทะเลในตอนนี้ไปก่อนก็แล้วกัน”

หลังจากครุ่นคิดสักพัก สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวก็พูดขึ้น

คนอื่นๆ พอเห็นหานลี่และเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายแสดงท่าทีให้เห็นก่อน ก็หันมาสุมหัวกันสักพัก แล้วจึงทยอยกันนำสมบัติวิเศษออกมาเช่นกัน

ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า สมบัติวิเศษที่นำออกมาเหล่านี้ มิใช่ของซึ่งใช้ปกป้องชีวิตที่แท้จริง ที่กลุ่มคนมีอยู่ในมืออย่างแน่นอน แต่หลังจากจัดวางไว้ จะทำให้เรือยักษ์มีความสามารถในการป้องกันสูงขึ้นมาก

กลุ่มคนจะได้อยู่กลางอากาศได้อย่างวางใจมากขึ้น!

ช่วงเวลาต่อมา ทิศทางของเรือยักษ์ก็เปลี่ยน มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้

ผู้คนไม่น้อยบนเรือยักษ์จึงเริ่มยุ่งเหยิงกันขึ้นมา

หานลี่นำธงอาคมแนวตั้งในมือชุดนั้น ไปปักตามจุดสำคัญไม่กี่จุดบนเรือยักษ์

ปราชญ์เฒ่าเริ่มสลักลวดลายอักขระยันต์บางอย่างไว้บนพื้นผิวของเรือยักษ์ และฝังจานค่ายกลบางอย่างลงไปในนั้น

จากนั้นไม่นาน เรือยักษ์ก็มีรูปโฉมใหม่หมดทั้งลำ

อสูรทะเลที่ลากเรืออยู่ด้านหน้า ก็เปลี่ยนเป็นแรดสูงห้าหกจั้งแปดตัว ซึ่งผิวกายเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาหนึ่งชั้นแบบอสูรทะเล!

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา!

วันนี้ เรือยักษ์ยังคงเหาะอยู่บนทะเลกำเนิดมาร ทว่าน้ำทะเลสีดำที่สงบนิ่งไร้คลื่นลมอยู่แต่เดิม สุดท้ายก็ปั่นป่วน คลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าลูกแล้วลูกเล่า ซัดเข้าใส่เรือยักษ์จากทุกทิศทุกทาง

เมฆดำที่อยู่ในระดับต่ำ เคลื่อนต่ำลงอีก จนถึงระดับความสูงห้าหกสิบจั้ง

เสียงลมพัดแรงดังก้องอยู่ในเมฆหมอก กระแสไฟขนาดใหญ่ตกจากฟากฟ้าเป็นระยะ ผ่าลงไปที่เรือยักษ์โดยตรง ท่ามกลางกระแสไฟสีเงินวิบวับหลายสาย

แต่เรือยักษ์ถูกม่านแสงสีเขียวชั้นหนึ่งครอบไว้ พอกระแสไฟจู่โจมถูกด้านบนนิดเดียวก็วาบหายไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนด้านหน้าของเรือยักษ์ หานลี่กับพวกบรรพชนตระกูลหล่งยืนปักหลักอยู่ตรงนั้น กำลังคุยอะไรกันเบาๆ พลางมีท่าทีค่อนข้างเครียด

“เข้าสู่ผืนทะเลแห่งนี้มาเจ็ดวันแล้ว ยังไม่พบเกาะนั่นเลย หรืออันตรายที่ออกจากปากใต้เท้าผู้สูงศักดิ์ท่านนั้น หมายถึงคลื่นลมเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้านี้”

บรรพชนตระกูลหล่งพูดพลางมองดูคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่านอกเรือยักษ์ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง

“พี่หล่งล้อเล่นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะหมายถึงปัญหาเล็กน้อยแค่นี้แน่! ตอนนี้สิ่งสำคัญคือ พลังจิตของพวกเราถูกรบกวนอย่างหนักในผืนทะเลแห่งนี้ สัมผัสความเคลื่อนไหวได้ในระยะสิบลี้เท่านั้น เช่นนี้ การตามหาเกาะนั่นก็น่าจะยากลำบากแล้ว” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวพูดพลางขมวดคิ้ว

“โชคดีที่พี่หานกับพี่ไป๋ล้วนมีอิทธิฤทธิ์ดวงตาวิญญาณ สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ในที่ที่ไกลออกไป มิเช่นนั้นเราคงต้องกลายเป็นพวกงมเข็มในมหาสมุทรกันจริงๆ แล้ว”

หานลี่ในตอนนี้ แสงสีน้ำเงินในดวงตาทั้งสองข้างทอประกาย ขณะมองไกลไปทางด้านข้างด้านหนึ่งของเรือยักษ์ ส่วนด้านข้างอีกด้าน ไป๋ชีซึ่งเปล่งแสงสีขาวตลอดทั้งร่าง แม้ยังคงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน แต่คลับคล้ายเห็นแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกจากหน้าผากของเขาดุจภาพเสมือนจริง ก่อนหายเข้าไปในคลื่นยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งซัดมาจากอีกด้านหนึ่ง

“พี่หล่ง ดีที่สุดอย่าคาดหวังจริงจังว่าดวงตาวิญญาณอันใสกระจ่างของข้าจะมีประโยชน์มาก ดวงตาวิญญาณของข้ากับดวงตาวิญญาณโดยกำเนิดของพี่ไป๋ไม่เหมือนกัน ข้าฝึกสำเร็จได้ในภายหลัง ทุกครั้งที่ใช้ล้วนกินพลังยุทธ์มาก จึงไม่สามารถใช้บ่อยจนเกินไป”

หานลี่เก็บแสงสีน้ำเงินในดวงตาลง และหันมายิ้มขมขื่นก่อนพูด

“พี่หานถ่อมตนเกินไปแล้ว แม้ดวงตาวิญญาณของสหายไม่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าสามารถช่วยสหายไป๋ได้เล็กน้อย ก็เท่ากับเพิ่มโอกาสมากขึ้นในการค้นหาเป้าหมายของเราแล้ว”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างเกรงใจยิ่ง

หานลี่ได้ยินดังนี้ มุมปากก็กระตุก หัวเราะขมขื่นออกมา และมิได้แบ่งแยกอะไรอีก โคจรพลังยุทธ์ในร่างอีกรอบ กระตุ้นอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาใหม่

บรรพชนตระกูลหล่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิว แม้ไม่มีอิทธิฤทธิ์ดวงตาวิญญาณ ก็ไม่มีเจตนาที่จะรีบกลับเข้าไปในห้องโดยสาร ต่างยืนอยู่ด้านข้าง คิดอะไรบางอย่างเงียบๆ

ทว่าสีหน้าที่สงบนิ่งของทั้งสอง กลับทำให้มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่

เวลาผ่านไปทีละน้อย!

หานลี่เก็บแสงสีน้ำเงินในดวงตาลงอีกครั้ง หลังจากยืนอยู่กับที่ปรับลมหายใจสักพัก ค่อยกระตุ้นดวงตาวิญญาณขึ้นอีกโดยปริยาย มองไกลไปทางทะเล

แต่ครั้งนี้ แสงสีน้ำเงินในม่านตาเพียงกะพริบไม่กี่ที สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจไม่หยุด ทำการปรับพลังยุทธ์ในร่างกว่าครึ่งทันที

แสงสีน้ำเงินในดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นเจิดจ้าขึ้น กระทั่งคนอื่นๆ ที่เห็นจากระยะไกล ก็ล้วนรู้สึกแสบตาอยู่บ้าง พฤติกรรมแปลกๆ เช่นนี้ของหานลี่ ย่อมทำให้บรรพชนตระกูลหล่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวสะดุ้ง แต่ทั้งสองก็มิได้เอ่ยปากรบกวนอะไร กลับหันแววตาที่ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่งมา จ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของเขาพร้อมกัน

“พี่ไป๋ ท่านมองมาทางด้านข้าตรงที่ที่ห่างออกไปห้าพันลี้หน่อย ดูว่าใช่ข้ามองอะไรผิดไหม”

หานลี่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปพูดกับไป๋ชีทันที

“ห้าพันลี้ พี่หานมองไกลได้ถึงเพียงนี้! ถ้าไกลแบบนี้ ผู้แซ่ไป๋ก็ได้แต่ลองพยายามดูสักตั้งแล้ว”

ไป๋ชีมองหานลี่อย่างตื่นตระหนก ค่อยฝืนพยักหน้าตอบรับ

จากนั้นเขาก็เอียงศีรษะ พอแสงสีขาวที่พุ่งออกเปลี่ยนทิศ ก็กวาดไปยังทิศทางที่หานลี่มองอยู่ ขณะเดียวกันแสงสีขาวบนร่างเขาก็ไหลเวียนชั่วขณะ แล้วจึงสว่างขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นาน แสงสีขาวที่ไป๋ชีพ่นออกก็ดับลง เขาค่อยพูดอย่างเคร่งขรึม

“ตรงนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างจริงๆ แต่ไกลเกินไป ข้าเห็นไม่ชัดเจน จึงยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเกาะ”

“สหายทั้งสอง พวกท่านเห็นอะไรกันแน่” บรรพชนตระกูลหล่งส่งเสียงถามอย่างอดรนทนไม่ไหวอีก

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวย่อมตั้งสติ ตั้งใจฟัง

“ตรงนั้นมีพื้นที่ผืนหนึ่งถูกสายฟ้าครอบไว้ ด้านในเหมือนมีเงาดำผืนหนึ่ง สืบเนื่องจากพลังแห่งสายฟ้าปกปิดอยู่ จึงไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน” หานลี่ไม่คิดอุบ พูดออกมาตามตรง

“สายฟ้า ฝ่ายเราก็มีพลังแห่งสายฟ้าเหมือนกันมิใช่หรือ ต่างกันตรงไหน” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวขมวดคิ้ว พลางถามอย่างงุนงงเล็กน้อย

“รายละเอียดต่างๆ ผู้แซ่หานไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก รอให้ใกล้ถึงด้านหน้า พอสหายทั้งสองท่านเห็นก็จะรู้เอง” หานลี่สั่นศีรษะ ก่อนตอบด้วยท่าทางแปลกๆ

“ดี รีบหันหัวเรือ!” บรรพชนตระกูลหล่งพูดอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งไปทางแรดน้ำเย็นแปดตัวที่อยู่ด้านหน้า แล้วจิ้มไปยังท้องฟ้าอีกด้านที่อยู่ไกลออกไป

เรือยักษ์พลันสั่น แล้วเหาะไปยังผืนทะเลตรงทิศที่หานลี่มองอยู่ทันที

ขณะนั้น ภายใต้การส่งเสียงบอกของบรรพชนตระกูลหล่ง คนเผ่าวิญญาณและพวกสาวน้อยเสื้อคลุมขนนก ก็ทยอยกันออกจากห้องโดยสารเรือ พร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน

ผ่านไปครึ่งวัน เรือยักษ์ก็แล่นมาไกลหลายพันลี้ และในที่สุดก็เห็นผืนทะเลที่หานลี่พูดถึง

เห็นเพียงบนผิวทะเลดำด้านหน้า แสงไฟสีเงินระนาบใหญ่พุ่งลงมาจากฟากฟ้าราวกับน้ำตก กระทบทะเลอย่างแรง กลายเป็นลูกบอลสายฟ้านับไม่ถ้วนลอยและสั่นอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นค่อยระเบิดออกทีละลูก ก่อตัวเป็นทะเลสายฟ้าขนาดใหญ่

ส่งเสียงดังกระหึ่ม สะท้อนก้องไปทั่วฟ้า!

ถ้ามองทะลุผ่านฝนสายฟ้าที่คล้ายน้ำตกกลางอากาศเข้าไป คลับคล้ายสามารถเห็นเงาดำพร่ามัวผืนใหญ่ที่อยู่กลางทะเลสายฟ้า

แต่ท่ามกลางแสงไฟตรงหน้า คนธรรมดาไม่มีทางมองเห็นอะไรชัดเจน

ทว่า เมื่ออยู่ใกล้ขนาดนี้ สำหรับผู้ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ดวงตาวิญญาณอย่างหานลี่กับไป๋ชี ย่อมไม่นับเป็นอะไรได้

ตอนที่อยู่ไกลออกไปพันลี้ ทั้งสองยืนยันพร้อมกันว่าเห็นเงาดำในทะเลสายฟ้า ซึ่งก็คือเกาะที่มีขนาดใหญ่ เพียงแต่ทั้งเกาะถูกปิดกั้นไปด้วยทะเลสายฟ้าแบบเดียวกันทุกทิศทุกทาง

ไม่ว่าพวกเขาจะไปทางไหน ล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะฝ่าเข้าไปตรงๆ

“หรืออันตรายที่พูดถึงนั่น หมายถึงสายฟ้าเหล่านี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ แม้ลำบากอยู่บ้าง แต่การฝ่าเข้าไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา” บรรพชนตระกูลหล่งจ้องมองทะเลสายฟ้าด้านหน้า พลางขบคิดเล็กน้อยก่อนพูด

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวขมวดคิ้วแน่น กลับมิได้โต้แย้งอะไรชั่วขณะ

“ถ้าพี่หล่งคิดเช่นนี้ อาจคิดผิดจุดแล้ว”

หลังจากหานลี่แหงนหน้าขึ้น มองไปยังที่ที่ไกลออกไปเหนือทะเลสายฟ้าให้ถ้วนถี่หลายรอบ พอแสงสีน้ำเงินในดวงตาทอประกาย จึงพูดขึ้นทันที

 “พี่หานพูดเช่นนี้ หรือว่าเห็นอะไรอีก” บรรพชนตระกูลหล่งตกใจวาบ จ้องมองหานลี่พลางพูดช้าๆ