หานลี่ยิ้มน้อยๆ เพียงใช้นิ้วจิ้มไปยังเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือทะเลสายฟ้า แล้วไม่พูดอะไรอีก

ช่วงที่คนอื่นๆ ยังค่อนข้างกังขา ไป๋ชีก็ใช้ดวงตาวิญญาณกวาดมองเข้าไปในก้อนเมฆ ไม่ทันไรก็ร้องเสียงหลงออกจากปาก

“นั่นสัตว์ประหลาดอะไร ตัวใหญ่นัก!”

คนอื่นๆ อึ้ง หันมองตามเช่นกัน แต่ก็เห็นเพียงแสงไฟกะพริบในเมฆดำ มองไม่เห็นอะไรเลย

หลังจากหานลี่สูดหายใจเข้าเบาๆ ก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าจับที่ว่าง กระบี่ยาวสีเขียวขมุกขมัวเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นในมือ พอสั่น ก็ฟันลงไปในที่ว่างบนท้องฟ้าซึ่งอยู่ห่างออกไป

หลังจากเสียงใสๆ ดัง แสงกระบี่สีเขียวสายหนึ่งก็ม้วนตัวพุ่งออก กะพริบวาบ ขยายใหญ่เป็นร้อยกว่าจั้ง ฟันลงบนเมฆดำที่อยู่ด้านหน้าเสียงดังลั่น

การฟันในครั้งนี้ หานลี่ใช้อิทธิฤทธิ์อันเกรียงไกรและทรงพลังยิ่ง เล่นเอากลุ่มคนพากันตกตะลึง!

ที่ที่แสงสีเขียววาบผ่าน ที่ว่างใกล้เคียงล้วนบิดเบี้ยว เมฆดำเหนือทะเลสายฟ้าถูกตัดขาดออกจากกันซึ่งๆ หน้า จนเห็นเป็นช่องยาวประหลาด คล้ายคูน้ำตามธรรมชาติ

และเมื่อมองทะลุช่องนี้ไป พวกบรรพชนตระกูลหล่งคลับคล้ายเห็นอสูรยักษ์สีทองตัวใหญ่ดุจภูเขาเลากาตัวหนึ่ง ลอยนิ่งๆ อยู่บนท้องฟ้า

อสูรตัวนี้มีขนาดใหญ่มหึมา สีทองอร่ามทั้งตัว และมีกระแสไฟประหลาดนับไม่ถ้วนไหลวนทั่วร่าง สว่างไสวพร่างพราวยิ่ง!

บรรพชนตระกูลหล่งเห็นเพียงกระดองแข็งสีทอง และหนามแหลมเป็นท่อนๆ ชี้ขึ้นด้านบน กลับไม่สามารถแยกแยะออกว่าเป็นอสูรมารชนิดใดชั่วขณะ

แค่พลังปราณเสี้ยวหนึ่งของอสูรยักษ์ที่แผ่กระจายออกมาจากช่อง ก็ทำให้กลุ่มผู้ดำรงอยู่ในระดับผสานอินทรีย์หน้าถอดสีไปตามๆ กัน

แต่พอพลังจิตสัมผัสได้ถึงพลังปราณ กลับถูกดูดเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่มีสิทธิ์ตรวจจับแม้แต่น้อยว่าลึกล้ำเพียงใด และในพลังปราณยังแฝงพลังกดดันน้อยๆ มาเป็นระยะ ทำให้พวกบรรพชนตระกูลหล่งและเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ตื่นตกใจ

พลังปราณอันน่าเกรงขามเช่นนี้ ทำให้คำว่า “วิญญาณแท้” วาบขึ้นในใจพวกเขา

ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือ หานลี่เคลื่อนไหวใหญ่โตถึงสองครั้งสองครา แต่อสูรยักษ์สีทองตัวนี้ก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับแต่อย่างใด คล้ายกับมันได้เข้าสู่ช่วงหลับสนิทไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มิเช่นนั้นกลุ่มคนบนเรือยักษ์ไหนเลยจะกล้าหยุดแม้เพียงครึ่งนาที เผ่นหนีไปอย่างไม่ลังเลใจใดๆ แต่แรกแล้ว

ทว่าขนาดแค่นี้ พวกผู้อาวุโสฮุยก็ยังหน้าซีดขาว หันมองไปมารอบทิศอย่างรวดเร็ว ท่าทางเผื่ออสูรยักษ์สีทองขยับ จะได้รีบเหาะหนีออกจากเรือยักษ์

กลุ่มคนบนเรือยักษ์นิ่งเงียบ ไร้สุ้มเสียงชั่วขณะ!

ผ่านไปพักหนึ่ง จู่ๆ ไป๋ชีก็พูดคำพูดที่ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกเบาใจลงออกมา

“สหายทุกท่านไม่ต้องกังวลใจไป ร่างของอสูรตัวนี้ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด น่าจะเป็นเพียงซากๆ หนึ่งเท่านั้น”

“อะไรนะ แค่ซากศพ พี่ไป๋ดูไม่ผิดแน่นะ” สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง

“ข้าน้อยเคยฝึกอิทธิฤทธิ์ชนิดหนึ่ง สามารถสัมผัสถึงสัญญาณชีพของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ผู้แซ่ไป๋ไม่พบการดำรงอยู่ของซากนี้ ก็เพราะอิทธิฤทธิ์ไม่ตอบสนอง” ไป๋ชีพูดเรียบๆ

“เมื่อพี่ไป๋พูดเช่นนี้ น้องก็เบาใจลงแล้ว พลังปราณตกค้างของซากๆ หนึ่งยังน่ากลัวขนาดนี้ เห็นทีเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะเป็นซากวิญญาณแท้จริงๆ”

ในที่สุดสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกก็วางใจลง แต่ขณะมองไปยังทะเลสายฟ้าอีกครั้ง ตาสวยก็ทอประกายอย่างอดไม่ได้

แค่คิดก็รู้แล้วว่า ซากวิญญาณแท้นั้นล้ำค่าเพียงใด!

อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่พลังปราณแท้บริสุทธิ์ที่ตกค้างอยู่ในซากจำนวนหนึ่ง ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า กายวิญญาณแท้ก็คือวัตถุดิบในการปรุงยาวิเศษซึ่งหายากที่สุดในโลกนี้มาแต่ไหนแต่ไร แค่ชิ้นเล็กๆ ของมันก็เพียงพอที่จะทำให้นักเล่นแร่แปรธาตุนับไม่ถ้วนคลุ้มคลั่งได้

คนอื่นๆ ก็ฉุกใจขึ้นมาทันทีเช่นกัน

หานลี่ลูบคางไปมา มุมปากกลับมีรอยยิ้มที่ยากแท้หยั่งถึง

ขณะนั้น ช่องขนาดใหญ่ที่ถูกแสงกระบี่ฟัน ก็ค่อยๆ สมานเข้าหากันดังเดิม ปกปิดกายสีทองของอสูรยักษ์อีกครั้ง ท่ามกลางเมฆดำที่ม้วนตัวอยู่โดยรอบ

กลุ่มคนค่อยเก็บสายตาคืนกลับพร้อมสีหน้าที่แตกต่างกัน

“พี่ไป๋ ท่านดูออกหรือไม่ว่าอสูรตัวนี้ เป็นซากวิญญาณแท้ชนิดใดหลงเหลือไว้” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกลอกตาเล็กน้อย ก่อนหันไปถามไป๋ชี

ผู้ดำรงอยู่ในระดับผสานอินทรีย์มากมายในที่นี้ มีเพียงหานลี่กับไป๋ชีที่สามารถใช้ดวงตาวิญญาณสำรวจโฉมหน้าทั้งหมดของอสูรยักษ์สีทองโดยตรง นางจึงถามคำถามนี้ออกมา

“เป็นปูยักษ์สีทองตัวหนึ่ง มีก้ามปูเพียงสี่ก้ามอยู่ด้านหน้า!”

ไป๋ชีจ้องมองเมฆดำบนท้องฟ้าสักพัก ค่อยหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลงพลางตอบด้วยท่าทีไม่ค่อยแน่ใจ

“ปูยักษ์ ปูยักษ์สีทอง? โลกนี้มีวิญญาณแท้ชนิดนี้ด้วยหรือ” กลุ่มคนได้ยินก็ตะลึงงัน สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกถึงกับโพล่งถาม

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน! ในวิญญาณแท้มากมายที่สืบทอดกันมาในแดนวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับสิ่งนี้เลย แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก วิญญาณแท้ถือกำเนิดในรอยต่อมากมายของดินแดนต่างๆ วิญญาณแท้บางชนิดดำรงอยู่โดยที่เราไม่สามารถรู้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติเช่นกัน”

บรรพชนตระกูลหล่งครุ่นคิดสักพัก ค่อยตอบอย่างเคร่งเครียด

“อืม สหายหล่งพูดมีเหตุผล อสูรตัวนี้อาจเป็นวิญญาณแท้ชนิดหนึ่งที่เราไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อมันตาย ก็คือลาภของเราแล้ว” ผู้อาวุโสฮุยพูดพร้อมแววตาตื่นเต้น

“ไม่ผิด เมื่อเจอลาภระดับนี้ ย่อมไม่มีทางไม่ปล่อยไปเป็นอันขาด”

“ร่างอาคมวิญญาณแท้ที่ใหญ่ขนาดนี้ แม้แบ่งให้เท่าๆ กัน เราก็เก็บเกี่ยวได้มากกว่าที่คิดไว้เยอะ แม้ตามหาสระชำระวิญญาณกับดอกบัววิญญาณพิสุทธิ์ไม่พบ การเดินทางของเราก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”

…..

คนอื่นๆ พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยเช่นกัน

ชัดเจนว่าตอนนี้ คนส่วนใหญ่ตื่นเต้นจากการเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดคิดขึ้นมา

แต่ในตอนนี้เอง หานลี่กลับพูดคำพูดที่ทำให้ทุกคนยืนนิ่งกันเป็นแถบ

“ทุกคนรู้สึกว่า ซากนี้อยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”

“แม้ไม่ชัดเจน ก็ไม่น่าจะสั้นจนเกินไปนะ” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวขมวดคิ้ว เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“ที่นี่แม้หายากสำหรับพวกเรา แต่สำหรับมารระดับสูง การค้นพบที่นี่ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไร สหายทุกท่านรู้สึกว่า ถ้าซากนี้เอาไปได้ง่ายจริงๆ เช่นนี้ มารระดับสูงเหล่านั้นจะเก็บมันไว้ที่นี่ตลอด แบบเหลือไว้ให้เราโดยเฉพาะงั้นหรือ” หานลี่ถามกลับอย่างสงบนิ่ง

พอได้ยินดังนี้ ผู้อาวุโสฮุย สาวน้อยเสื้อคลุมขนนก และกลุ่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าวิญญาณ ล้วนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่

“ความหมายของพี่หานคือ การเก็บซากนี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็น พวกมารรู้ถึงความร้ายกาจที่อยู่ด้านใน จึงปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้น!” บรรพชนตระกูลหล่งมีสีหน้าแปลกๆ อยู่วาบหนึ่งขณะพูด

“แหะๆ นี่น่าจะเป็นเพียงหนึ่งในนั้น” หานลี่หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างมีนัย

“อ้อ หรือพี่หานค้นพบอะไรอีก” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวรู้สึกว่าค่อนข้างผิดคาดแล้วจริงๆ

“ถ้าผู้แซ่หานเดาไม่ผิดล่ะก็ อสูรยักษ์สีทองตัวนี้มิใช่ซากวิญญาณแท้อะไร เป็นเพียงหุ่นเชิดผลึกมารตัวหนึ่งเท่านั้น”

หานลี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ยิ้มขมขื่น แล้วพูดคำพูดที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกออกมา

“อะไรนะ หุ่นเชิด! เป็นไปไม่ได้ โลกนี้มีหุ่นเชิดที่น่าเกรงขามเช่นนี้ได้อย่างไร หุ่นเชิดผลึกมาร ของอะไรอีกล่ะ” ผู้อาวุโสฮุยส่ายหน้าติดต่อกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

บรรพชนตระกูลหล่งและสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวหันมาสบตากัน และแสดงท่าทีไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

กลับเป็นไป๋ชี หลังจากตะลึงงัน ก็รีบใช้ดวงตาวิญญาณกวาดมองไปยังท้องฟ้าเหนือทะเลสายฟ้า

ส่วนปราชญ์เฒ่าเผ่าวิญญาณท่านนั้น พอได้ยินคำว่า หุ่นเชิดผลึกมาร สีหน้าแม้ไม่เปลี่ยน แต่หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมา

“หุ่นเชิดผลึกมารเป็นหุ่นเชิดที่ทำกันลับๆ ชนิดหนึ่งในแดนมาร ซึ่งแดนวิญญาณเราไม่มีวิชาลับแบบนี้ ตอนผู้น้อยอยู่ในเมืองฮ่วนเยี่ยเคยศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิชาลับโดยเฉพาะ สหายไม่กี่ท่านลองดูหุ่นเชิดผลึกมารที่ลองทำขึ้นมาตัวหนึ่งก่อน ก็จะรู้ว่าผู้น้อยมิได้พูดปด”

หานลี่ถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วไม่แจกแจงอะไรมากอีก สะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออก

พอวาบ ทันใด หมาป่าตัวใหญ่สีเขียวทั้งตัวก็ปรากฏขึ้นบนเรือยักษ์

ซึ่งก็คือหุ่นเชิดผลึกมารชั้นต่ำตัวหนึ่งที่หานลี่ปลุกเสกด้วยมือตนเองเมื่อไม่กี่วันก่อน!

สายตาของพวกบรรพชนตระกูลหล่งย่อมถูกหุ่นเชิดหมาป่ายักษ์ดึงดูดทันที พวกเขาจ้องมองมันขึ้นๆ ลงๆ อย่างละเอียด

“เกรงว่าสหายหานมิได้โป้ปด ลวดลายส่วนหนึ่งบนผิวกายปูยักษ์สีทอง กับบนร่างของหุ่นเชิดผลึกมารตัวนี้ข้าเพ่งดูแล้ว เหมือนกันไม่มีผิด ทั้งสองน่าจะเกี่ยวข้องกันจริงๆ และที่ข้าว่าไม่สามารถสัมผัสถึงสัญญาณชีพของสิ่งมีชีวิตในร่างมันนั้น ที่แท้ก็เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งนี่เอง กลับเป็นผู้แซ่ไป๋ที่เมื่อครู่ประมาทแล้ว”

หลังจากไป๋ชีเก็บแสงสีขาวที่พ่นออกจากหน้าผากลง ก็ยิ้มขมขื่นกับกลุ่มคน ก่อนพูด

“มีเรื่องแบบนี้จริงดิ!”

“ถ้าเป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งจริงๆ ทำไมถึงถูกทิ้งไว้ที่นี่ล่ะ ลำพังพลังปราณที่มันเปล่งออกมา ก็รู้แล้วว่ามันน่ากลัวเพียงใด”

“หรือโลกนี้มีหุ่นเชิดระดับวิญญาณแท้จริงๆ”

คนอื่นๆ ฟังแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อบ้าง สงสัยบ้าง จึงพากันพูดจาอยู่พักหนึ่ง

และในตอนนี้เอง ไป๋ชีกลับอ้าปาก พ่นกระจกทองแดงสีน้ำเงินเข้มบานหนึ่งออกมาโดยไม่พูดไม่จา

พอกระจกบานนี้หมุนอยู่ด้านหน้าเขาหนึ่งรอบ ก็หยุดลงอย่างมั่นคงตรงที่ที่ห่างจากตัวเขาราวหนึ่งจั้ง

แสงวิญญาณที่หน้าผากไป๋ชีกะพริบวาบ พ่นแสงสีขาวออกมาสายหนึ่ง แล้วหายเข้าไปในกระจกโบราณอย่างไร้สุ้มเสียงทันที

จากนั้น บานกระจกซึ่งว่างเปล่าอยู่แต่เดิม ก็พร่ามัว กลายเป็นภาพที่ชัดเจนเป็นพิเศษภาพหนึ่ง

ในภาพ แสงสีทองอร่าม กระแสไฟพันรอบ กลับเป็นรูปโฉมที่แท้จริงของปูยักษ์สีทองที่ซ่อนตัวอยู่ในเมฆดำตัวนั้น

“หรือนี่ก็คือวิชาระลึกแสงวิญญาณที่มีชื่อเสียงโด่งดังของชนชั้นสูง! ได้ยินว่าวิชานี้ สามารถดึงภาพที่ผู้ร่ายมนตร์ได้เห็นได้ยินก่อนหน้านี้ทั้งหมด มาแสดงให้ดูอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”

พอบรรพชนตระกูลหล่งเห็นภาพนี้กับตา ก็ค่อนข้างซาบซึ้งแล้ว

“สหายเต่าทุกท่านสามารถดูรูปลักษณ์ของอสูรยักษ์ตัวนี้ให้ถ้วนถี่ ว่ามีที่ที่เหมือนกับหุ่นเชิดผลึกมารของพี่หานตัวนี้จริงหรือไม่!” ไป๋ชีพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดพลางใช้นิ้วชี้ไปที่กระจกทองแดง

ยังไม่ต้องพูดถึงกลุ่มคนเผ่าวิญญาณ เห็นชัดว่าสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกกับผู้อาวุโสฮุยก็เคยได้ยินชื่อเสียงวิชาระลึกแสงวิญญาณมาก่อน หลังจากมีท่าทางเคร่งขรึมลง ก็ตั้งสติจ้องมองปูยักษ์ในกระจกทองแดงเช่นเดียวกัน

ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลังจากเรื่องวิชาลับคลี่คลาย และภาพในกระจกทองแดงหายไป ปรมาจารย์หล่งก็ยิ้มขมขื่นพลางว่า

“เห็นทีพี่หานมิได้โป้ปดจริงๆ ปูยักษ์นี้เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเอามันออกมาแล้ว พลังปราณของหุ่นเชิดแกร่งขนาดนี้ ยังถูกคนทิ้งไว้ที่นี่ คิดว่ามันต้องเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแล้ว มิฉะนั้นต่อให้เสี่ยงอันตรายขนาดไหน มารระดับสูงเหล่านั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้มันอยู่ที่นี่หรอก”

“เช่นนั้น ไหนๆ เราก็ดีใจเก้อกันไปแล้ว ยังคงมาคิดหาวิธีที่จะทำอย่างไร ถึงจะผ่านฝนสายฟ้าตรงหน้า เข้าไปยังเกาะที่อยู่ด้านในกันเถิด นี่ถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงในการเดินทางครั้งนี้ของเรา”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวพูดด้วยสีหน้าจริงจังเช่นเดียวกัน