ผู้แกร่งกล้าในประวัติศาสตร์ที่ต่อกรกับเหล่ามารก็มีอยู่!
แต่ผู้ที่กล้าเป็นอริกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ในดินแดนจิตโลกา อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เป็นระยะเวลายาวนานนั้นยังไม่มีเลยจริงๆ! ถึงอย่างไรยิ่งพลังยุทธ์แข็งแกร่ง สถานะยิ่งสูงส่ง ก็ยิ่งมีเรื่องให้กังวลมากขึ้นเรื่อยๆ บุคคลกลุ่มที่อยู่ในระดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกากลุ่มนั้น…บุคคลผู้ไร้เทียมทาน เหล่าขั้นสุดยอด และเหล่ามหาเคารพที่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลผู้ไร้เทียมทานแล้วสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้จำนวนน้อยนิดเหล่านั้น
ในหมู่พวกเขาก็มีผู้ที่อยู่อย่างสันโดษ มองดูความเป็นความตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเงียบๆ อยู่บ้าง
เช่นในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แม้กระทั่งผู้ที่ใส่ใจผู้อ่อนแอมากที่สุดอย่าง ‘เจ้าเมืองอนันต์’ สิ่งที่ใส่ใจมากที่สุดก็เพียงแค่ความเป็นระบบระเบียบเท่านั้น! ขอเพียงแค่ความเป็นระเบียบไม่ได้รับผลกระทบ เขาก็เพียงแค่พินิจดูทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเย็นชาเท่านั้น บำเพ็ญมาจนถึงระดับนี้ ก็ยังคงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตที่สามัญธรรมดาที่สุดเหมือนเป็นระดับเดียวกันจริงๆ ผู้ที่ปรารถนาจะปกป้องพวกเขาก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้
และในบรรดาที่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้นี้ต่างก็ยังมีความกังวลของตระกูลและขุมอำนาจอยู่ด้วย
ส่งผลให้ไม่มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดกล้าเผชิญหน้าต่อต้านกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่มาโดยตลอด!
วันนี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นมาแล้ว!
มิใช่ว่าเขาไม่หวั่นกลัว
เพราะในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ก็มีบางคนที่มีจิตมารกล้าแกร่ง เขาก็กลัวว่าจะเปิดเผยตัวตนเช่นกัน!
แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
พลังยุทธ์ของร่างแยกที่ตนปลอมแปลงเอาไว้ก็คือร่างแยกร่วมกับ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ที่พกเอาไว้อย่างลับๆ พลังยุทธ์เช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ขุมอำนาจมารมากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาตื่นตระหนกแล้ว
สำหรับการเคลื่อนไหวโดยใช้ตัวตนจริงของ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ในภายภาคหน้า ก็สามารถใช้อาวุธคละถิ่นที่จะหลอมสำเร็จในอนาคตได้! อาศัยอาวุธคละถิ่น สามารถสำแดงเคล็ดวิชาที่สูงส่งล้ำลึกขึ้นของเจ็ดกระบวนคละถิ่นได้ แตกต่างกับเคล็ดวิชาที่ตัวตนปลอมสำแดงอย่างสิ้นเชิง!
“นี่ก็เป็นการชั่วคราวเท่านั้น”
“บนดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิถีวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดนั้นไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าหาก ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็ไปถึงขั้นสุดยอดด้วย บางทีก็อาจจะมีหนทางจัดการกับมารเหล่านี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเหตุใดขุมอำนาจมารหลายแห่งจึงได้กำเริบเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะว่าฆ่าไม่ตายหรืออย่างไร ถ้าหากตนสามารถสังหารพวกเขาได้ ก็ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงระเบียบของดินแดนจิตโลกาได้อยู่แล้ว
ถ้าหากตนสามารถหนีออกจากกรงขัง ไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งได้ บางทีอาจจะสามารถส่งผลกระทบไปถึงพวกหยวนและเจ้าเมืองหลัวได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยสัมผัสกับเจ้าเมืองหลัวมาก่อนแล้ว รู้สึกได้ว่าเจ้าเมืองหลัวก็มีจิตใจเมตตากรุณาต่อผู้อ่อนแอเช่นกัน
“คิดไกลเกินไปแล้ว”
“ก้าวแรกของข้าในตอนนี้ก็คือทำให้วิถีอากาศไปถึงขั้นสุดยอด! จะต้องทำให้ได้ก่อนที่บ้านเกิดจะแหลกสลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
……
ที่ส่วนลึกของทะเลสาบมารทมิฬ
เจ้าสำนักเหยียนโม๋และเจ้าสำนักทั้งสามชมดูเหตุการณ์การต่อสู้ผ่านกระจกยลฟ้า
“เฮอะ”
พวกเขาทั้งสามต่างก็มีสีหน้าไม่น่าดู
“น้องรอง น้องสาม ยอดฝีมือวิถีอากาศผู้ลึกลับผู้นี้ช่างโอหังเสียจริง” เจ้าสำนักเหยียนโม๋มิได้มีความเรียบเฉยดังเช่นปกติอีกต่อไป เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์ของเขากลับยังเหนือกว่าพวกข้าเสียอีก! ถ้าหากเขาไม่ต้องการรักษาหน้าตา สังหารหมู่พลพรรคใดๆ ที่พวกเราส่งออกไปจริงๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกเราคงไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว”
ถึงแม้ว่าทะเลสาบมารทมิฬจะจัดได้ว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงในบรรดาขุมอำนาจมารแห่งดินแดนจิตโลกา แต่เจ้าสำนักทั้งสามต่างก็เป็นบุคคลระดับจอมเคารพทั้งสิ้น ไม่มีขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว
“แม้กระทั่งประมุขเกาะจันปายังต้องทนเลย แล้วพวกเราจะทำอย่างไรได้เล่า ทั้งยังต้องก้มหัวรอดูว่าเมืองอัคคีทิพย์จะตอบสนองอย่างไร” บุรุษอาภรณ์เขียวผู้มีสีหน้าซีดขาวพูด
“อืม”
“ก็คอยดูความเคลื่อนไหวในภายหน้าก็แล้วกัน”
พูดถึงขุมอำนาจมาร เมืองอัคคีทิพย์จึงจะแข็งแกร่งที่สุด
……
“ยอดฝีมือวิถีอากาศผู้นี้ช่างโอหังเกินไปแล้ว”
“นี่ก็เท่ากับเป็นอริกับพวกเรา สมควรตาย ถ้าหากเขากล้าเปิดเผยตัวตน ข้าจะต้องทำให้เขาได้รู้ถึงผลที่ตามมาของการยั่วยุพวกเราอย่างแน่นอน”
******
ถึงแม้ว่ามารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานแต่ละฝ่ายจะเดือดดาลหาใดเปรียบ แต่มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขานี้แล้ว สายตาก็มีความร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าชายชุดขาวผู้ลึกลับผู้นี้มีพลังยุทธ์น่าหวาดหวั่นเพียงใด! บวกกับที่พวกเขาไม่ทราบตัวตนของชายชุดขาวผู้นี้ อยากจะคุกคามชายชุดขาว ก็มีแต่ลงมือกับตัวจริงของชายชุดขาวเท่านั้น ใครจะไปมั่นใจได้เล่า ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงประกาศวาจาอย่างเปิดเผยแล้ว แต่กลับไม่มีพญามารริเริ่มลงมือกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว
“ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ประมุขเกาะจันปาที่ยืนประจันหน้าอยู่กับตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา “นับถือ นับถือ ข้านับถือจริงๆ เป็นอริกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ ข้านับถือเจ้าจริงๆ เลย! ตอนนี้เจ้ามิได้เปิดเผยตัวตน บรรดามารแต่ละฝ่ายก็ทำอะไรเจ้ามิได้เป็นการชั่วคราว แต่เมื่อใดที่เจ้าเปิดเผยตัวตน หึๆๆ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็เป็นฝันร้ายสำหรับเจ้าแล้ว!”
“ฝันร้ายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเย็น
ต่อให้เปิดเผยแล้วอย่างไรเล่า
เมืองหิมะเหินถูกตนควบคุมจนน้ำสักหยดก็มิอาจเล็ดรอดได้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังมิกล้าวาดฝันที่จะจัดการกับตนเลย
แต่ขณะนี้ ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏชื่อของบุคคลสองคนขึ้นมา…จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ!
สองคนนี้มีความพิเศษบางอย่างอยู่
จักรพรรดิเซี่ยมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ถูกคิดว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกามาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน แต่ละฝ่ายต่างก็รู้กันดีว่าวิถีสองสายจักรพรรดิเซี่ยนั้น ทั้ง ‘วิถีอากาศ’ และ ‘วิถีเปลวเพลิง’ ต่างก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้วทั้งสิ้น! ในมือมีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ พลังยุทธ์ที่เขาสำแดงออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ อยู่ช่วงตัวหนึ่งเลยทีเดียว ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ รับมือในระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังถูกโจมตีเสียจนได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนีไป
ราชันย์อนธการอมตะก็คือผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกามาเป็นระยะเวลายาวนาน ลึกลับหาใดเปรียบ นอกจากนี้เขายังขึ้นชื่อในด้านความโหดเหี้ยมน่าหวั่นเกรง พลังยุทธ์ก็ยากจะคาดเดาได้
“ถ่อมตัวสักหน่อยดีกว่า”
“รอให้ข้าหลอมอาวุธเทพอลวนได้สำเร็จก่อนเถิด ก็จะยิ่งขวัญกล้ามากขึ้น ถ้าหากสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ ใครจะเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก็ยังยากที่จะพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ผู้ที่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าบนดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายเช่นนั้น แต่ผู้ที่มีเคล็ดสืบทอดลับระดับสูงก็มีน้อยนิดยิ่งกว่า!สำหรับอาวุธคละถิ่นที่เหมาะสมในการผสานรวมกับเคล็ดสืบทอดลับระดับสูงนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองเป็นเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่!
ต่อให้มิใช่หนึ่งเดียว เคล็ดสืบทอดลับระดับสูงก็หายากถึงเพียงนั้น ผู้ที่มีอาวุธที่เหมาะสมก็จะต้องยิ่งมีน้อยอย่างแน่นอน!
ส่วน ‘วิถีอากาศ’ ก็มีข้อได้เปรียบอันยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าวิถีอื่นๆ นั่นก็คือ…ร่างแยก!
ในบรรดาวิถีทั้งหมดที่มีอยู่ วิถีอากาศมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สุดกับโลกระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ยังมิได้หนีออกจากกรงขังจึงมีเพียงแค่วิถีสายนี้เพียงสายเดียวเท่านั้น ที่สามารถมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ ได้! และสามารถดูดซับพลังคละวิถีปรับปรุงวิญญาณ บำเพ็ญร่างแยกได้!
ระดับขั้นเดียวกัน
วิถีอากาศ ร่างแยกมากมายร่วมมือกัน พลังยุทธ์ก็ย่อมเหนือกว่าวิถีอื่นๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้ ต่างก็มีผู้แกร่งกล้าไปถึงระดับสุดยอดของวิถีต่างๆ แล้วทั้งสิ้น แต่ทางด้านวิญญาณ เช่น ‘โลกเทียม’ ‘ภาพจิต’ และ ‘เพลิงวิญญาณ’ วิถีต่างๆ ล้วนไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่ไปถึงขั้นสุดยอด! ถ้าหากทางด้านวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดแล้วจะมีพลังยุทธ์ระดับใด นี่ก็เป็นปริศนาอย่างหนึ่ง!
……
“สวบ”
หลังจากที่ประมุขเกาะจันปายิ้มหยันแล้วร่างกายก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพลวง ห้วงอากาศบิดเบี้ยวจนมีรอยแยกปรากฏออกมา แล้วเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่ก็คือเคล็ดการหลบหลีกของเขา
อยากจะสังหารผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดนั้นยากเย็นเหลือเกิน!
“คราวนี้ข้าได้ประกาศวาจาอย่างเปิดเผย คงจะเหนี่ยวนำให้ขุมอำนาจมารเกิดความระแวดระวังแล้วกระมัง ขอเพียงแค่ทำการสังหารน้อยลงสักหน่อยก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจากไปในทันที
พรึ่บ
กลางอากาศมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด
เขามีรูปโฉมหล่อเหลางดงาม บนผ้าคลุมสีดำปักลวดลายดอกไม้สีทอง ในมือถือคทาอันหนึ่งเอาไว้ คทาแผ่รัศมีสีทองสลัวๆ แรงกดดันอันไร้รูปร่างปกคลุมทั่วฟ้าดิน ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้
“บรรพชนราตรีนิรันดร์”
“เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์”
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไรกันนี่”
ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายบนดินแดนจิตโลกาที่ชมดูการต่อสู้อยู่ต่างก็พากันตื่นตะลึง
บรรพชนราตรีนิรันดร์ในมือถือคทา มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “เจ้าเป็นผู้สังหารจวินอ๋องดำกระมัง”
“จวินอ๋องดำหรือ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผิดพลาดเสียแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ตื่นตระหนก เขาพูดพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ต่อให้พลังยุทธ์อย่างข้าอยากจะสังหารจวินอ๋องดำ ก็คงไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แล้วอยากจะให้ท่านบรรพชนมาช่วยเหลือไม่ทัน ความมั่นใจก็ยิ่งต่ำลงไปอีก”
“บนดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือวิถีอากาศที่สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยอย่างเย็นชา
“แล้วสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือข้าหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามอย่างมีชั้นเชิง
“เจ้าใส่ใจมดปลวกพวกนั้นมากเกินไปแล้ว คราวก่อนเจ้าก็ถูกข้าสกัดเอาไว้ครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือมดปลวกพวกนั้น เสียดายก็แต่ทำให้ร่างแยกของเจ้าฆ่าตัวตายกระจัดพลัดพรายไปเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยเสียงเย็น “ยอดฝีมือวิถีอากาศที่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นแหละ ผู้ที่ใส่ใจผู้อ่อนแอเหล่านั้นถึงเพียงนี้ก็ยิ่งมีแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มีความเป็นไปได้ถึงเก้าส่วนว่าเจ้าคือฆาตกร บอกนามของเจ้ากับข้ามาเสีย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น
ไม่อยากยอมรับ
ถึงอย่างไรก็ยากยิ่งที่จะรับมือกับบรรพชนราตรีนิรันดร์
“ข้าชื่อจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“คนวิถีจิตฟ้าหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ขมวดคิ้ว ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับขั้นสุดยอดไม่มีชื่อนี้ เป็นเพราะว่าบุคคลลึกลับผู้นี้เป็นผู้ที่กำเนิดขึ้นมาใหม่จริงๆ หรือว่าจงใจเอ่ยนามปลอมขึ้นมากันแน่
“จิตข้าคือจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“หึ ต่อให้เจ้าพูดชื่อออกมามั่วๆ มากยิ่งกว่านี้ เจ้าก็คือฆาตกรที่สังหารจวินอ๋องดำอยู่ดีนั่นแหละ” คทาในมือบรรพชนราตรีนิรันดร์แผ่รัศมีแรงกล้าออกมาในทันใด รัศมีอันไร้ที่สิ้นสุดเปล่งประกายบนร่างตงป๋อเสวี่ยอิงในพริบตา พลังสกัดกั้นอันไร้ที่สิ้นสุดทำการพันธนาการเอาไว้
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ ท่านสกัดข้าเอาไว้มิได้หรอก”
น้ำเสียงกึกก้องดังสนั่นทั่วฟ้าดิน
พรึ่บ
รอยแยกสีดำกะพริบวาบ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับฝืนพุ่งเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยพละกำลังที่ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองมีอยู่ อีกทั้งยังมีพลังของโลกดอกบัวเพลิงห้วงอากาศผนวกรวมอยู่ในตัว การพันธนาการของเขตพลังที่กินบริเวณกว้างใหญ่ของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยังสกัดเอาไว้ไม่อยู่
“หนีแล้วหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์มองรอยแยกสีดำหายลับไปแล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วมิได้
ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา
ย่อมไม่สามารถไล่ตามได้อยู่แล้ว!
เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ไปถึงระดับนี้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคิดอยากจะสังหารก็ยังยากเย็นอย่างที่สุด
……
ชื่อของคนวิถีจิตฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยเหตุนี้
ขุมอำนาจมากมายต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้อาจหาญคุกคามขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ ยามอยู่ต่อหน้า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็จากไปได้อย่างง่ายดาย พลังยุทธ์ของคนวิถีจิตฟ้าก็เป็นที่รู้กันทั่ว เป็นรองเพียงแค่ยอดฝีมือของบุคคลผู้ไร้เทียมทานเท่านั้น ขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งสิ้น
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้สนใจสิ่งรบกวนของโลกภายนอก ทุ่มเทจิตใจบำเพ็ญอยู่ในเมืองหิมะเหิน ไตร่ตรองใคร่ครวญกระบวนสังหารที่สี่ของยุทธวิธีหิมะเหินที่เขาค่อยๆ ก่อให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
………………………………………