สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การทำให้วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอดจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ตั้งสมญาว่า ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ขึ้นมา เขาก็แค่ไม่อยากจะทำให้รัฐเมฆทักษิณาและตระกูลอิงซานพาลเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้นเอง! บัดนี้พลังของเขามีจำกัด แรงคุกคามก็แค่กล่าวได้ว่าทำให้ขุมอำนาจฝ่ายมารเหล่านั้นหวั่นเกรงเท่านั้น! หากตนสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ ก็ไม่ใช่แค่สามารถช่วยพวกคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนที่บ้านเกิดได้ นอกจากนี้หากมีอาวุธเทพอลวนอยู่ในมือ เกรงว่าก็คงมีคุณสมบัติพอจะสามารถช่วงชิงสมญานาม ‘ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกา’ ได้แล้ว
หากถึงระดับนั้น ก็คงจะเป็นภัยคุกคามบรรดามารร้ายมากยิ่งขึ้น
“เรื่องนี้ต้องอาศัยพลังจึงจะเอ่ยคำพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี
ยิ่งพลังแข็งแกร่งขึ้น จึงจะสามารถรับผิดชอบภาระที่หนักหน่วงขึ้นได้
“ท่าไม้ตายที่สี่…”
ในศาลาข้างทะเลสาบภายในจวนจ้าว
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิ สุราไหนหนึ่งร้อนกรุ่น เขาดื่มสุราไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง ร่างแยกจำนวนมากของเขาก็กำลังรับรู้และสำแดงอย่างสุดกำลัง
“ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเป็นสมบัติลับวิถีอากาศจำพวกโลกา สิ่งที่มันเชี่ยวชาญที่สุดก็คือปลดปล่อยบริเวณโลกาออกมา หรือไม่ก็เสริมพลังโลกาให้กับร่างกาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ สมบัติลับระดับยอดสุด ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ หลอมขึ้นโดยอาศัยสมบัติล้ำค่าอย่าง ‘แหล่งพลังเขตเพลิง’ เป็นพื้นฐาน แหล่งพลังเขตเพลิงคล้ายคลึงกับแหล่งกำเนิดห้วงสมุทรที่ตนเคยได้มามาก เพราะเป็นแหล่งให้กำเนิดเช่นเดียวกัน
จักรพรรดิเซี่ยนำความเร้นลับต่างๆ ของวิถีอากาศขั้นสุดยอดหลอมรวมเข้าไปในนั้นแล้วหลอมแปรเป็นสมบัติลับระดับยอดสุด
ปลดปล่อยพลังแห่งโลกาออกไปภายนอก เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างแยกแต่ละร่าง พลังรบของร่างแยกแต่ละร่างก็จะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ซึ่งก็เป็นวิธีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงซ่อน ‘เจ็ดกระบวนคละถิ่น’ เอาไว้
“ปลดปล่อยบริเวณโลกาออกไป ภายในบริเวณนี้ ข้าเป็นเจ้าของ”
“ที่เหมาะสมกับสมบัติลับระดับยอดสุดมากที่สุดก็คือกระบวนท่าจำพวกบริเวณ” นัยน์ตาทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไป ท่าไม้ตายที่สี่ที่เขาต้องการคิดค้นขึ้นมาก็คือท่าไม้ตายจำพวกบริเวณนั่นเอง
สามท่าไม้ตายก่อนหน้านี้
เป็นจำพวกการโจมตีทั้งหมด!
ในขณะที่ทำลายมารร้ายเหล่านั้น เนื่องจากเพียงกระบวนท่าเดียวก็ปกคลุมแทบทั้งตัวเมือง ลงมือหลายครั้ง แววอาฆาตที่โหมซัดออกไป…กลับกระตุ้นแสงทิพย์ภายในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง ท่าไม้ตายที่สี่มีแบบจำลองคร่าวๆ ก่อนแล้ว
“บริเวณทั้งหมดทั่วทุกสารทิศก็คือมิติ”
“แม้แต่โลกชั้นสูงกว่านอกโลกกำเนิดก็เป็นประเภทหนึ่งของมิติเช่นเดียวกัน”
“เดิมทีมิติก็บรรจุสิ่งมีชีวิตทั้งปวงและโอบอุ้มทุกสิ่งเอาไว้อยู่แล้ว ‘บริเวณ’ ก็คือลักษณะพิเศษตามธรรมชาติของมัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี
เดิมทีเขาก็รู้จักกระบวนท่าจำพวกบริเวณบางอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเมฆาแดงหรือว่ากระบวนท่าจำพวกบริเวณต่างๆ ที่คิดค้นขึ้นมาก็ล้วนไม่มีคุณสมบัติพอจะจัดอยู่ในท่าไม้ตายยุทธวิธีหิมะเหินของเขาได้! กระบวนท่าที่สามารถจัดอยู่ในท่าไม้ตายได้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบพอ และสามารถทำให้ความเร้นลับต่างๆ มากมายหลอมรวมเข้าไปในเจ็ดกระบวนคละถิ่นได้สำเร็จอย่างแท้จริง อานุภาพก็ยิ่งใหญ่พอ ไม่แพ้กระบวนท่าเจ็ดกระบวนคละถิ่นเลย
“บริเวณ…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลาพลางถือจอกสุราซึ่งมีสุราอยู่เต็มเอาไว้ จู่ๆ เขาก็พลันหลับตาลง
เขานึกถึงโลกในระดับชั้นที่สูงยิ่งกว่า
เขาเคยสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกามุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ! ลำพังแค่ทะลุผ่านทางเชื่อมที่เหมือนกับ ‘ด้าย’ สายหนึ่งไปยังมิติชั้นสูงยิ่งกว่าที่เต็มไปด้วยพลังคละถิ่นอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างระมัดระวัง แม้แต่กายหยาบก็ยังมิอาจเข้าไปได้ มีเพียงวิญญาณที่มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปตามทางเชื่อมเล็กจิ๋ว
ความรู้สึกเคว้งคว้างเช่นนั้น
ความรู้สึกกดดันอันใหญ่หลวงที่มาจากโลกระดับขั้นสูงกว่า เขายังจำได้แม่นยำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ!
สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะทำก็คือใช้วิถีอากาศผสานความเร้นลับในเจ็ดกระบวนคละถิ่นแล้วใช้พลังคละถิ่นคิดค้นสิ่งที่ให้ผลเหมือนกับ ‘บริเวณ’ ของโลกระดับขั้นสูงกว่าขึ้นมาใหม่ ภายใต้บริเวณเช่นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็ทำได้เพียงละทิ้งกายหยาบแล้ววิญญาณอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาทะลุผ่านไปเท่านั้น น่าหวาดกลัวเพียงใดกัน
ขอเพียงกระบวนท่าที่คิดค้นขึ้นมาสามารถสำแดงผลออกมาได้บางส่วนก็เพียงพอแล้ว
“วิ้ง…”
นอกศาลา อากาศกำลังสั่นสะท้านน้อยๆ
อณูหมอกดำทรงกลมแต่ละอณูของแก่นห้วงอากาศภายในสวนมหึมาแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือนตามระลอกความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิง ฝูงปลาที่ก้นทะเลสาบเหล่านั้นถูกพละกำลังอันไร้รูปร่างตัดขาดและปกป้องเอาไว้ บริเวณอื่นๆ กลับมิได้รับการปกป้องใดๆ ทันใดนั้น…ฟึ่บๆๆ…น้ำทะเลสาบ กระเบื้องบนศาลา ต้นไม้ใบหญ้าริมตลิ่ง แปลงดอกไม้ ทางเดินหิน ดินโคลน…
ทั้งหมดดูเหมือนจะยังคงสภาพเดิม
แต่อันที่จริงแล้วอณูหมอกดำทรงกลมสั่นสะเทือน ทำให้โครงสร้างภายในของพวกมันสั่นสะเทือนไปด้วยจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนสิ้น เพียงแต่คงรูปร่างภายในเอาไว้ชั่วคราว ยังมิได้พังทลายลงมาเท่านั้นเอง
“ตู้ม!”
สวนใหญ่มหึมานี้ พลันสลายไปทั้งหมดในทันใด แล้วตกเข้าสู่ความมืดมิดอย่างสมบูรณ์
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงถือจอกสุรานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น โต๊ะยาว ไหสุราตรงหน้าเขารวมไปถึงเบาะรองนั่งล้วนไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ในความมืดมิดไกลออกไปยังมีเหล่าปลาที่ถูกโอบล้อมเอาไว้ ส่วนบริเวณอื่นๆ ล้วนถูกทำลายและเต็มไปด้วยความมืดมน
แม้ภายในสวนมหึมาจะเป็นเช่นนี้ แต่โลกภายนอกกลับมิได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย! ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญเพียร จึงห้ามมิให้คนภายนอกเข้ามาอย่างเด็ดขาด
“ฟิ้วๆๆ…” ฝูงปลาเหล่านั้นถูกโอบล้อมและลอยมาข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง พวกมันแต่ละตัวเบิกตากว้าง มองดูรอบด้าน มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“วิ้ง”
มิติรอบด้านมีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และมีพลังคละถิ่นโหมซัดเข้าไป
ภายในเมืองหิมะเหิน เนื่องจากมีค่ายกลเสริมความแข็งแกร่งเอาไว้อย่างแน่นหนา พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ เมื่อมาทดลองกระบวนท่าที่นี่จึงผ่อนคลายกว่า ดังเช่นตอนนี้ เขาสามารถปรับเปลี่ยนพลังคละถิ่นจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
“ไม่มีรูใดที่เล็ดรอดไปได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้น มองดูพลังคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซัดสาดเข้ามาทางรอยแยกอันดำมืด พลังคละถิ่นผสานกับอากาศอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเริ่มกดดันทุกทิศทุกทาง
กดดัน กดดัน!
กระบวนท่ากดดันนี้ เทพจักรวาลทั่วไปล้วนต้องถูกกดดันจนตายในพริบตาเดียว!
แต่เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่เพียงพอ สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือท่าไม้ตาย อย่างน้อยก็ต้องให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูรู้สึกว่า ‘ยุ่งยาก’ อยู่บ้าง หากล้วนแต่มิอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ กระบวนท่าเช่นนี้ก็ไร้ความหมาย
“บัดนี้แค่มีแบบจำลองได้อย่างพอถูไถเท่านั้น ยังต้องปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป”
พลังคละถิ่นภายในสวนมหึมาแห่งนี้หมุนเวียนและผสานกับอากาศในแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตามความคิดต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในห้วงสมอง
เขาทดลองอยู่ราวเดือนกว่าๆ
“ฟิ้ว”
ภายในสวนกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง พลังคละถิ่นถอยออกไป อากาศกลับคืนสู่สภาพปกติ รัศมีจากโลกภายนอกส่องสะท้อนมาถึงที่นี่
ทางเดินหิน ดินโคลน ต้นไม้ใบหญ้า น้ำในทะเลสาบ รวมไปถึงศาลา กลับถือกำเนิดขึ้นโดยตรงจากความว่างเปล่าแล้วร่อนลงไปยังตำแหน่งเดิม แม้แต่ฝูงปลาเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงตลอดเวลาก็ยังถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ‘บุ๋ง’ ปลากระโดดผลุงขึ้นมาเหนือผิวทะเลสาบก่อนจะทอดสายตามองรอบด้าน แล้วมุดกลับลงไปในน้ำแล้วดำผุดดำว่ายอย่างสุขอุรา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรินสุราจอกหนึ่งให้ตนเอง ภายในสวนแห่งนี้ล้วนแต่เป็นวัตถุธรรมดาสามัญทั้งสิ้น สำหรับเทพจักรวาลวิถีโลกเทียมนั้น สามารถสร้างวัตถุขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อย่างง่ายดาย
“ลองคิดดูอีกหน่อย”
การทดลองราวครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พบปัญหาต่างๆ มากมาย ยังต้องค้นคว้าโดยละเอียดและบำเพ็ญเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป
******
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังค้นคว้าเพื่อทำให้ท่าไม้ตายที่สี่สมบูรณ์ บรรดาขุมอำนาจมารร้ายภายในดินแดนจิตโลกาเหล่านั้นก็รู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเทพจักรวาลระดับยอดสุดทั้งหลายต่างก็พากันรักตัวกลัวตายเป็นอย่างมาก! ในเมื่อ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ลั่นวาจาออกมาอย่างเปิดเผย ประมุขเกาะจันปาอ่อนแอกว่าพวกเขาอยู่ขุมหนึ่ง คนเถื่อนผู้ไร้เทียมทาน ผู้ใดจะกล้ารังแกกันเล่า
“หรือว่าเขาจะใช้อานุภาพข่มมารร้ายทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยตัวคนเดียวจริงๆ”
“บ้าคลั่งถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ”
ต่อให้เป็นบรรดามารร้ายเหล่านั้นก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
บรรดามารร้ายระดับเทพจักรวาลข่าวสารฉับไว จึงล้วนแต่รู้ว่าคนวิถีจิตฟ้ามีตัวตนอยู่ และรู้ถึง ‘แรงคุกคาม’ ของคนวิถีจิตฟ้า แต่ดินแดนจิตโลกาใหญ่โตเกินไปแล้ว! บรรดามารร้ายระดับขั้นอลวนทั้งหลาย พวกที่พอจะมีคนหนุนหลังใหญ่โตก็ยังดีหน่อย หากไม่มีคนหนุนหลัง ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รู้เรื่อของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ เลย
……
เวลาล่วงเลยไป
เป็นเวลาสามล้านปีหลังจากคนวิถีจิตฟ้าประมือกับประมุขเกาะจันปาแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ยิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งเกลียดชังอย่างเข้มข้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านบรรพชนต้องการให้พวกเจ้าเกลียดข้า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ชายชราอาภรณ์แดงคนหนึ่งอยู่ภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ภายในมีวิญญาณ ที่เปี่ยมไปด้วยความขุ่นแค้นจำนวนนับไม่ถ้วน วิญญาณนับล้านล้านดวงกำลังร้องเสียงโหยหวนด้วยความเคียดแค้นชิงชัง มีผู้ที่แข็งแกร่งบางคนสามารถหลุดจากพันธนาการได้ และโจมตีไปทางชายชราอาภรณ์สีแดงครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ชายชราอาภรณ์สีแดงเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน วิญญาณขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในพวกนี้ไหนเลยจะสามารถคุกคามเขาได้
“เฮอะ”
รอยแยกสีดำกะพริบวาบคราหนึ่ง บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แห่งนี้
ในฐานะที่ชายชราอาภรณ์สีแดงเป็นเจ้าของสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ก็อดตกใจจนสะดุ้งโหยงมิได้ สมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของข้า ผู้อื่นก็สามารถเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ
สายตาของบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นี้ที่มองมายังเขา ทำเอาชายชราอาภรณ์สีแดงรู้สึกว่าวิญญาณแข็งค้างไปแล้ว
“ตู้ม”
จากนั้นร่างของชายชราอาภรณ์สีแดงก็กลายเป็นผุยผงไป
“สมควรตายจริงๆ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้าน เดิมทีวิญญาณเหล่านั้นมีความเคียดแค้นสูงเทียมฟ้า หลังจากชายชราอาภรณ์สีแดงสิ้นใจไปแล้ว ความอาฆาตแค้นของวิญญาณเหล่านั้นก็พากันทะลักออกไป
“ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปเอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเคลื่อนย้ายออกไปจนหมด! ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เหล่านี้มีค่ายกลจำกัดเอาไว้ ส่งผลให้พวกเขาทำได้เพียงคงสภาพร่างวิญญาณเอาไว้เท่านั้น
ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือเทพแท้ วิญญาณดูดซับพลังฟ้าดินแล้วสามารถทำให้กายกยาบฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
……
ประมาณเก้าล้านกว่าปีหลังจากคนวิถีจิตฟ้าประมือกับประมุขเกาะจันปา
“เจียอวี้ สำนึกเสียใจแล้วล่ะสิ วันนี้ ทั้งตระกูล ทั้งเมืองของเจ้า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะต้องตายเรียบ!” มารเฒ่าซึ่งแผ่ไอชั่วร้ายสูงเทียมฟ้ายืนอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางเหิมเกริมหาใดเปรียบ
สตรีอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งมองดูฉากนี้อย่างสิ้นหวัง
การช่วยเหลือคนในตอนนั้นได้ล่วงเกินมารเฒ่าเข้า บัดนี้พลังของมารเฒ่าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และมาแก้แค้นแล้วอย่างนั้นหรือ
“เอ๊ะ”
สตรีอาภรณ์ม่วง ‘เจ้าเมืองเจียอวี้’ มองดูมือขาวผ่องที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้วยความตกตะลึง เมื่อกดดันลงไปคราหนึ่ง มารร้ายซึ่งหนีไม่ทันในตอนแรกก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป
……
เมื่อเวลาล่วงเลยไป ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าสิ่งที่คนวิถีจิตฟ้าพูดนั้นมิใช่คำลวงเลย
ผู้ที่บังอาจสร้างหายนะตามอำเภอใจ ขอเพียงถูกพบเข้า ก็ต้องถูกฆ่าไม่เว้น
เรื่องนี้ก็ทำให้มารร้ายระดับเทพจักรวาลอย่างแท้จริงหวั่นกลัวอยู่ในใจ ภายในเวลาสั้นๆ ก็มิกล้าทำอะไรมั่วซั่ว
“ต้องอดทนเอาไว้”
“คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้เหิมเกริมถึงเพียงนี้ จะต้องมีจุดจบไม่สวยอย่างแน่นอน! รอให้ตัวตนของเขาเปิดเผยออกมาเสียก่อนเถอะ เขาก็จะรู้จักคำว่าสำนึกเสียใจแล้ว”
“ข้าและคนอื่นๆ อดทนกันมานานแล้ว อดทนไม่สู้สุดชีวิตกับเขา ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ ไม่มีทางมีผู้ใดกดดันข้าและคนอื่นๆ ไปตลอดกาลได้หรอก” บรรดามารร้ายเหล่านี้ก็มีความอดทนทีเดียว พวกเขาเชื่อว่า คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้เหิมเกริมถึงเพียงนี้ ไม่มีทางยั่งยืนอย่างแน่นอน
……
สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว เพียงแค่ได้ข่าวระหว่างเส้นทางการบำเพ็ญก็จะออกไป ‘ลงมือ’ ครั้งหนึ่ง หลังลงมือแล้วก็จะกลับมาตั้งใจบำเพ็ญต่อไป
หลังประมือกับประมุขเกาะจันปาได้ห้าสิบกว่าล้านปี
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ภายในศาลาข้างทะเลสาบภายในจวนจ้าว ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นดังกึกก้อง เบิกบานสำราญใจนัก
……………………………………