มะเร็ง เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะมะเร็งตับ ระยะแรกมะเร็งชนิดนี้จะไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เมื่อลุกลาม ก็เป็นระยะสุดท้ายแล้ว
มะเร็งตับระยะสุดท้าย โรคนี้ แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดในโลก ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากทราบเรื่องนี้แล้ว สมาชิกของตระกูลเฉินรู้สึกเศร้าโศกมาก
อย่างไรก็ตาม เฉินกั๋วเหลียงปิดข่าวนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะสั่งห้ามทุกคนไม่ให้บอกเฉินโม่ เพราะกลัวจะรบกวนการปลีกวิเวกของเฉินโม่
ความจริงแล้ว เฉินโม่ไม่ได้ปลีกวิเวก แต่กำลังศึกษาวิธีการฝึกขั้นต่อไป
วันที่แปดเดือนหนึ่ง เฉินโม่ออกมาจากการปลีกวิเวก
เมื่อเฉินกั๋วเหลียงทราบข่าว ก็ให้คนไปเรียกเฉินโม่มาที่ห้องทันที เขากังวลว่าหากตนเองเป็นอะไรไป กลัวว่าจะสั่งเสียงานศพไม่ทัน
ห้องนอนของเฉินกั๋วเหลียง ผู้อาวุโสสามของตระกูลเฉินก็อยู่ที่นี่ด้วย เฉินจิงเย่ เฉินตงซุ่น เฉินตงเยว่ คนรุ่นที่สองของตระกูลเฉินก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
เฉินธง เฉินเหล่ย เฉินเข่อเอ๋อร์ คนรุ่นที่สามที่โดดเด่นของตระกูลเฉินก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
สีหน้าของทุกคนเศร้าหมอง ถึงแม้ทุกคนมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับเรื่องของหนานกงหยู่ แต่ทุกคนล้วนเป็นสมาชิกของตระกูลเฉิน และทุกคนต่างก็รู้ว่าตอนนี้ตระกูลเฉินพึ่งพาอาศัยเฉินกั๋วเหลียงเพียงคนเดียว
ถ้าหากเฉินกั๋วเหลียงเสียชีวิต นั่นหมายความว่าเสาหลักของตระกูลเฉินล้มแล้ว
เมื่อเฉินโม่เดินเข้ามาในห้อง เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมทันที จากสีหน้าของทุกคน ทำให้เฉินโม่คิดได้มากมาย
“ชาติก่อนคุณปู่เสียชีวิตด้วยมะเร็งตับ แต่นั่นควรจะเป็นหลังจากนี้อีกหลายปี ทำไมวันนี้บรรยากาศผิดปกติ?”
เฉินโม่คิดเรื่องนี้เสมอมา แต่มะเร็งตับเป็นโรคร้ายแรง หากเฉินโม่บำเพ็ญจนถึงแดนจิตปฐมแล้ว เขาสามารถช่วยเฉินกั๋วเหลียงกำจัดเซลล์มะเร็งได้ กระทั่งปรับเปลี่ยนร่างกายใหม่ได้
แต่ตอนนี้พลังบำเพ็ญของเฉินโม่ยังไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่ายาจะสามารถยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ แต่แค่สามารถช่วยให้เฉินกั๋วเหลียงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น ถ้าคิดจะกำจัดมะเร็งตับให้สิ้นซาก ยังต้องหาวิธีอื่น
ตอนนี้ เฉินโม่คิดวิธีได้แล้ว แต่ต้องได้รับความยินยอมจากเฉินกั๋วเหลียง เพราะวิธีที่เฉินโม่คิดขึ้นมานั้น เป็นวิธีที่ไม่มีทางหวนกลับคืนเช่นกัน
ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางของทุกคนแล้ว เฉินโม่ก็สามารถเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เฉินกั๋วเหลียงป่วยเร็วกว่าชาติก่อนหลายปี
ยังไม่ทันรู้สึกตัว เฉินโม่ก็เดินมาถึงข้างเตียงเฉินกั๋วเหลียงแล้ว เฉินโม่หยุดคิด มองเฉินกั๋วเหลียงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง และเรียกเบา ๆ “คุณปู่!”
เฉินกั๋วเหลียงไม่ได้ยิน ยังคงนอนตะแคงข้างต่อ
เฉินโม่ทำได้เพียงเรียกเสียงดังขึ้น “คุณปู่ ผมมาเยี่ยมคุณปูแล้ว!”
ขณะนี้ เฉินกั๋วเหลียงพลิกตัว มองเฉินโม่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวโม่มาแล้ว รีบนั่งลง!”
เมื่อมองใบหน้าที่แก่ชราและเบ้าตาลึกของเฉินกั๋วเหลียงแล้ว เฉินโม่รู้สึกปวดใจ และเกือบจะสูญเสียจิตเต๋าที่สั่งสมมานับร้อยปี
ไม่เห็นเพียงแค่ไม่กี่วัน ร่างกายของเฉินกั๋วเหลียงถูกโรคทรมานทรุดโทรมจนถึงขนาดนี้แล้ว!
“คุณปู่!” เฉินโม่เรียกเบา ๆ แล้วจับมือของเฉินกั๋วเหลียงเอาไว้ น้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“เสี่ยวโม่นั่งลงเถอะ สิ่งที่ปู่จะพูดต่อไปนี้มันยาวหน่อย!” สภาพจิตใจของเฉินกั๋วเหลียงไม่เลว คำพูดก็ค่อนข้างชัดเจน
เฉินโม่พยักหน้า ย้ายเก้าอี้ไปอยู่หน้าเฉินกั๋วเหลียง มองเฉินกั๋วเหลียงแล้วกล่าวว่า “คุณปู่ มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!”
เฉินกั๋วเหลียงมองเฉินโม่ ถอนหายใจก่อน ราวกับว่าเขากำลังระลึกถึงอะไรบางอย่าง
จากนั้น เขาก็กล่าวช้า ๆ “เสี่ยวโม่ ยังจำเรื่องที่ปู่คุยกับหลานคราวที่แล้วได้ไหม?”
เฉินโม่พยักหน้า เขารู้ว่าสิ่งที่เฉินกั๋วเหลียงหมายถึงคือวิกฤตของตระกูลเฉิน ที่เฉินกั๋วเหลียงบอกเขาก่อนการทดสอบของตระกูล
เฉินกั๋วเหลียงพยักหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้มปลื้มใจ “ดีมาก ขอบคุณที่ใส่ในเรื่องนี้ จำได้ก็ดีแล้ว เพราะปู่จะได้พูดน้อยลง”
เฉินกั๋วเหลียงกล่าวต่อ “เสี่ยวโม่ ปู่แก่แล้ว ร่างกายทรุดโทรมแล้ว เกรงว่าจะมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ปู่อยากจะฝากตระกูลเฉินให้หลานดูแล หลานเต็มใจไหม?”