มู่เฉียนซีตกตะลึงไปเล็กน้อยและกล่าวด้วยความจนปัญญา “ข้าพยายามมาตั้งนาน แต่กลับได้มาเพียงแค่เสมอกัน!”

เสมอกัน!

แค่เพียงเสมอกันนั้นก็ได้ทำให้เย่เฉินตกใจเป็นอย่างมากแล้ว

ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบวัน นายท่านกลับพัฒนาไปได้น่ากลัวเช่นนี้

ปัง!

มู่เฉียนซีเหนื่อยเพลียเป็นอย่างมากเสียจนหมดสติล้มลงไปในทันที แต่โชคดีที่กู้ไป๋อีดึงตัวนางเอาไว้

“นายท่าน….” เย่เฉินตะลึงงัน เขายังมีเรื่องที่ต้องการจะถามอยู่อีก

“นางต้องพักผ่อน เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่?” กู้ไป๋อีมองไปทางเย่เฉินอย่างเย็นชา

ถึงแม้ว่านายท่านจะไม่เคยพูดถึงเรื่องตัวตนของกู้ไป๋อี แต่เขาก็รู้ว่าคนผู้นี้มิได้ธรรมดาและคงจะสามารถตัดสินใจได้

เขาจึงได้นำเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเหยียนรายงานให้แก่กู้ไป๋อีฟัง กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูใหญ่ไม่เคยเห็นกองกำลังสำนักนิกายระดับหนึ่งอยู่ในสายตา แต่กับกองกำลังสำนักนิกายระดับสองนั้นก็ยังพอที่จะให้หวั่นพรึงอยู่บ้าง เจ้าจะทำเรื่องอะไรก็ขอให้จำสองข้อนี้เอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องคิดมากและหวั่นกลัว”

“ขอรับ!” เย่เฉินพยักหน้าพร้อมกล่าว

หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ฟื้นฟูพลังขึ้นมาแล้ว เย่เฉินก็ได้รออยู่ที่ด้านนอกแล้ว

หลังจากที่ได้ทราบสถานการณ์ นางกล่าว “เจ้าเมืองเหยียนต้อนรับเจ้าเมืองเหลย และมีการเชื้อเชิญไปยังกลุ่มกองกำลังต่าง ๆ ดูแล้วจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง!”

มุมปากของมู่เฉียนซียกโค้งขึ้นเล็กน้อย นางกล่าว “บางทีคืนนี้อาจจะมีเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้น พวกเราไปกันเถอะเสี่ยวไป๋!”

กู้ไป๋อีหยุดฝีเท้าลง “ข้าฝึกซ้อมกับเจ้ามาตั้งนานเช่นนี้แล้ว เจ้าไม่เรียกข้าว่าอาจารย์ด้วยความเคารพสักคำก็ยังมิว่า แต่เจ้าสามารถเปลี่ยนคำเรียกขานได้หรือไม่?”

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “แค่เพียงเจ้ายังอยู่กับข้าแม้เพียงหนึ่งวัน เช่นนั้นข้าชอบที่จะเรียกเจ้าว่าอะไรก็จะเรียกไปเช่นนั้น ถึงแม้ว่าข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ยังจะเรียกอยู่เช่นเดิม”

กู้ไป๋อีไม่มีอะไรจะกล่าว!

ด้วยเพราะรองเจ้าเมืองเหลยเลือกที่จะหาผลประโยชน์เข้าหาตนเอง งานเลี้ยงครั้งนี้เลยถูดจัดอย่างใหญ่โตยิ่งนัก

เจ้าเมืองเหยียนนั้นไม่อยากที่จะสร้างปัญหา เพียงแต่อยากให้พวกเขาจากไปโดยเร็วเท่านั้น!

“ผู้นำตระกูลเหลยมาถึงแล้ว!”

แน่นอนว่าผู้ที่มาถึงเป็นผู้แรกนั้นคือตระกูลเหลย!

ในตอนนี้ผู้นำหน้าตระกูเหลยเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และราวกับว่าเขาได้มองข้ามเจ้าเมืองเหยียนไปในทันที จากนั้นได้เดินตรงเข้าไปทางรองเจ้าเมืองเหลยแล้วกล่าวขึ้น “คารวะท่านรองเจ้าเมืองเหลย!”

เป็นเช่นนี้แล้วยิ่งทำให้เจ้าเมืองเหยียนระแวดระวังขึ้นมา!

พวกเขาวางแผนอะไรกัน?

พวกเขาทั้งสองได้พูดคุยกัน แล้วได้ละทิ้งเจ้าเมืองเหยียนผู้ที่เป็นเจ้างานอย่างแท้จริงไว้เบื้องหลัง

หลังจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ได้ล้วนมากันจนครบ เจ้าเมืองเหลยมองไปยังที่นั่งที่ยังว่างอยู่แล้วกล่าว “ยังเหลือสำนักนิกายครึ่งระดับหรือ? เป็นตระกูลใดกันแน่? การประชุมที่ข้าเรียกตัวพวกเขากลับยังกล้ามาช้า”

การประชุมที่เขาเป็นผู้เรียกประชุม! ทุกคนต่างตะลึงงัน นี่มิใช่เป็นเจ้าเมืองเหยียนเรียกประชุมหรอกหรือ?

ผู้นำตระกูลเหลยกล่าว “เป็นแค่เพียงตระกูลเย่ที่ไม่โดดเด่นเท่านั้น แต่กลับมีอารมณ์ที่ไม่เบา เจ้าเมืองเหลยจงอย่าได้โกรธกริ้ว!”

“ตระกูลเย่นี่ช่างกล้าดีนัก!”

เสียงอันอ่อนโยนของบุรุษผู้หนึ่งได้ลอยมา “ถึงต่อให้ตระกูลเย่ของข้ามีความกล้า แต่ก็มิกล้าที่จะปากมากกับแขกเอะอะโวยวายเช่นนี้ได้”

ผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่นั้นดูง่ายดายเป็นอย่างมาก สองบุรุษกับอีกหนึ่งสตรี อีกทั้งยังมีอายุเยาว์วัยยิ่งนัก

พวกเขาทั้งสามก็คือมู่เฉียนซี กู้ไป๋อี และเย่เฉิน!

เจ้าเมืองเหยียนเองก็ตะลึงเช่นกัน “ที่มามีเพียงแค่พวกเจ้าสามคน?”

ถ้าหากว่าท่านผู้เฒ่าเย่มาแล้วเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นล่ะก็ ก็ยังพอจะมีบุคคลระดับมหาจักรพรรดิถึงสองคนคอยควบคุมสถานการณ์ เหลยอ๋าวเองก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

แต่ทว่าในตอนนี้ไม่มีท่านผู้เฒ่าเย่มาด้วย และพวกเขามากันเพียงแค่สามคน เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะวุ่นวายเสียแล้ว

“ข้าก็คือผู้นำตระกูลของตระกูลเย่ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองเหยียนเรียกตัวพวกเรามาด้วยเพราะมีเหตุอันใด?” เย่เฉินมองไปทางเจ้าเมืองเหยียน

เจ้าเมืองเหยียนเองก็ตะลึงค้าง เห็นได้ชัดว่าเพียงแค่ไม่กี่วันเขาก็กลับรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ของเย่เฉิน

“เป็นตระกูลที่ไม่สะดุดตาอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ผู้ที่เป็นผู้นำกลับเป็นเด็กหัวขนผู้หนึ่ง” เหลยอ๋าวกล่าวอย่างเหยียดหยาม

เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “อายุย่อมเยาว์ย่อมมีอนาคต ทำไมถึงจะเป็นผู้นำตระกูลไม่ได้เล่า?”

เหลยอ๋าวกล่าวอย่างดุดันรุนแรง “อายุย่อมเยาว์ย่อมมีอนาคต หรือว่าเจ้าเมืองเหยียนต้องตาเจ้าเด็กหนุ่มนี่เข้าแล้ว อยากที่จะให้มันมาเป็นบุตรเขยของเจ้า?”

เจ้าเมืองเหยียนกล่าวอย่างราบเรียบ “รองเจ้าเมืองเหลยกล่าวเรื่องน่าขันเสียแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างเกียจคร้าน “คืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองที่จะต้องมีการดื่มกิน หรือว่าเป็นสถานที่ที่เอาไว้ให้ดูไก่ตัวผู้มาสำแดงอำนาจกันแน่ ถ้าหากว่าเป็นการจัดงานเลี้ยง เช่นนั้นก็มิใช่ว่าควรที่จะนำอาหารเลิศรสพร้อมสุรารสเลิศมาแล้วหรือ?”

มู่เฉียนซีนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้า ๆ นั่นจึงทำให้เหลยอ๋าวสังเกตเห็นได้ถึงสตรีนางนี้

ผิวพรรณขาวผ่อง ดวงตานั้นประหนึ่งดวงดาราที่หนาวเหน็บ ใบหน้าที่มิอาจจะหาผู้ใดเทียบเทียมได้ ในที่ทุรกันดารแห่งนี้กลับมีหญิงสาวที่งดงามถึงขั้นนี้อยู่ ดูท่าแล้วเหลยเทียนนั้นมิได้โกหก

เหลยอ๋าวยิ้มแล้วกล่าว “มิผิด มิผิด! เริ่มงานเลี้ยง!”

เจ้าหมอนี่ถือเอาที่แห่งนี้เป็นสถานที่ของตนจริง ๆ สายตาของมู่เฉียนซีฉายแววอันหม่นหมองออกมา

เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “เริ่มงานเลี้ยง!”

แน่นอนว่าในงานเลี้ยงนั้นจะขาดการดื่มสุราไปมิได้!

และก็แน่นอนว่าได้มีผู้เข้าไปประจบสอพลอรองเจ้าเมืองเหลยผู้นี้ไม่น้อย

รองเจ้าเมืองเหลยที่สีหน้าแดงก่ำชี้นิ้วไปทางเย่เฉินแล้วกล่าวขึ้น “ไอ้หนู จงให้หญิงสาวผู้ที่อยู่ข้างกายเจ้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้า เร็วเข้า มิเช่นนั้นแล้วข้าจะสับเจ้าเสีย…..”

สีหน้าของเย่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชา แม้แต่กู้ไป๋อีเองก็ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออมาด้านนอก มู่เฉียนซีได้ชักกระบี่มังกรเพลิงออกมาพลัน

นางฟาดฟันกระบี่ลงไปแล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าบังอาจนัก!”

ปัง!

แกรก!

แน่นอนว่ารองเจ้าเมืองเหยียนสามารถหลบกระบี่นี้ไปได้ โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ถูกผ่าออกเป็นสองซีก

รองเจ้าเมืองเหลยที่แกล้งเมาอยู่นั้นก็ได้พลันตื่นตัวขึ้นมา แล้วมองไปยังหญิงสาวที่ถือกระบี่อยู่นั้นด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าบังอาจ!”

มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย “ข้าบังอาจ? ผู้ที่บังอาจคือเจ้าถึงจะถูกกระมัง! เจ้าเป็นไก่เฒ่าตัวผู้ตัวหนึ่งที่มาให้เขาเชือดถึงที่แล้วยังจะกล้ามาทำตัวโอหังอีก รนหาที่ตาย!”

“ไก่เฒ่าตัวผู้!” รองเจ้าเมืองเหลยเบิกตากว้างโพลงมองไปยังมู่เฉียนซี

“เจ้ารนหาที่ตาย!” เขาคิดที่จะพุ่งเข้ามาบีบคอของมู่เฉียนให้ตาย แต่ทว่ากลับถูกผู้นำตระกูลเหลยห้ามเอาไว้

“ท่านรองเจ้าเมือง อย่าได้ถูกเด็กสาวผู้หนึ่งทำให้โมโหไป ยังมีเรื่องธุระสำคัญนัก”

เมื่อถูกเกลี้ยกล่อม ในที่สุดเขาก็สงบลง

เหลยอ๋าวกล่าว “ใช่ จะต้องมิถูกหญิงสาวผู้หนึ่งทำให้โกรธเสียจนลืมเรื่องสำคัญ”

เหลยอ๋าวมองไปทางเจ้าเมืองเหยียนแล้วกล่าว “เจ้าเฒ่า เจ้ามีพลังความสามารถระดับมหาจักรพรรดิเสียเปล่า แต่กลับมิได้มีความกล้าหาญสักเท่าไรนัก! เมืองเหยียนแห่งนี้ควรเปลี่ยนผู้เป็นเจ้าเมือง เปลี่ยนมาเป็นข้าแทน ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะขัดแย้งหรือไม่?”

ทุกคนเกิดความโกลาหล “เจ้าเมืองเหลยผู้นี้มิได้มาดี แต่มาด้วยเพราะเพ่งเล็งตำแหน่งเจ้าเมืองเอาไว้”

“เขาอยากที่จะเป็นเจ้าเมืองเหยียน!”

“…….”

เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “ตำแหน่งเจ้าเมืองนี้ ข้าเป็นของข้ามาดี ๆ และไม่คิดที่จะสละให้! เจ้ากล่าวขบขันเสียแล้วรองเจ้าเมืองเหลย”

เหลยอ๋าวมองไปยังเหล่าบรรดาผู้ร่วมประชุม “ไม่ทราบว่าทุกท่านที่อยู่ในนี้คิดเช่นไร?”

เจ้าเมืองเหยียนจัดการเรื่องต่าง ๆ ยังนับได้ว่ายุติธรรม พวกเขาเองก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยนตัวเจ้าเมือง!

กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันเข้ามาคุกคามจากรอบด้าน ที่แห่งนี้กลับมีคนจำนวนไม่น้อยที่สวมชุดเกราะสีดำล้อมอยู่ที่แห่งนี้เอาไว้อยู่

เหลยอ๋าวกล่าว “ถ้าหากว่ามีผู้ไม่ตอบตกลง เช่นนั้นข้าก็คงทำได้เพียงฆ่าทิ้งเสีย แล้วก็ถือโอกาสทำให้ตระกูลของเจ้าหายไปจากเมืองเหยียน!”

ภัยคุกคาม นี่เป็นภัยคุกคามอย่างแน่แท้!

เจ้าเมืองเหยียนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ที่แห่งนี้เป็นที่ของข้า หากจะลงมือก็ไม่แน่ว่าพวกเจ้าจะชนะ”

เหล่าผู้คุ้มกันของจวนเจ้าเมืองก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว ในตอนนี้เองก็ได้มีพลังระดับมหาจักรพรรดิพลังหนึ่งถูกส่งมาจากที่ที่มิได้ไกลออกไปมากนัก