ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 618 โผล่มาเจอเรื่องยินดี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

‘เป็นไปไม่ได้ มาอีกแล้วหรือ?’

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาว สถานการณ์ตรงหน้าคล้ายคลึงกับตอนไปถึงโลกผืนสมุทรเป็นครั้งที่สอง

อาหู่กับเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้างอดปรายตามองเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้

“คุณชาย เหตุใดพวกเราไปที่ไหน ที่นั่นก็เปิดสงครามตลอดเลยเล่า?” อาหู่อ้าปากถาม

ชายหนุ่มตอบอย่างไม่พอใจ “จะไปรู้หรือ?”

สิ่งที่ดีกว่าครั้งที่แล้วเล็กน้อยก็คือ ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ตกอยู่กลางสนามรบ เผชิญการโจมตีของสองฝ่ายที่สู้กันอยู่

แต่ว่าสงครามตรงหน้านี้รุนแรงกว่าความขัดแย้งของสำนักคืนวิญญาณกับเกาะงูเขียวก่อนหน้านี้เสียอีก

ทั้งสองฝ่ายที่รบอยู่สู้กันอย่างดุเดือด เข่นฆ่าจนธารเลือดกลายเป็นแม่น้ำ พวกเยี่ยนจ้าวเกอเพ่งตามองไป เห็นซากศพกองไปทั่วทุกที่

เลือดรวมตัวกันบนพื้น เกือบจะแห้งสนิท เหมือนกับโคลนสีดำ

กลางท้องฟ้า จอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์คนนั้นกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด สู้กันจนเกิดพายุพัดเมฆพรั่งพรู ฟ้าทลายดินถล่ม

บนพื้นดินมีจอมยุทธ์ที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำฆ่าฟันอย่างดุดัน สภาพการณ์รุนแรงยิ่งกว่า

บนเส้นขอบฟ้าไกลออกไปมีแสงส่องสว่าง พลังอันมหาศาลสั่นสะเทือนจิตใจกระเพื่อมขึ้นอย่างต่อเนื่อง เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าที่นั่นมียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์กำลังสู้กัน

ถึงแม้จะอยู่ห่างไปหมื่นลี้ พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินใต้เท้าสั่นไหวไม่หยุด

พวกเขากับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกต่างเงียบเสียง เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาทั้งสอฝ่ายที่กำลังสู้กันอย่างละเอียด

สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว พลังฝึกปรือของคนที่อยู่เบื้องหน้า ไม่อาจพูดได้ว่าสูงส่งมาก แต่กลับมองอะไรออกอยู่ไม่น้อย

เฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่มองพักหนึ่ง สีหน้าจริงจังขึ้นมาก

“โลกซ้อนโลกไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย นอกจากมีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมมากกว่า วรยุทธ์ที่จอมยุทธ์ของที่นี่ฝึกฝนยังมีมากมายสารพัด” อาหู่พึมพำ “ไม่รู้ว่าพวกคนที่อยู่ด้านหน้ามีเบื้องหลังเป็นอย่างไร แต่ว่าวรยุทธ์ที่พวกเขาใช้ แม้จะสู้เคล็ดวิชาแดนศักดิ์สิทธิ์ของแปดพิภพไม่ได้ แต่ก็เทียบได้กับวรยุทธ์ที่ขุมกำลังระดับหนึ่งระดับสองเหล่านั้นถ่ายทอด”

เฟิงอวิ๋นเซิงใคร่ครวญเล็กน้อย “ตามคำบอกเล่าของผู้อาวุโสม่อที่ท่านเล่าให้ฟัง แก่นของวิชาก่อนมหาภัยพิบัติในโลกซ้อนโลก แม้จะสาปสูญไปเป็นจำนวนมาก แต่การเก็บรักษาสมบูรณ์ยิ่งกว่าแปดพิภพ”

“ถึงกับมีวิชาระบบเต๋าที่ยังไม่ถูกตัดขาดเหมือนสำนักประกายกาฬอยู่ด้วย ระดับวรยุทธ์ของที่นี่สูงส่งกว่าแปดพิภพ”

นางหันมองรอบๆ “ปราณวิญญาณของที่นี่เต็มเปี่ยมขนาดนี้ ของวิเศษและทรัพยากรมากายก็อุดมสมบูรณ์กว่าแปดพิภพเช่นกัน”

อาหู่ชมดูทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กัน “ฝ่ายหนึ่งบุกถอยอย่างมีลำดับขั้นตอน ให้ความรู้สึกคล้ายกองทหาร…”

เยี่ยนจ้าวเกอไม่พูดอะไร เขาก็มีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

เห็นจอมยุทธ์สวมเกราะกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือจะไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อรวมกันกลายเป็นกระบวนทัพ เลือดลมต่างระอุ โจมตีใส่ศัตรูเหมือนภูเขากดทับศีรษะ

พลังของทุกคนรวมกันเป็นจุดเดียว การเปลี่ยนแปลงด้านจำนวนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณสมบัติ แสดงให้เห็นว่ากำลังร่วมมือกันใช้กระบวนทัพที่แข็งแกร่งบางอย่าง

จอมยุทธ์หลอมกายมากกว่าหนึ่งพันคนตั้งทัพต่อสู้ รวมพลกันบริเวณหนึ่ง เล่นงานศัตรูระดับปรมาจารย์กลุ่มหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามแตกอย่างไม่เป็นขบวน!

อีกด้านหนึ่งมีระดับมหาปรมาจารย์อยู่ด้วย พลังทำลายล้าง แม้แต่กองทัพพันคนยังไม่อาจต้านทาน

แต่ในกองทัพนี้ไม่เพียงแต่มีจอมยุทธ์หลอมกายเท่านั้น ยังมีปรมาจารย์วรยุทธ์จำนวนไม่น้อยด้วย

ภายใต้การนำของเขา กระบวนทัพแสดงพลังที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิม ขณะเดียวกันยังตอบโต้จอมยุทธ์ปรมาจารย์เหล่านี้ ทั้งสองฝ่ายรวมพลังกันปะทะคู่ต่อสู้ระดับมหาปรมาจารย์ตรงหน้า

กระบวนทัพเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ภายใต้การบัญชาการณ์ของผู้บัญชาการ กระบวนทัพมากมายรวมตัวกัน พลังซับซ้อนเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง

ถึงแม้พลังของกระบวนทัพจะมีจำกัด แต่ว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิต ยังถูกกระแสธารเหล็กกล้านี้ซัดโถมจนโซเซอยู่ชั่วขณะ

ทางด้านกองทัพ มีผู้บัญชาการระดับมหาปรมาจารย์อยู่เช่นกัน เมื่อมีกระบวนทัพคอยช่วยเหลือ จอมยุทธ์ที่สู้ใครสู้มันซึ่งอยู่ตรงกันข้าม พลันต้านทานไม่ได้

เยี่ยนจ้าวเกอมองเหตุการณ์นี้อย่างสงบนิ่ง

ระดับพลังฝึกปรือสูงเท่าไร คิดพิชิตโดยอาศัยจำนวนเพื่อเอาชนะยิ่งเกิดขึ้นยากเท่านั้น

เนื่องจากไม่มีกระบวนทัพที่บรรจุยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นร้อยเป็นพันได้

อย่าว่าแต่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ มหาปรมาจารย์ก็ไม่อาจรวมพลังกันได้เช่นกัน

เหมือนที่ตนใช้ค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มทลายประสานกับพลังของพวกเยี่ยนตี๋และผู้อาวุโสม่อสี่คน ต้านทานปีศาจอัคคี ก็เป็นสถานการณ์ที่หาได้ยากแล้ว

แต่ว่าเทพไท่อี้ถล่มทลายเป็นค่ายกลสี่คน

กระนั้น ในตอนที่ระดับของทุกคนค่อนข้างต่ำ จอมยุทธ์พลังฝึกปรือต่ำจำนวนมหาศาลรวมทัพกัน ก็อาจจะใช้จำนวนชดเชยความต่างของระดับพลังฝึกปรือได้จริงๆ เหตุการณ์ตรงหน้านี้เป็นการอธิบายที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว

เมื่อกวาดมองทั่วบริเวณ สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอพลันกลายเป็นเคร่งขรึม ‘หือ? โผล่มาเจอเรื่องน่ายินดี ราบรื่นกว่าที่คิดไว้เสียอีก…’

สถานการณ์ไม่กระจ่างมากนัก แม้แต่สถานะของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ชัดเจน เยี่ยนจ้าวเกอไม่คิดจะสอดมือ เพียงรอหลังจากสงครามสงบลง ค่อยจับคนผู้หนึ่งมาสอบถาม

แต่เมื่อเขามองอย่างละเอียด ก็พบบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งอย่างฉับพลัน

บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ดำผู้นี้ ถึงแม้จะอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ แต่อีกฝั่งก็มีผู้นำระดับมหาปรมาจารย์สวมเกราะอ่อน ลักษณะเหมือนนายกองกำลังจับจ้องเขาอยู่

เนื่องจากสู้ศัตรูจำนวนมากไม่ได้ บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ดำผู้นี้เจออันตราย ในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอพบเขา เขากำลังถูกคนแทงหอกใส่อกพอดี!

เหตุผลที่ดึงดูดความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็คือ อาภรณ์ที่คนผู้นี้สวมใส่ คล้ายกับเหลียงจื้อเชา จอมยุทธ์สำนักความมืดที่ตายในสุสานมังกรผู้นั้น

เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นจอมยุทธ์สำนักความมืดคนหนึ่ง

เผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูบนสนามรบ ฝั่งที่จอมยุทธ์สำนักความมืดผู้นี้อยู่เริ่มแตกพ่าย หนีกันหัวซุกหัวซุน

บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์สีดำโดนแทงหอกใส่ พลิกคว่ำลงบนพื้น คนหนุ่มชุดแพรด้านข้างเขาเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบร้อนเข้าไปแบกเขาขึ้น ก่อนจะหมุนกายหนีไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเห็นอีกฝ่ายเริ่มแตกกระเจิง กองทัพสวมเกราะก็แตกทัพ เริ่มไล่สังหารศัตรูที่หลบหนี สำหรับพวกเขาแล้ว ศีรษะของอีกฝ่ายคือรางวัล

คนหนุ่มเสื้อแพรแบกบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ดำหนีข้ามเขาข้ามตลิ่ง

ไม่ทราบว่าหนีไปนานขนาดไหน เบื้องหน้ารกร้างไร้ผู้คน เขาเพิ่งคิดจะหยุดพักระบายลมหายใจ ด้านหลังพลันมีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังขึ้น

คนหนุ่มเสื้อแพรหันไปมองในทันใด เห็นมหาปรมาจารย์กลุ่มหนึ่งและจอมยุทธ์สวมเกราะกลุ่มหนึ่งไล่ตามมา

อีกฝ่ายเห็นบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ดำด้านหลังเขา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม “โจรทรยศสำนักความมืดมีค่ายิ่งกว่ากบฏตัวอื่น”

กีบม้าเหล็กของศัตรูมาถึงเบื้องหน้า คนหนุ่มชุดแพรหน้าซีดขาว สายตาสิ้นหวัง ‘หรือวันนี้เราจะต้องตายที่นี่?’

ขณะที่คิด ด้านหน้าเขาพลันพร่าเลือน

ที่เบื้องหน้าของจอมยุทธ์สวมเกราะผู้นั้นก็พร่าเลือนเช่นกัน จู่ๆ ก็พบว่าในป่าปรากฏคนหนุ่มผู้องอาจในอาภรณ์ขาว ด้านนอกคลุมเสื้อคลุมสีน้ำเงินขลิบดำผู้หนี่ง ขวางอยู่เบื้องหน้าเขา

อาวุธในมือพวกเขาหล่นลง อีกฝ่ายไม่ได้เคลื่อนไหวใด เพียงยืนเอามือไพล่หลังอย่างสงบ

วินาทีถัดมา จอมยุทธ์สวมเกราะทั้งหมดก็กระเด็นออกไป ปากกระอักเลือด ชีวิตดับสิ้น

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าราบเรียบ เขาหันไปมองบุรุษวัยกลางคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักจนสลบไป จากนั้นสายตาก็อยู่บนร่างคนหนุ่มเสื้อแพรที่ยังสับสน “ท่านคือผู้สืบทอดสำนักความมืดหรือ?”