GGS:บทที่ 1011 โฆษณาชวนเชื่อ
“ช่วยวิลตันเร็วเข้า” สมาชิกในทีมของวิลตันที่นิ่งอึ้งอยู่นอนนั้นเมื่อได้ยินเสียงนี้ก็ตื่นจากภวังแล้วรีบตรงไปช่วยเหลือวิลตันในทันที
ก็ไม่แปลกที่พวกเขานั้นจะอึ้งจนนิ่งแต่อย่างใด นั่นก็เพราะพวกเขาเพิ่งจะได้เห็นคนพิการที่ใส่อวัยวะเทียมอัดนักสู้ที่เก่งที่สุดของพวกเขาสลบเหมือดไปต่อหน้า นี่เป็นฉากที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้จริงๆ
“ชนะ? เทียนดาจูชนะเหรอ” จี้เสี่ยวถิงในตอนนี้ถามออกมาด้วยท่าทีอึ้งๆราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“แถม…ชนะได้ง่ายๆเลยนะนั่น เทียนดาจูนั่นสมควรจะไม่เคยขึ้นสู้ที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน เห็นเขาประหม่าตั้งแต่ตอนแรกนั่นก็รู้แล้ว
หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาประหม่าล่ะก็ ฉันว่าวิลตันนั่นหมอบกระแตไปตั้งแต่ยังไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ” หวูหลงกล่าวสำทับออกมาอย่างตื่นเต้น
“อวัยวะเทียมนั่นเองก็เคลื่อนไหวได้อย่างสวยงามจนวางตาไม่ได้เลย” ตาของฮู่เฟยหยุนในตอนนี้จ้องไปยังอวัยวะเทียมของเทียนดาจุนอย่างเปล่งปะกาย เขาไม่เคยนึกฝันเลยจริงๆว่าจะต้องมาอิจฉาคนที่มีอวัยวะเทียมแบบนี้มาก่อน
“เพลงหมัดไท้เก๊กของเขาเองก็อยู่ในระดับสูงเลยนะ ยากที่จะเชื่อได้เลยจริงๆว่าเขาจะเพิ่งเรียนหมัดไท้เก๊กได้แค่สองสามวัน” ไคหวูเฟิงพูดออกมา
“ไม่นึกมาก่อนเลยว่าพ่อของพวกเราจะแข็งแกร่งขนาดนี้” ลูกๆของเทียนดาจูเองทำได้มองแบบอึ้งๆเท่านั้น
“อาจิ้ง นายทำได้ยังไงกัน” ฮู่ฮงหยางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา ซูจิ้งเองที่ได้ยินก็แค่หัวเราะตอบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
ผู้ชมโดยรอบตอนนี้พูดกันอย่างไม่หยุดปากราวกับว่ายอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ายังไม่ได้
“นี่ฉันฝันไปใช่รึเปล่า”
“นั่นสิ อย่างกับดูหนังไซไฟเลย”
“นายคิดว่าเทียนดาจูเก่งเพราะวิชาการต่อสู้ของเขาหรือว่าเป็นเพราะอวัยวะเทียมน่ะ”
“ถึงแม้ว่าอวัยวะเทียมนั่นจะเจ๋งมากก็จริงแต่หากเขาไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้มาไม่มีทางเลยที่เขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบนั้น แต่ขาเทียมนั่นก็สุดยอดไปเลยนะที่ไล่ตามการเคลื่อนไหวของศิลปะการต่อสู้ได้ทันแบบนี้”
“ฉันได้ยินมาว่าเทียนดาจูไม่ได้ฝีกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กอะไรนั่นเลยนะ เขาพึ่งจะเรียนรู้จากซูจิ้งได้เพียงสองสามวันเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้เขายังต้องนั่งบนรถเข็นอยู่เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้คนในสนามต่างส่งต่อคำพูดออกไปก่อนที่จะจับจ้องไปยังเทียนดาจูที่กำลังก้าวเดินลงจากเวทีอย่างสงบเยือกเย็น
เมื่อเขาลงจากเวทีก็ได้คำนับซูจิ้งราวกับว่าเป็นการรายงานว่าภารกิจเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะเดินไปรับผ้าขนหนูที่ลูกสาวยื่นมาให้อย่างสบายอารมณ์มาเช็ดหน้าราวกับเพิ่งออกกำลังกายมาเหนื่อยๆ
แน่นอนว่าเขาใช้แขนเหล็กของเขามาซับหน้าราวกับใช้มือปกติ นี่ยิ่งทำให้ผู้ชมต่างก็มองตาไม่กระพริบ แม้แต่ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง และนักศิลปะการต่อสู้คนอื่นๆเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน แถมพวกเขายังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับ ราวกับเด็กน้อยที่เจอของเล่นที่ถูกใจแต่ไม่สามารถครอบครองไว้ได้
“ไปเถอะ” ซูจิ้งได้นำทีมของพวกเขาจากไป แต่ยังไม่ทันได้ออกไปดี วิลตันที่ได้ตื่นขึ้นมาอย่างสลึมสลือก็ได้จ้องมองยังแผ่นหลังอันผอมบางและแขนขาเหล็กของเทียนดาจู
ตอนนั้นเองเขาก็เหมือนจะเพิ่งนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้น เขานั้นรับไม่ได้ที่ต้องแพ้ เขาพยายามจะลึกขึ้นแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก และทันทีที่เขาลุกขึ้นได้ เขาก็พยายามตะโกนออกมาว่า “หยุ…”
เพียงยังไม่สุดเสียงดี ราวกับว่าอาการบาดเจ็บทั้งหลายราวกับเรียกร้องความเป็นธรรมที่ถูกลืมเลือน วิลตันพ่นเลือดออกมาจากปากกระจายไปทั่ว ร่างกายของเขาเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนทำให้หัวของเขาหมุนและเกือบหมดสติไปอีกครั้ง
โค๊ช ผู้จัดการ คนในทีมของวิลตัน รวมทั้งหมอต้องรีบเข้ามาประคองก่อนที่จะพูดให้เขานั้นตัดใจไป พวกเขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับแม้แต่น้อย
แต่จากฉากที่เห็นนั้นทำให้พวกเขารู้ดีว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้แย็งแกร่งจนน่ากลัวเกินไป ต่อให้ต้องสู้กันอีกครั้งผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากเดิม ดีไม่ดีจะแย่กว่านี้ด้วยซ้ำ
แถมต่อให้วิลตันจะชนะได้จริง แต่ตอนนี้เหล่าผู้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในวงการศิลปะการต่อสู้จีนนั้นได้เคลื่อนไหวแล้ว
ต่อให้ชายพิการผู้นี้ต้องพ่ายแพ้ต่อพวกเขา แต่คนที่แกร่งกว่าอย่างไคหวูเฟิง ฮู่เฟยหยุน และซูจิ้งก็อยู่ตรงนี้ด้วย พวกเขาไม่ยินยอมให้พวกของวิลตันได้ดูถูกศิลปะการต่อสู้จีนอีกต่อไปอย่างแน่นอน
พวกเขาในตอนนี้เองต่างพึ่งจะเริ่มตระหนักในความน่ากลัวของศิลปะการต่อสู้จีนแล้ว โดยเฉพาะหากชายพิการผู้นี้เป็นเพียงแค่วัวชิมลางล่ะก็ พวกเขาก็ไม่มีหน้าที่จะเหยียบประเทศนี้ได้อีกต่อไป
นักข่าวหลายๆคนเองก็ได้พยายามติดตามกลุ่มของซูจิ้งไปตลอดทาง มีหลายคนเหมือนกันที่อดไม่ได้ที่จะขวางซูจิ้งและเทียนดาจูเอาไว้ให้หยุดสัมภาษณ์ก่อน
แต่ทันทีที่พวกเขาสบตาเข้ากับเทียนดาจูเท่านั้น ต่อให้เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่นั่นก็ทำให้เหล่านักข่าวที่สบตาไม่กล้าที่จะสัมภาษณ์แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้มีท่าทีที่จะห้ามไม่ให้ถ่ายรูปหรือภาพวิดีโอ นี่ทำให้ช่างภาพกระหน่ำกล้องของตัวเองกันอย่างจ้าละหวั่นจนกระทั่งพวกของซูจิ้งและเทียนดาจูได้ก้าวขึ้นรถบัสและจากไป
เมื่อรถของพวกซูจิ้งได้จากไป นักข่าวได้เร่งรีบสร้างหัวข้อข่าวและปล่อยออกไปอย่าวรวดเร็ว
“เฮ้ ผลการประลองออกมาเร็วขนาดนี้ แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าฝ่ายไหนชนะ”
“ฉันเชียร์เทียนดาจูนะ ยังไงซะเขาเองก็เป็นคนของซูจิ้ง เขาเองก็สมควรจะชนะด้วยศิลปะการต่อสู้จีนอย่างแน่นอน”
“แต่ฉันว่าแค่นั้นก็ไม่ได้ช่วยตัดสินได้เลยนะนั่น วิลตันคนนั้นก็ไม่ใช่นักสู้ข้างทางนะ หากเขาไม่เก่งจริงคงไม่ก่อเรื่องแบบนั้นหรอก”
“เดี๋ยวนะ นี่มัน…ฉันไม่ได้เข้าใจผิดใช่รึเปล่า เทียนดาจูเป็นคนพิการนี่นา แล้วเขาจะไปชนะวิลตันได้ยังไง”
“นั่นสิ แต่อวัยวะเทียมของเขานี่ดูดีมากเลยนะ โคตรเท่”
“ห้ะ ชนะ… เทียนดาจูชนะวิลตัน แถมยังจบลงโดยเกือบฆ่าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วอีกด้วย นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า”
“นี่คืออวัยวะเทียมที่โคตรเจ๋งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยล่ะ”
“ก่อนหน้านี้ซูจิ้งออกมาบอกว่าเขานั้นกำลังพัฒนาอวัยวะเทียมอยู่ ฉันเองก็เห็นเขาโฆษณาเรื่องนี้ไปทั่วเลยนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเขาออกมาใช้วิธีการแบบนี้ ฉันบอกได้เลยว่านี่เป็นการโฆษณาที่เจ๋งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”
“มีคนบอกมาว่าซูจิ้งนั้นเพิ่งจะก้าวลงมาเล่นในตลาดเทคโนโลยีแน่นอนว่าเขาแค่จะชิมลางดูเฉยๆไม่มีทางจะลงมาในวงการนี้เต็มตัวอย่างแน่นอนและเขาจะไม่มีทางได้อะไรกลับไปเลย
ฉันอยากรู้จริงๆว่าไอ้คนที่พูดนี่ถ้ามาเห็นว่าอวัยวะเทียมของซูจิ้งนั้นทรงพลังขนาดนี้แล้วพวกนั้นจะทำหน้ายังไงกัน สวรรค์ทรงโปรดจริงๆที่ซูจิ้งตัดสินใจมาพัฒนาวงการเทคโนโลยีแบบนี้”
แต่เดิมนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าการประลองระหว่างนักสู้ศิลปะการต่อจีนกับนักสู้มืออาชีพชาวอเมริการนั้นจะยืดเยื้อไปนาน และสุดท้ายเป็นชาวอเมริกาเป็นผู้ชนะ
ตอนนี้นักสู้ศิลปะการต่อสู้จีนจะชนะแล้ว แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เหตุผลก็เพราะพวกเขาต่างไปติดใจกับอวัยวะเทียมของซูจิ้งทีนักสู้จีนคนนี้ใช้
ทั้งข่าวและวิดีโอการต่อสู้นี้ได้เผยแพร่ขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว จากในกลุ่มเพื่อน ส่งต่อไปเป็นการตั้งกระทู้ ส่งออกไปยังฟอรั่ม ไมโครบลอก และเว็บไซต์ต่างๆ จนก่อนให้เกิดแรงกระเพื่อมในโลกอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง
และเพียงชาวเน็ตได้เห็นข่าวและวิดีโอเหล่านี้ในแวบแรก พวกเขานั้นได้แต่เพียงทำหน้าโง่งมราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“ลูกพี่ฮัว ไม่ดีแล้วครับ” ชายหนุ่มหล่อคนหนึ่งได้โทรหาฮัวหยุนชู น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
“เกิดอะไรขึ้น” ฮัวหยุนชูถามออกมา
“ผลิตภัณฑ์อวัยวะเทียมที่ซูจิ้งพัฒนาขึ้นถูกโฆษณาไปแล้วครับ”
“หืม? ทำไมฉันไม่ได้ยินว่ามันจะจัดงานแถลงออกมาล่ะ แล้วอวัยวะเทียมของมันเป็นยังไงบ้าง”
“หมอนั่นไม่ได้จัดงานแถลงครับ เขาเลือกใช้วิธีที่แตกต่างและไม่มีใครคิดว่านั่นจะเป็นการโฆษณาอวัยวะเทียมของมันเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ลูกพี่คงจะได้ข่าวมาบ้างว่ามีนักสู้ชายอเมริกาคนหนึ่งมาท้าประลองกับนักศิลปะการต่อสู้จีนของเรา ซูจิ้งได้พาคนของตัวเองไปสู้ด้วย
ประเด็นคือคนที่ซูจิ้งพาไปด้วยนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีแขนขาเทียมสามชิ้น ที่สำคัญที่สุดคือเขาชนะอย่างง่ายดาย”
“……………………………” เมื่อฮัวหยุนชูได้ยินสิ่งที่หนุ่มหล่อพูดก็ได้แต่อึ้งจนเงียบเสียงไป
“ประธานหวังคะ ฉันว่างานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์อวัยวะเทียมของเรานั้นคงจะต้องยกเลิกแล้วล่ะคะ”
ณ ห้องประธานสำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลา เฉิงหนานได้รีบเดินเข้ามาหาหวังจ้าวที่กำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะ
“อ้าว จะยกเลิกทำไมกัน ซูจิ้งบอกเหรอ” หวังจ้าวที่ได้ยินถึงกับต้องหยุดมือและหันไปถามเฉิงหนานอย่างจริงจัง
“ต่อให้เขายังไม่พูดมันก็ไม่ต่างจากเขาได้พูดออกมาแล้วค่ะ ประธานควรจะดูด้วยตาตัวเองดีกว่า” เฉิงหนานในตอนนี้มีสีหน้าแปลกๆ เธอได้เปิดข่าวข่าวหนึ่งที่มีคลิปวิดีโอหนึ่งอยู่ให้หวังจ้าวดู
หลังจากหวังจ้าวได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงจนนิ่งเงียบ ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แถมหัวเราะออกมาลั่นจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้เขาจึงได้พูดออกมาว่า “เฮ้ออออ ไอ้หมอนี่….. ไอ้เรารึก็อุตส่าหาวิธีโฆษณาชวนเชื่อไว้เสียดิบดี แต่หมอนี่แค่ลงมือทำสิ่งที่พวกเราเตรียมไว้นี่ไร้สาระไปเลยจริงๆแหะ
แม้แต่ฉันที่ได้เห็นเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้เลย ว่าแต่ทำไมเธอถึงบอกว่าเราควรจะยกเลิกงานล่ะ ตอนแรกที่ฉันได้ยินนี่ฉันตกใจจนหัวใจจะวายเลยนะนึกว่างานจะล่มไม่เป็นท่าไปซะแล้ว”
“ก็ก่อนหน้านี้ประธานหวังได้คุยกับประธานซูเรื่องจัดงานแถลงข่าวไปนี่คะ หลังจากประธานซูได้ยินก็เกิดเรื่องนี้ในทันที พอฉันคิดๆดูแล้วฉันว่าประธานหวังควรถามประธานซูก่อนก็ดีค่ะว่าจะเอายังไงดี” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เอาน่า ไหนๆก็เตรียมตัวกันซะดิบดีแล้วก็ทำต่อไปแล้วกัน” ที่หวังจ้าวพูดออกมาอย่างนั้นเป็นเพราะว่าเพียงการกระทำของซูจิ้งในครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะเกิดความโกลาหลบนโลกนี้แล้ว
ไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องมาจัดงานแถลงอธิบายผลิตภัณฑ์อะไรอีกต่อไป
แต่ที่เขานั้นไม่คิดจะยกเลิกนั้นเป็นเพราะว่าการกระทำของซูจิ้งนั้นช่วยยกระดับความสนใจในผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่ซูจิ้งวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
บรรดานักวิจัยทั่วโลกอย่างในประเทศอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และประเทศอื่นๆที่เคยปรามาตรในเรื่องที่กลุ่มทุนห้วงเวลากำลังพัฒนาระบบประสาทเทียมนั้น
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้และได้เห็นวิดีโอการต่อสู้
พวกเขาทำได้เพียงแสดงท่าทางโง่งมออกมาเท่านั้น