GGS:บทที่ 1010 สุดยอดอวัยวะเทียม

การเคลื่อนไหวของเทียนดาจูนั้นเต็มไปด้วยทักษะแห่งไท้เก๊กอย่างแรงกล้า การเคลื่อนไหวของเขานั้นไหลลื่นราวกับสายน้ำและสายลม นี่คือที่มาของคำว่าสูงสุดคือสามัญ
ด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนนี้ทำให้นักศิลปะการต่อสู้จีนอย่างฮู่ฮงหยาง ไคหวูเฟิง และคนอื่นๆถึงกับตาเป็นประกายในทันที

ด้วยการดึงและผลักของเทียนดาจูนี้ทำให้วิลตันหรือนักสู้ผู้ท้าทายศิลปะการต่อสู้จีนต้องเสียหลักพุ่งไปข้างหน้าจนแทบจะล้มหน้าขมำ
อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของเขานั้นทำให้เขาตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่นั่นก็ยังไม่ดีพอเพราะเมื่อเขารู้ตัวก็พบว่ามือเหล็กของเทียนดาจูยังคงดึงเขาให้พุ่งไปข้างหน้าจนเมื่อเทียนดาจูได้ปล่อยมือไปแล้วใบหน้าอันแข็งกร้าวของวิลตันก็ต้องไถลกับพื้นเวทีในที่สุด
และการไถลนี้ไม่ใช่การเสียหลักธรรมดาแต่เป็นเทียนดาจูเองที่หลังจากดึงวิลตันจนเกือบถลาหน้าลงจอดพื้น
เทียนดาจูได้ใช้ไหล่ขวากระแทกกับสะบักหลังแขนขวาของวิลตันช่วยเพิ่มแรงให้เกิดใบหน้าของวิลตันได้ลงจอดไปยังพื้นอย่างสวยงาม

นี่เองราวกับเป็นการลั่นกลองเปิดศึก วิลตันที่เลือดขึ้นหน้าได้ดีดตัวม้วนหน้าให้ลำตัวตั้งกับพื้นที่ห่างจากเทียนดาจูเป็นระยะสามก้าว
ในตอนนี้เขานั้นยืนนิ่งๆราวกับทบทวนเรื่องราว และตอนนี้เองที่เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ทั้งที่ใบหน้า และสะบักหลัง
เขายินหนึ่งยืนนานพอสมควร นั่นก็เพราะความเจ็บปวดนี้มันเกิดขึ้นในกล้ามเนื้อส่วนลึกจนเขานั้นเริ่มรู้สึกได้เลยว่าแขนของเขานั้นไม่สามารถใช้การได้มากนัก ทำได้เพียงยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้เองที่น้ำตาของเขาได้ไหลออกมา เขารู้ดีว่าตัวเองมีจุดอ่อนอยู่ทีสะบักหลังนี้ แต่ไม่คิดว่าเทียนดาจูนั้นเพียงโจมตีส่งๆมาแต่กลับเจาะเข้าจุดอ่อนของเขา
ความเจ็บปวดได้แล่นเข้าสู่สมองมากขึ้นจนทำให้วิลตันต้องกึ่งกระโดดกึ่งถอยหนีในทันที พร้อมความรู้สึกอันสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้แต่ผู้จัดการของวิลตันเองก็สับสนไม่ต่างกัน
ผู้ชมการแข่งขันที่เห็นฉากนี้ต่างก็ทำได้เพียงแค่หน้าโง่งม

“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“โจมตีสวนกลับ ฉันว่าเทียนดาจูน่าโจมตีสวนกลับเข้าจุดอ่อนนะ”
“แขนเหล็กและขาเหล็กของเขานี่ยืดหยุ่นชะมัด”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะ แขนขานั่นมันราวกับว่าจะแข็งก็ได้จะอ่อนก็ได้ มันเหมือนกับว่าอวัยวะพวกนี้มันเปลี่ยนสภาพตัวเองได้ยังไงอย่างนั้น อวัยวะเทียมพวกนี้เหมาะเจาะกับหมัดไท้เก๊กดีได้อย่างลงตัว”
“การเคลื่อนไหวนั่น….ดูเหมือนว่าเขานั้นเป็นปรมาจารย์ไทเก๊กนะ”
“นั่นน่ะสิ ช่างคาดไม่ถึงเลยจริงๆ”
“เป็นไปได้ยังไง นี่เขาเพิ่งจะเรียนเพียงสองสามวันจริงๆเหรอ” ฮู่ฮงหยางได้พูดออกมาด้วยสายตาที่ตกตะลึง

“ยิ่งไปกว่านั้น อวัยวะเทียมนั่นมันยืดหยุ่นมากเลยนะ เมื่อไหร่กันที่เทคโนโลยีอวัยวะเทียมมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว”ไคหวูเฟิงพูดออกมาด้วยท่าทีไม่ต่างกัน
ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง หวูหลง และคนอื่นๆต่างก็มีสภาพไม่ต่างกันและพวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา สองพี่น้องลูกของเทียนดาจุนเองก็สับสนไม่น้อยเลยทีเดียว
นั่นก็เพราะว่าพ่อของพวกเขานั้นเพิ่งจะห่างจากพวกเขาไปฝึกวิชากับซูจิ้งเพียงสามวันเท่านั้น และทำไมตอนนี้เขาถึงได้เก่งกาจขนาดนี้

“นี่ๆ ผมบอกแล้วนี่ครับต้องวางมาดในทุกท่วงท่า” ซูจิ้งกล่าวทัดทานออกมาด้วยรอยยิ้ม เอาจริงๆเขาแค่อยากจะตบหน้าของนักสู้มะกันคนนั้น
อวัยวะเทียมนี้เขานั้นได้มาจากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ เจ้าของแขนเทียมนี้คือสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ในห้วงเวลาฯนั้นได้สร้างขึ้นมาเองกับมือ
นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่แขนข้างนี้จะเคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นอวัยวะของจริง แน่นอนว่าอวัยวะเทียมส่วนอื่นนั้นเป็นสถาบันวิจัยของเขาเป็นผู้ตัฒนาขึ้นมา
ในการที่จะให้อวัยวะเทียมเคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นอวัยวะจริงๆนั้น โดยปกติแล้วจะต้องมีการบวนการหนึ่งที่เรียกว่าความทรงจำของกล้ามเนื้อ
มันเป็นการทำอะไรซ้ำๆเพื่อที่จะได้คุ้นชินกับอวัยวะเทียมให้ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันของเจ้าของให้ได้มากที่สุด

แน่นอนว่ากระบวนการนี้จะไม่เกิดขึ้นในอวัยวะเทียมของซูจิ้ง เหตุผลก็เพราะว่าอวัยวะเทียมของซูจิ้งนั้นการเคลื่อนไหวต่างๆจะเชื่อมต่อกับสมองโดยตรง
ตราบใดที่สมองยังสั่งการได้อย่างปกติ อวัยวะเทียมเหล่านี้จะสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่างราวกับมันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย และนี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอวัยวะเทียมอื่นๆเทียบไม่ได้และยากต่อการพัฒนาให้สมบูรณ์

แน่นอนว่าหากอวัยวะเทียมอื่นๆสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดนี้ไปได้ อย่าว่าแต่การยกแก้วดื่มน้ำเลย แม้แต่หยิบของกิน การเขียน วาดภาพ หรือแม้แต่การใช้ในการต่อสู้ก็สามารถทำได้
โดยเฉพาะอวัยวะเทียมของซูจิ้งแล้ว ตราบเท่าที่คนที่ใช้มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ พวกเขาไม่ต้องผ่านการใช้ซ้ำๆนั้นแต่อย่างใด ต่อให้เป็นคนโง่ที่สมองไม่ดี ตราบใดที่ยังมีสมองปกติก็ยังใช้คล่องอย่างง่ายดาย

เทียนดาจูนั้นแต่เดิมสมองของเขาไม่ได้ดีนักเพราะผ่านเหตุการณ์เจ็บปวดมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยการสอนสั่งของซูจิ้งแล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นไม่เพียงสอนเขาแบบตัวต่อตัวเท่านั้น เขายังได้สะกดจิตเทียนดาจูในระหว่างฝึกสอนและนั่นเป็นเพียงการสั่งการสมองของเขาให้จดใจการเคลื่อนไหวต่างๆได้อย่างมั่นยำมากขึ้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเทียนดาจูสามารถจดจำกระบวนท่าต่างๆในหมัดไท้เก๊กได้อย่างสมบูรณ์แน่นอนว่าทั้งกระบวนท่ารุกและกระบวนท่ารับ

ด้วยเหตุนี้ตัวเขานั้นเปรียบได้ดั่งปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้หมัดไท้เก๊กนี้ไปแล้ว เพียงแค่ก่อนหน้านี้เขาประหม่ามากเกินไปทำให้โดนโจมตีได้ง่ายๆเท่านั้น
“ต้องแค่บังเอิญแน่ๆ” ตอนนี้สะบักหลังของแขนขวาของวิลตันนั้นเริ่มเจ็บปวดน้อยลงแล้ว และเขาเองไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าคนพิการที่อยู่ตรงหน้าจะแข็งแกร่งมากไปกว่าเขา
เขาคิดไปว่าเป็นเพียงเพราะเขาประมาทมากเกินไปจึงได้พลาดท่าได้ง่ายๆ และเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้นที่เทียนดาจูโจมตีโดนจุดอ่อนของเขาพอดี
ตอนนี้วิลตันได้ทำการสงบจิตใจลงแล้ว เขาตั้งท่าต่อสู้ในทันทีและได้ก้าวเข้าหาเทียนดาจูอย่างหนักแน่นราวกับเจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ

ทางฝั่งเทียนดาจูเอง หลังจากที่เขาสามารถเคลื่อนไหวตอบโต้วิลตันได้สำเร็จไปแล้วหนึ่งกระบวนท่า ตอนนี้เขาได้มีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นและไม่ประหม่าอีกต่อไป
เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน ท่าทางของเขาหนักแน่นราวหินผาราวกับเป็นปรมาจารย์หมัดไท้เก๊กคนหนึ่ง
ตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้ของตัวเองอีกต่อไป และก็ยังไม่มีใครเริ่มต้นโจมตีแต่อย่างใดต่างดูเชิงกันอย่างสงบ
ไม่นานนักทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับกันอย่างดุเดือดสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้ผู้ชมได้อย่างมาก ผู้ชมนั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนให้ความสนใจกับเทียนดาจูเป็นพิเศษ
นั่นก็เพราะว่าอยากจะสังเกตประสิทธิภาพของอวัยวะเทียมของเทียนดาจูเพื่อหาข้อด้อยของพวกมัน แต่กลายเป็นว่ายิ่งผู้ชมมองยิ่งตกตะลึง บางคนเริ่มคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาไปน้อยคนทีเดียว

นั่นก็เพราะว่าภาพที่ทุกคนเห็นนั้นมันราวกับว่าเทียนดาจูเป็นคนสมบูรณ์ธรรมดา ไม่ได้มีท่าทีว่าเขานั้นได้สวมใส่อวัยวะเทียมเลยแม้แต่น้อย
และที่น่าขำไปกว่านั้นก็คือในขณะที่สองคนกำลังแลกหมัดกันอย่างนัวเนียนั้น วิลตันได้ถูกหมัดของเทียนดาจู่ต่อยเข้าไปเต็มๆ นั่นทำให้เขานั้นต้องเผลอกัดฟันด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาของเขาต้องไหลออกมาอีกครั้ง
วิลตันตอบโต้ด้วยการเคลื่อนไหวหลอกอีกครั้งโดยการแกล้งแย็บออกไปก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเตะออกมา ในตอนนั้นที่ผู้ชมเริ่มเอะใจว่าเขากำลังจะทำอะไร วิลตันก็ได้หมุนตัวเตะไปยังเป้าของเทียนดาจูเรียบร้อยแล้ว

เทียนดาจูเองก็ตกใจไปเล็กน้อยแต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นไม่ได้หยุดชะงักแต่อย่างใด เขาได้หลบฉากออกมาครึ่งก้าวในทันที และเมื่อลูกเตะพลาดเป้าของเขาไป เขาก็ได้ก้าวเข้าไปชิดวิลตันต่อก่อนที่จะโจมตีในทันที
ฉากนี้ทำให้ผู้คนนั้นตื่นตะลึงเพราะว่าการเคลื่อนที่ของเทียนดาจูนั้นรวดเร็วมาก แม้แต่วิลตันเองก็ยังแทบตามไม่ทัน เมื่อวิลตันตั้งตัวได้เขาก็ได้ฟันศอกลงไปยังอกของเทียนดาจู
เป็นอีกครั้งที่เทียนดาจูได้หลบฉากออกไปอีกครั้งด้วยกระบวนท่าหนึ่งของเพลงหมัดไท๊เก๊ก เขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งเมฆหมอกและสายน้ำ
ด้วยสายตาอันแหลมคมของเทียนดาจู ทันทีที่เขาหลบฉากหลบการฟันศอกของวิลตันมาได้ ตอนนั้นเองก็ได้ทำการดึงวิลตันไปตามทิศทางที่วิลตันฟันศอกจนทำให้ร่างกายของวิลตันสูญเสียการทรงตัวอีกครั้ง
และในตอนนี้เอง ขาขวาโลหะของเทียนดาจู่ได้ยกตัวขึ้นและฟาดลงไปยังสีข้างของวิลตันอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงจนเกิดเสียงดังลั่นสนาม
ร่างกายของวิลตันนั้นบิดงอราวกับกุ้งตัวหนึ่ง และก่อนที่วิลตันจะทำอะไรต่อได้ เทียนดาจูได้ทิ้งศอกขวาของเขาลงมาที่หลังที่กำลังโค้งงอของวิลตันไปหนึ่งที
ราวกับวิลตันโดนทุบด้วยค้อนปอนด์เหล็ก ร่างกายของเขาอัดลงไปกระแทกกับพื้นอย่างหนักหน่วง วิลตันลงไปชักดิ้นชักงออยู่ที่พื้นอย่างเจ็บปวดและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้

วิลตันในตอนนี้กำลังซึมซับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่สีข้างและหลังของเขาอย่างทุกข์ทรมาน เทียนดาจูเองก็ไม่ได้มีท่าทีรีรอแต่อย่างใด เขาได้ใช้ฝ่ามือเหล็กของเขาสับไปที่หลังคอของวิลตันไปหนึ่งที และนี่เองทำให้วิลตันที่กำลังชักดิ้นชักงอนิ่งสนิทไปกับพื้นเวทีปะลองอย่างไม่ไหวติง
หลังจากผ่านไปสองสามวินาที รอบสนามต่างก็ส่งเสียงเอ็ดตะโรกันอย่างจ้าล่ะหวั่น
“ฉิบ…. วิลตันแพ้เหรอ”
“นี่ฉันฝันไปรึเปล่า นักสู้มืออาชีพพ่ายแพ้ให้คนพิการ”
“….แถมโดนแค่สองทีอีก”
“ตอนนั้นฉันเห็นการเคลื่อนไหวของเทียนดาจูแล้วนะ อวัยวะเทียมของเขานั้นยืดหยุ่นมาก โดยเฉพาะการโจมตีครั้งสุดท้ายนั่น ฉันมองแทบไม่ทันเลย ความเร็วที่เขาใช้นั้นมันรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ฉันว่าท่านี้ฟันอิฐให้ขาดสองท่อนได้ง่ายๆเลยนะ”
“อวัยวะเทียมของเขานั้นเท่จริงๆ สุดยอดไปเลย”
“อย่างกับแขนกลในนิยายวิทยาศาสตร์แน่ะ”
“เสียดายจริงๆที่อวัยวะฉันครบถ้วน ไม่งั้นคงหาติดไว้ใช้สักอัน”

ผู้คนในสนามต่างก็โห่ร้องออกมา บางคนก็โห่ร้องด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่ที่แน่ๆคือทุกคนนั้นต่างก็ไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ในสายตาของพวกเขาแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าราวกับกำลังดูหนังแนววิทยาศาสตร์ยังไงอย่างนั้นเลยทีเดียว