ตอนที่ 1375 ทีเดียว โดย Ink Stone_Fantasy
พวกเจ้าต่างหาก…ที่อ่อนแอ?
ในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา นีแกนยืนตกตะลึงอยู่กับที่ เขาคิดว่ามันเป็นเพียงคำพูดเหลวไหลทันที แต่ความจริงมันก็คอยย้ำเตือนเขาอย่างไร้ปราณี ถึงแม้ในมือจะถืออาวุธและสู้ด้วยจำนวนสองต่อหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้
พวกเขาเกลียดโรแลนด์ วิมเบิลดัน เกลียดคนเกรย์คาสเซิล แล้วก็เกลียดอาวุธปืน เป็นเพราะเจ้าสิ่งที่ไม่มีเหตุผลนี้ถึงได้ทำให้ชาวบ้านที่ต่ำต้อยสามารถลุกขึ้นสู้กับอัศวินที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากมากสิบกว่าปีได้ เดิมชาวบ้านที่ต่ำต้อยพวกนั้นควรจะหมอบคลานอยู่แทบเท้าพวกเขา แล้วก็มีชีวิตอยู่โดยพึ่งพาการคุ้มครองจากพวกเขา นี่ต่างหากถึงจะเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปี เป็นกฏระเบียบที่โลกให้การยอมรับ!
ถ้าไม่มีอาวุธปืนอยู่ พี่ชายกับเขาก็คงยังเป็นนักรบที่ไร้เทียมทานอยู่
แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่มีทั้งอาวุธปืน แม้แต่มีดซักเล่มก็ยังไม่มี พวกเขาแพ้ให้กับอีกฝ่ายในการต่อสู้ที่ตัวเองมีความมั่นใจมากที่สุด ความคิดที่น่าตกตะลึงนี้ปะทะเข้ากับความเชื่อจนทำให้เขามึนงงไปชั่วขณะ
“สมแล้วที่เป็นแม่มดที่ถนัดใช้คำพูดชั่วร้ายล่อลวงคนอื่น…ใช้พลังที่แท้จริงเอาชนะงั้นเหรอ? อย่ามาทำให้ข้าขำหน่อยเลย!” ทาร์ลอสสูดหายใจลึกๆ “เจ้าก็แค่ใช้พลังสกปรกมาเล่นงานหินอาญาสิทธิ์ของข้าเท่านั้นแหละ…แค่กๆ ถ้าศาสนจักรยังอยู่ พวกเจ้าจะกล้ามาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้เหรอ? นอกจากราชาแห่งเกรย์คาสเซิลที่ทำให้ธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมาต้องด่างพร้อยแล้ว ก็มีพวกเจ้านี่แหละที่ควรจะลงนรกที่สุด!”
“เหลวไหล!” จู่ๆ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งพลันดังแทรกขึ้นมาจากทางหน้ารถ “ข้าเคยเป็นคนของศาสนจักร เคยบรรทุกแม่มดมาก็หลายสิบคน พวกนางไม่เพียงแต่จะเสนอหน้าออกมา แต่พวกนางยังบอกข้าขับรถเก่งอีกด้วย! ยิ่งไปกว่านั้นผู้ปกครองของศาสนจักรทั้งในอดีตและปัจจุบันล้วนแต่เป็นแม่มด เจ้าบอกข้าเรื่องธรรมเนียม? นี่ต่างหากคือโคตรแม่งธรรมเนียม!”
นีแกนกับทาร์ลอสสบตากันทันที
นี่มันเสียงของคนขับรถ!
มีทางรอดแล้ว
ชิงตัวคนขับเอาไว้ หนีไปจากที่นี่ก่อน ต่อไปยังมีโอกาสที่จะได้แก้แค้น!
ขอเพียงมีคนถ่วงแม่มดหมาป่าตัวนี้เอาไว้ก็พอ
เมื่อเทียบฝีมือของทั้งสองคนแล้ว เรื่องนี้ให้พี่ชายซึ่งแข็งแกร่งกว่าเป็นคนจัดการย่อมต้องดีกว่า
แต่ยังไม่ทันที่นีแกนจะเอ่นปาก ทาร์ลอสพลันคว้าตัวเขาไว้ ก่อนจะตะโกนเสียงดังแล้วโยนตัวเขาไปทางแม่มดหมาป่า!
“พี่…” เขามองดูอีกฝ่ายวิ่งไปทางหัวรถอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
หญิงสาวฟาดเขาลงไปกับพื้นอย่างไม่ออมมือ ก่อนจะเตะเข้าที่หัวเขาอีกทีหนึ่ง การโจมตีอันรุนแรงเหมือนค้อนทุบทำให้ภาพตรงหน้าเขาดับมืดลงไปทันที ก่อนที่ความตกตะลึงและความสิ้นหวังจะขาดหายไป เขาเหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ดังมาจากด้านบน
“คนตรงนั้นก็ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะจัดการได้ง่ายๆ เหมือนกันแหละ..”
ระยะทางสิบกว่าก้าวมาถึงได้ในพริบตา ทาร์ลอสพุ่งเข้าไปยังห้องคนขับที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ คนๆ หนึ่งพลันก้าวออกมาจากด้านหลังหัวรถ
คนๆ นั้นก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน บนตัวเธอสวมชุดเครื่องแบบสีเทาเข้ม นั่นมันการแต่งตัวของคนขับรถสี่ล้อที่เขาคอยสังเกตการณ์ดูก่อนหน้านี้
ที่แท้รถคันหนึ่งต้องใช้คนขับรถสองคน
ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ใช่แม่มดอีกหรอกมั้ง?
ในเมื่อเป็นแค่คนธรรมดา อย่างนั้นจะคนเดียวหรือสองคนก็ไม่มีอะไรต่างกัน พูดอีกอย่างก็คือมีคนขับรถให้เขาแค่คนเดียวก็พอแล้ว! เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ตะโกนออกมาคนนั้นแล้ว ผู้หญิงนั้นควบคุมได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ทาร์ลอสคิดจะจับอีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยแทงผู้ชายที่กล้าพูดแย้งเขาขึ้นมาคนนั้น ส่วนท่อนเหล็กที่คนขับรถผู้หญิงคนนั้นถืออยู่ในมือ ทาร์ลอสไม่ได้สนใจมันเลย
เขาดึงผ้าคลุมหน้าออก ก่อนจะส่งเสียงคำรามใส่อีกฝ่าย ในระหว่างที่วิ่งเข้าไปหาก็ยกดาบขึ้นมา โดยหวังว่าจะขู่ผู้หญิงคนนั้นให้กลัวแล้วค่อยใช้ดาบจ่อไปที่คอหอยของเธอ
แต่สิ่งที่ทำให้ทาร์ลอสประหลาดใจก็คือสีหน้าของอีกฝ่ายกลับนิ่งสงบเหมือนดั่งสายน้ำ ไม่เผยให้เห็นถึงความหวั่นไหวแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับมองไม่เห็นถึงความดุร้ายที่เขาแสดงออกมาอย่างไรอย่างนั้น
แต่หลังจากนั้นยังมีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากกว่านั้นอยู่อีก
ร่างกายของคนขับรถหญิงเบี่ยงไปเล็กน้อย มือทั้งสองข้างยกท่อนเหล็กขึ้นเหนือหัว นั่นมันคือท่าเตรียมที่จะฟันลงมา!
นังนี่…เป็นวิชาดาบ?
ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมา อีกฝ่ายก็ก้าวเท้าออกมาข้างหน้า แล้วฟาดแท่งเหล็กที่อยู่ในมือลงมาที่เขา
บัดซบ!
ท่าทางการโจมตีที่มีการเคลื่อนไหวที่กว้างขนาดนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นการโจมตีที่พร้อมจะแลกชีวิต ในสายตาคนนอก นี่ไม่ได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย แต่ทาร์ลอสมองออกว่าการโจมตีครั้งนี้แฝงเอาไว้ด้วยแรงกดดันที่มหาศาล ท่อนเหล็กที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นไปอีกหลายสิบเท่าจนปิดเส้นทางการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ทั้งหมด!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เดิมเขาคิดจะวิ่งเข้าไปอย่างสุดแรง ไม่ได้มีความคิดที่จะหลบหลีกเลย ถ้าเขายังคงพุ่งเข้าไปแบบนี้ บางทีปลายดาบของเขาอาจจะแทงเข้าไปที่ลำคอของเธอก็ได้ แต่ท่อนเหล็กนี้ก็จะฟาดมาที่หัวของเขาจนแหลกเช่นเดียวกัน!
นี่มัน ช่างน่าขันสิ้นดี!
ทาร์ลอสพบว่าร่างกายของเขาตอบสนองออกมาก่อนความคิด เขารีบยกดาบขึ้นมาเหนือหัว โดยหวังจะกันการโจมตีครั้งนี้เอาไว้
“เพล้ง!”
แท่งเหล็กของหญิงสาวฟาดลงมาที่กลางดาบอย่างรุนแรง
ภายใต้แรงปะทะอันมหาศาลนี้ ตัวดาบโค้งงอจนเกินขีดจำกัดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ!
แต่ท่อนเหล็กกลับไม่ยอมหยุดลง มันยังคงฟาดลงมากลางหน้าของเขาท่ามกลางประกายไฟและเศษโลหะที่แตกออก
ทำไมถึงเป็นแบบนี้….
ทาร์ลอสรู้สึกว่าตรงหูของตัวเองมีเสียงดังสนั่นขึ้นมา ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นโดยไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว ร่างกายของเขากระตุกไม่หยุด
แต่นั่นเป็นเพียงการตอบสนองโดยอัตโนมัติของร่างกาย สติของเขาดับลงไปนานแล้ว
“เสร็จแล้วเหรอ?” โจชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างระมัดระวัง
“อื้อ ถ้าเขาเลือกที่จะแทงเข้ามาแทนที่จะหลบ บางทีอาจจะได้สู้ต่ออีกซักหน่อย” ฟาร์รีน่าสะบัดเลือดที่ติดอยู่บนประแจ “ถ้าจู่ๆ เลือกที่จะถอยขึ้นมา แค่ทีเดียวก็พอแล้ว แต่แน่นอน การล่อลวงของเจ้าก็สำคัญอย่างมาก ทำได้ดีมาก”
โจหัวเราะฮี่ๆ ขึ้นมาอย่างภูมิใจ “อย่าลืมสิว่าข้าเคยเป็นขุนนางมาก่อน และสิ่งที่ขุนนางถนัดมากที่สุดก็คือด่าคน รับรองเลยว่าด่าร้อยคำไม่ซ้ำกันซักคำ”
ฟาร์รีน่าเงยหน้าขึ้นมองไปทางคนที่เธอต้องการ “เห็นๆ อยู่ว่าต่างก็เป็นขุนนาง แต่ทำไมเจ้ากับพวกเขาถึงได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง…บางครั้งข้าก็นึกสงสัยว่าทำไมคนเรามันถึงแตกต่างกันได้มากขนาดนี้ นี่จะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยหรือเปล่า?”
“เจ้าเอง…ก็ไม่เหมือนคนอื่นนะ” โจหลบสายตาเล็กน้อย แต่เขาก็หันกลับมาสบสายตาเธออย่างรวดเร็ว “ข้าถึงได้จากเจ้าไปไหนไม่ได้แบบนี้”
“โจ..”
“ฟาร์รีน่า…”
“อะแฮ่มๆ ขอโทษนะ” โลก้าพูดแทรกการสบตาของทั้งสองคนขึ้นมา “เจ้านั่นมันตายหรือยัง?”
หมาป่าสาวลากนีแกนที่นอนสลบเหมือนมาที่ข้างรถด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะโยนตัวเขาทับลงไปบนตัวทาร์ลอส
“เอ่อ…ข้าคิดว่าน่าจะยังไม่ตายนะ” ฟาร์รีน่าตอบ “ก่อนหน้านี้เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วเหรอว่าพวกข้ามา?”
โลก้าพยักหน้า “ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเจ้า ไม่เพียงแต่จะสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวตรงนี้ แต่ยังคิดแผนรับมือออกมาได้อย่างรวดเร็ว สมแล้วที่เป็นหัวหน้ากองของกองทัพพิพากษา”
“พวกเขาเสียขวัญตั้งแต่สู้กับเจ้าแล้ว ข้าก็แค่จัดการไปตามน้ำเท่านั้น” ฟาร์รีน่ายิ้มๆ “เมื่อกี้ที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผลอยู่จริงๆ ถ้าต่อไปมีโอกาส ข้าจะขอคำชี้แนะจากเจ้าบ้างได้ไหม?”
หูของโลก้ากระดิกขึ้นมา “ได้สิ พูดอีกอย่างคือเต็มใจอย่างยิ่ง”
“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ” โจอุทานออกมา “ปัญหาตอนนี้คือ…จะจัดการเจ้าสองคนนี้ยังไง?”
“ส่งตัวให้กองทัพที่หนึ่งคุมตัวไว้สอบสวนก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน ในเมื่อมีชุดเกราะสวมอยู่บนตัว อย่างนั้นก็ต้องไม่ใช่ผู้อพยพธรรมดาๆ แน่” โลก้าพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนเรื่องหลังจากนี้จะจัดการยังไง ก็ให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจแล้วกัน”
…………………………………………………………………..