ร่างเฉินฉางเซิงอาบไล้ด้วยแสงดาว เดินเข้าหาทะเลเลือดที่แตกกระจาย
มันซึมซ่านผ่านเสื้อผ้าของเขาราวกับดวงดาวพราวแสงหลายร้อยดวง
โจวทงล้มอยู่กับพื้นลานบ้านที่พังทลาย กระอักเลือดออกมาไม่หยุด ไม่อาจที่จะลุกขึ้นได้
นับตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น เฉิงจวิ้นก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทว่าตอนนี้ ทั่วทั้งลานบ้านถูกทำลายราบ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่มีเงา ร่างเขาจึงเผยออกมา
ผู้นำทหารม้าชุดแดงแห่งต้าโจว พยานรู้เห็นเพียงคนเดียวของการต่อสู้นี้ ยืนงงอยู่เป็นเวลานาน
เฉินฉางเซิงชนะแล้วจริงหรือ เด็กหนุ่มที่บาดเจ็บสาหัสสามารถเอาชนะยอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงสุดอย่างใต้เท้าโจวทงในการต่อสู้ซึ่งหน้า!
ความสามารถในการต่อสู้ที่เฉินฉางเซิงแสดงออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้เกินกว่าจินตนาการของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ไม่สิ เกินความคาดคิดของคนทั้งโลกเลย
ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงได้เดินเข้าสู่ซากปรักหักพัง ใบหน้าซีดขาวร่างไหวเอนราวจะล้ม
นี่เป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย เขาเป็นฝ่ายชนะ กระนั้นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงจนไม่อาจคาดเดาได้ เขาแทบไม่เหลือปราณแท้ในร่างกาย ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือราคาที่ต้องจ่ายในการฝืนทะลวงผ่านชั้นรวบรวมดวงดาว ด้วยว่าเส้นลมปราณที่ขาดสะบั้นในร่างเสียหายอีกครั้ง เลือดซึ่งบรรจุไว้ด้วยพลังชีวิตและอันตรายไร้ขีดจำกัดกำลังไหลซึมจากอวัยวะภายใน
ประกายแสงพลันฉายขึ้นในดวงตาของเฉิงจวิ้น
เฉินฉางเซิงได้แสดงความแข็งแกร่งอย่างคาดไม่ถึงในการต่อสู้ครั้งนี้ และในตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจประกายดาบที่รุนแรงน่าทึ่งในตอนท้ายนั่นได้ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าเฉินฉางเซิงนั้นกำลังจะล้มแล้ว ไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงอยากฉวยโอกาสนี้
เขายกมือขวาขึ้นในลมราตรี ยกค้างอยู่ระดับเอว เตรียมที่จะนำของวิเศษออกมาลอบโจมตี
ในตอนนั้นเอง เฉินฉางเซิงหันมามองเขา
สายตาจ้องมา ดวงจิตส่งมา ความคิดของเขาเคลื่อนไหว
ในท้องฟ้าราตรีเหนือซากปรักหักพังของลานบ้านมีเสียงโหยหวนของกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น หลังจากนั้น ก็มีประกายกระบี่มากมายสุดคณานับร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ประกายกระบี่หลายพันเล่มที่ออกมาจากฝักเพื่อทำลายเขตแดนดวงดาวแห่งเลือดของโจวทงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้กลับมายังโลกตามเจตจำนงของเฉินฉางเซิง
เจตจำนงกระบี่อันน่ากลัวปกคลุมไปทั่วซากปรักหักพัง เสียงหวีดหวิวของกระบี่ดับลง ตามมาด้วยเสียงทิ่มแทงเบาๆ เสมือนเสื้อผ้าถูกแทงทะลวง
เฉิงจวิ้นก้มหน้าลงเห็นรูบนหน้าท้องมีเลือดทะลักออกมา
ไม่นานจากนั้น ประกายกระบี่ก็ทิ่มทะลุตัวเขา
มีรูบนร่างของเขามากขึ้น เลือดก็ไหลออกมามากขึ้น
ประกายกระบี่หลายพันเล่ม รูหลายพันรู แน่นขนัดจนร่างพรุนด้วยรู ทุกรูมีเลือดไหลออกมา
ด้วยมีรูมากเกินไป เลือดเขาจึงไหลออกมาหมดสิ้นในทันที แสงสลัวจากด้านหลังลานบ้านส่องผ่านรูบนร่างของเขา ทั้งร่างกลายเป็นโคมไฟที่มีรูปร่างพิเศษเฉพาะ
เฉิงจวิ้นเงยหน้าขึ้น สายตางงงวยจ้องมองเฉินฉางเซิง จากนั้นร่างเขาก็ทรุดลง กลายเป็นกองเลือดเนื้อเละเทะอยู่บนพื้น มีแต่ส่วนหัวเท่านั้นที่ยังคงสภาพอยู่
ประกายกระบี่หลายพันเล่มทะลวงผ่านร่างเขาและบินไปรอบลานบ้านก่อนจะกลับเข้าสู่ฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิงในที่สุด
ต้นไห่ถังสองต้นถูกลมพัดเบาๆ ก็กลายเป็นกองขี้เลื่อยไป บ้านหลายสิบหลังที่ที่ห้อมล้อมลานบ้านแห่งนี้ล้วนถูกทำลายเป็นซากปรักหักพัง
เฉิงจวิ้นตกใจและสับสน เพราะเฉินฉางเซิงได้ฝืนทะลวงเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาว ว่าตามเหตุผล เขาไม่มีทางเอาชนะยอดฝีมือระดับโจวทงได้
ทว่าในความเป็นจริง ไม่มีใครเคยได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฉินฉางเซิงมาก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดหากแสดงพลังทั้งหมดออกมา
สวีโหย่วหรงอาจจะรู้ แต่นางก็ไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเอง
โจวทงรู้แค่ว่าเขามีกระบี่โบราณอันเลื่องชื่อมากมาย รู้ว่าเขาเรียนเพลงกระบี่จากซูหลี แต่ไม่รู้ว่าเขาได้ฝึกฝนเจตจำนงดาบของหวังผ้อ และยิ่งไม่รู้ว่าเขาได้เรียนวิชาดาบสองท่อนของโจวตู๋ฟู โจวทงรู้ว่าเขามีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์นิกายหลวง แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามีจดหมายของซูหลีอยู่ในอกเสื้อหรือหินแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ห้าก้อนบนข้อมือ
การต่อสู้คืนนี้เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงแสดงพลังออกมาเต็มที่
ไม่สิ แม้ในตอนสุดท้าย เขาก็ยังไม่ได้ใช้วิธีการทั้งหมดออกมา เพราะว่ามันไม่จำเป็น
เฉินฉางเซิงได้ใช้สิ่งที่โจวทงรู้และไม่รู้มาวางแผนการต่อสู้ในคืนนี้อย่างสมบูรณ์ และได้รับชัยชนะในที่สุด
ระหว่างการเดินทางจากทุ่งหิมะกลับสู่ใต้ ซูหลีได้สอนหลายสิ่งอย่างแก่เขา การเดินทัพเอย ทำสงครามเอย ตลอดจนการวางแผนและกลยุทธ์ ทั้งหมดล้วนถูกนำมาใช้ในคืนนี้
นี่คือกระบี่รอบรู้ที่แท้จริง นับจากต้นจนจบ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
แน่นอน เขาสามารถเอาชนะโจวทงได้ก็เพราะดาบสุดท้ายนั้น
ดาบที่ใช้วิชาดาบของโจวตู๋ฟู แต่หยิบยืมเจตจำนงดาบของหวังผ้อมา
เจตจำนงดาบของหวังผ้ออยู่ที่คำว่า ‘ตรง’
‘ตรง’ จาก ‘ตรงสู่เป้าหมาย’
คนผู้หนึ่งควรจะใช้ชีวิตเช่นใด เฉินฉางเซิงไม่รู้ แต่เขารู้ว่าเขาต้องทำสิ่งหนึ่งก่อนตาย สังหารโจวทง
ดังนั้นเขาจึงมายังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง เข้ามาตรงๆ เขาอยากจะสังหารโจวทง ดังนั้นเขาต้องมีความสามารถที่จะสังหารโจวทง
สายตามองไปที่โจวทงซึ่งล้มอยู่ในกองเลือดท่ามกลางซากปรักหักพัง เฉินฉางเซิงไม่ได้คิดไปถึงพวกขุนนางใหญ่ แม่ทัพชื่อดังหรือชาวบ้านบริสุทธิ์ที่ได้ตายอย่างน่าอนาถในคุกโจว หรือเรื่องที่เจ๋อซิ่วถูกทรมานอยู่ในที่แห่งนี้ เขาวางมีดทำครัวลงกับพื้น คว้ากระบี่ไร้ราคีเมื่อลมพัดมา ย่างเท้าเดินตรงไป
เขาแค่เดินไปอีกสองก้าว แทงกระบี่ลง และโจวทงก็จะตาย
เพื่อทำสิ่งนี้ เขาไม่มีความลังเล ไม่มีความเห็นใจให้กับคนชั่วผู้นี้ เขาไม่ต้องมีคำอธิบายหรือไว้อาลัยให้กับคนชั่วผู้นี้
ทว่า…เขาพลันตระหนักว่าตนไม่อาจก้าวต่อไปได้
ใบหน้าเขาซีดขาวผิดปกติ
ในตอนนี้ เขาเป็นแค่เด็กที่ป่วยหนักคนหนึ่ง
ลมราตรีพัดผ่านซากปรักหักพังอย่างแผ่วเบา ประกายกระบี่และทะเลเลือดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่ามกลางสายลม มีกฎหรือข้อบังคับแผ่วจางเหนี่ยวรั้งเท้าของเขาเอาไว้
เป็นข้อบังคับที่เขาในตอนนี้ไม่อาจขัดขืน เป็นตัวตนที่เหนือกว่าความเข้าใจของเขา แต่กระนั้น ก็เป็นประสบการณ์ที่เขาเคยพบพานในอดีต
เขาจ้องไปที่ส่วนลึกของค่ำคืน มองหาบางสิ่งบางอย่าง สุดท้ายก็ไม่เห็นอะไร ทว่าเขาได้ยินบางอย่าง ได้ยินเสียงลมพัด เสียงร้องของแมลงฤดูสารทอยู่ห่างไกลออกไป เสียงของบางอย่างที่ดังมากับสายลม เสียงควบตะบึงของกีบเท้าที่กระทบพื้นถนน เสียงหายใจของยอดฝีมือ เสียงการต่อสู้ เสียงเลือดสาดกระจาย
ลานบ้านกลับสู่ความเงียบไปชั่วขณะหนึ่งครั้นเมื่อความมืดมิดถูกความมืดที่ลึกล้ำยิ่งกว่าฉีกกระชาก มือสังหารสิบกว่าคนของกรมอาญา กลายเป็นประกายแสงสีดำพุ่งเข้ามา พวกเขามาช้าเพราะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือคุ้มกันโจวทง ในเวลาเดียวกัน มือสังหารหลายคนที่มีไอปราณชั่วร้ายเย็นเยียบก็พุ่งเข้าหาเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาไม่มีโอกาสสังหารโจวทงอีกแล้วในคืนนี้
เรื่องนี้ทำให้มือที่กำกระบี่เย็นเยียบขึ้นมา ร่างกายก็เย็นเยียบ เขาไม่สนเรื่องมือสังหารกรมอาญาโจมตีเข้ามา แต่ตามองลึกเข้าไปในความมืดมิด หวังว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวและกล่าวอธิบายสักสองสามคำ แต่ความมืดก็ยังคงเป็นเหมือนเคย ทำให้ลมหายใจของเขาหยาบขึ้นเรื่อยๆ
มีแต่คนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดเท่านั้นจึงจะรู้ว่าอาการเช่นนี้หมายถึงเขากำลังโกรธอย่างมาก
ในตอนนี้คนที่ซ่อนอยู่ในความมืดเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี
มือสังหารชุดดำของกรมอาญาเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของความมืด พวกเขามาถึงตัวเฉินฉางเซิงอย่างเงียบงัน ยกหนามเหล็กที่อาบยาพิษขึ้นแทงใส่เขา
ในตอนนี้ ปราณแท้ของเฉินฉางเซิงได้แห้งเหือดไปแล้ว อาการบาดเจ็บภายในก็กำเริบขึ้นมา แต่ตามเหตุผลแล้วเขายังมีพลังต่อสู้อยู่บ้าง อย่างน้อยก็มากพอจะใช้ฆ่ามือสังหารพวกนี้
แต่เขาไม่เคลื่อนไหว ได้แต่จ้องมองเข้าไปในส่วนลึกของความมืด แพขนตาหลุบลงเล็กน้อย ปกปิดความผิดหวังและโศกเศร้าเอาไว้
ขวับๆ ขวับๆ! เสียงดังขวับหลายสิบครั้งดังขึ้นอย่างรวดเร็วและประกายแสงเจิดจ้ามากมายก็ปรากฏขึ้นในซากปรักหักพังที่มืดมัว
ประกายแสงพวกนี้ล้วนเป็นศรจากหน้าไม้ที่บรรจุไว้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ศรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาจากทหารม้านิกายหลวง
มือสังหารชุดดำพยายามกลั้นเสียงร้องและหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลัง แต่พวกมันก็ยังไม่อาจรอดพ้นจากลูกศรที่พุ่งมาเป็นห่าฝนนี้ได้ ถูกทิ่มแทงอย่างไร้ปรานีและหายไปในควันดำ
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนมากมายวิ่งเข้ามา เสียงประตูถูกกระแทกเปิด เช่นเดียวกับหลังคาที่ถูกทำลายไปในความมืด ทหารม้านิกายหลวงร้อยกว่านายจากพระราชวังหลีลงจากม้าและวิ่งเข้ามาจากทุกด้าน จากถนนหลัก กระโดดข้ามกำแพง วิ่งมาตามหลังคาตึก ในเวลาอันสั้น พวกเขาก็ล้อมลานบ้านนี้เอาไว้ ในเวลาเดียวกันก็คุ้มกันเฉินฉางเซิงอย่างหนาแน่น
ในตอนที่ทหารม้านิกายหลวงพุ่งเข้ามาในกรมอาญา สูงขึ้นไปท้องฟ้าราตรีก็มีประกายไฟปรากฏขึ้น
เซวียสิ่งชวนมาถึงแล้ว!
เขาถือทวนเหล็กและยืนอยู่หน้าโจวทง จ้องมองเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านหลังทหารม้านิกายหลวงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและยกมือขวาขึ้น
ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ก็มีเงาร่างมากมายของกองทัพอวี่หลินโผล่ออกมาจากความมืดด้านหลังซากปรักหักพัง
ทหารพวกนั้นถือหน้าไม้ ลูกศรก็เปี่ยมไปด้วยความแหลมคมน่าหวาดหวั่น
มีความเงียบงันระหว่างทั้งสองฝั่งที่เผชิญหน้ากัน ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครกล้ายิงหน้าไม้ออกไปเป็นคนแรก ทุกคนมองไปที่มือของเซวียสิ่งชวน
ทุกคนรู้ว่ามือขวาของเขาต้องลดลงอย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะลดลงอย่างแผ่วเบาหรือรุนแรง การกระทำที่ต่างกันแสดงถึงเจตนาที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งยังหมายความว่าในคืนนี้ที่จิงตู อนาคตของต้าโจวจะเป็นไปตามการกระทำที่แตกต่างกันนี้
“หยุดเพียงเท่านี้เถอะ” เสียงแก่ชราดังออกมาด้านหลังฝูงชน
ต้นไห่ถึงในลานบ้านได้กลายเป็นเศษฟืนไปหมดแล้ว บ้านเรือนกลายเป็นซากปรักหักพัง เหลือแค่เพียงประตูโค้งด้านนอกเท่านั้น
เหมาชิวอวี่กับนักพรตหญิงที่ใส่ชุดคลุมนักบวชเดินออกมาจากประตูโค้งนั้น
เซวียสิ่งชวนหรี่ตา เขาจำนักพรตหญิงที่ใช่ชุดคลุมนั้นได้ นางคือตัวแทนของพระราชวังหลีที่ประจำอยู่ในแดนใต้ มุขนายกโองการศักดิ์สิทธิ์อันหลิน แต่เขาไม่รู้ว่านางกลับมาจิงตูแล้ว
จากหกผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง สองคนได้มาอยู่ที่นี่แล้ว
และที่เหมาชิวอวี่ถืออยู่ในมือก็คือสากที่แผ่แสงออกมา เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของพระราชวังหลี
“เฉินฉางเซิงพยายามสังหารขุนนางสำคัญของราชสำนัก พระราชวังหลีอยากให้ราชสำนักทำเหมือนกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ”
เซวียสิ่งชวนไม่ได้หันไปมอง แต่เขารู้ว่าโจวทงอยู่ในสภาพน่าอนาถจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้
ที่เขากล่าวออกมามิใช่เพราะเขาเป็นมิตรแท้เพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ของโจวทง แต่เพราะเขาเป็นขุนพลเทพของต้าโจว เป็นตัวแทนราชประสงค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เหมาชิวอวี่เดินมาตรงหน้าเฉินฉางเซิงและมองกลับไปอย่างสุขุม “ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ใต้เท้าโจวทงสังหารขุนนางสำคัญของราชสำนักไปมากมาย และราชสำนักก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าสำนักเฉินเป็นว่าที่สังฆราช หากเขาจะทำเรื่องเช่นนี้สักครั้งสองครั้งก็จะเป็นไรไป”
……