บทที่ 668 ได้รับความชื่นชอบ + บทที่ 669 รองชนะเลิศ

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

บทที่ 668 ได้รับความชื่นชอบ + บทที่ 669 รองชนะเลิศ โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 668 ได้รับความชื่นชอบ

บอสใหญ่ถามขึ้นอีกครั้ง “หากเป็นอย่างที่พูด น้ำแร่บนภูเขานั่นถือว่ามีประสิทธิภาพที่ดีต่อร่างกาย ? แล้วไม่มีผลข้างเคียงหรือ ?”

“นักวิชาการบอกว่ายังไม่มีการตรวจพบสารที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายครับ หากดื่มเป็นระยะเวลานานจะเกิดผลดีต่อร่างกายเป็นอย่างมาก” เลขาตอบ

บอสใหญ่ริมฝีปากยกยิ้ม เรื่องในครั้งนี้ตระกูลจ้าวทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง หลายปีมานี้เขารู้สึกว่าสุขภาพของตัวเองไม่แข็งแรงเท่าแต่ก่อน น้ำแร่จากภูเขาและใบชานี่ช่างเป็นดั่งฝนที่ตกลงมาได้ทันท่วงที !

“น้ำแร่นี่ในหนึ่งวันสามารถใช้ได้กี่คน ?” บอสใหญ่ถามขึ้น

“อย่างมากก็สิบคน ถ้ามากกว่านั้นอาจทำให้น้ำในสระเหือดแห้ง”

บอสใหญ่นึ่งเงียบไปพักหนึ่งอย่างใช้สมาธิ ก่อนจะถามขึ้น “ให้ฉันสองชุด ตระกูลจ้าวสามชุด ที่เหลืออีกหกชุดให้หกครอบครัวนี้ไปก่อนในช่วงสั้นๆ”

เขาไม่ได้พูดออกมา แต่กลับเขียนรายชื่อของทั้งหกคนลงบนกระดาษ เลขาก้มมองแค่ปราดเดียวก็สามารถจดจำได้ แต่แอบนึกตกใจ เพราะโดยทั่วไปไม่เห็นว่าทั้งหกตระกูลนี้จะสนิทกับบอสใหญ่สักเท่าไหร่ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีฐานะที่สูงส่งในใจของบอสใหญ่ถึงเพียงนี้

ในทางกลับกันพวกตระกูลอื่นที่เอ่ยปากเรียกบอสใหญ่ว่าเป็นดั่งพี่น้อง กลับไม่ได้รับน้ำแม้แต่หยดเดียว

ที่แท้ก็เป็นเหมือนดั่งใจกษัตริย์ที่ยากแท้หยั่งถึงนี่เอง !

อยู่เคียงข้างบอสใหญ่มานานหลายปี แต่ตอนนี้กลับไม่อาจรับรู้หรือคาดเดาความรู้สึกนึกคิดใดๆจากบอสใหญ่ได้เลย

บอสใหญ่จุดบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน และทำการเผากระดาษที่เขียนไปเมื่อครู่ ทำให้เกิดควันโขมง จากนั้นจึงถามขึ้น “ได้ยินมาว่าครั้งนี้เป็นเพราะหลานสาวคนเล็กของตระกูลจ้าวเป็นคนพบเจอ ?”

“ใช่ครับ หลานสาวที่ตระกูลจ้าวเพิ่งรับกลับมา แต่คนในตระกูลจ้าวกลับบอกว่าเป็นหลานชายอย่างจ้าวเสวียเอร่อที่เป็นคนค้นพบ”

บอสใหญ่หัวเราะร่า “ถือว่าตระกูลจ้าวดูแลหลานสาวได้ไม่เลวเลย งั้นเอาตามที่พวกเขาพูด ต่อไปนี้ห้ามพูดถึงหลานสาวของตระกูลจ้าวอีก”

“ครับ !”

เลขาตกปากรับคำอย่างนอบน้อม เห็นทีว่าต่อไปนี้ต้องเข้าหาตระกูลจ้าวให้มากขึ้นเสียแล้ว

จากท่าทีการประทานน้ำแร่จากภูเขาและใบชาให้แล้ว ถือ ว่าบอสใหญ่พึงพอใจต่อตระกูลจ้าวไม่น้อยเลย !

เห็นท่าว่าบอสใหญ่จะให้ความสนใจต่อเหมยเหมยเป็นอย่างมาก เขาสั่งให้เลขาเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหลานสาวคนเล็กของตระกูลจ้าว เลขาที่เป็นคนเฉลียวฉลาด พอเห็นว่าบอสใหญ่ให้ความสนใจ จึงเลือกพูดแต่เรื่องดีๆ พูดไปพูดมาดันหลุดปากพูดเรื่องที่เหมยเหมยก่อความวุ่นวายเมื่อสองวันก่อนขึ้น

บอสใหญ่ยักคิ้วหลิ่วตา และถามขึ้น “เจ้าเด็กแสบนี่ใจกล้าไม่เบานี่ แล้วเหตุใดเธอจะต้องสร้างศัตรูกับตระกูลโอหยางด้วย ?”

เลขาพูดติดตลก “ข่าวลือที่คนนอกพูดกันว่าหลานสาวของตระกูลจ้าวเกิดอาการหึงหวง เป็นเพราะลูกสาวของตระกูลโอหยางได้รับความนิยมชมชอบจากคุณย่าเธอมากเกินไป”

“แล้วความจริงล่ะ ?”

บอสใหญ่ไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ เขาเองก็รู้จักคุณผู้หญิงของตระกูลจ้าว เธอไม่ใช่คนที่ไร้สาระอะไร เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ชอบหลานสาวตัวเอง แต่กลับชื่นชอบหลานสาวของตระกูลอื่นแทน ?

ไม่ได้โง่ขนาดนั้นเสียหน่อย !

เลขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สะใภ้ของลูกชายคนเล็กของตระกูลจ้าวแซ่เหยียน เธอเป็นลูกสาวของเหยียนตานชิง อาจารย์ของคุณหนูโอหยางคือหร่วนหวาไฉ่ เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของเหยียนตานชิงมาก่อน ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อเจิ้งซื่อหลิน ทั้งสองคนนี้เคยร่วมมือกับตานเหอเจิ้งแจ้งความจับเหยียนตานชิง กล่าวหาเขาว่าเป็นจารชนที่ขายชาติบ้านเมือง”

คำพูดต่อจากนั้น เลขาไม่ได้พูดออกมา แน่นอนว่าบอสใหญ่เข้าใจเป็นอย่างดี จึงทำทีหัวเราะเยาะ

ในปีนั้นเขาเองก็ทุกข์ทรมานไม่น้อยไปกว่ากัน ก็ยังล้มลุกคลุกคลานแต่ด้วยจิตใจที่แน่วแน่จนผ่าฟันมาได้ มิเช่นนั้นคงเป็นเช่นเดียวกับเหยียนตานชิง เขาจึงเลือกลงไปรายงานผลต่อหม่าเค่อซือแทน

“เด็กน้อยคนนี้ช่างน่าสนใจนัก อายุไม่มาก แต่ความรู้สึกนึกคิดกลับลึกซึ้ง”

บอสใหญ่ยกยิ้ม พร้อมกับมองเหมยเหมยอย่างน่าทึ่ง

“ต่อไปนี้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ทำเรื่องอะไรอีก ให้มาบอกกับผมด้วย แค่ได้ฟังก็มีความสุขแล้ว !” บอสใหญ่พูดกำชับ

เลขาตอบรับไปโดยปริยาย ช่างน่าอิจานัก เป็นที่จับตาต้องใจของบอสใหญ่แล้ว อีกหน่อยหลานสาวคนเล็กของตระกูลจ้าวต้องได้เป็นดั่งหญิงสาวที่ได้ความนิยมมากที่สุดของเมืองหลวง

ทำไมเขาถึงไม่มีลูกสาวที่โดดเด่นแบบนี้บ้างนะ ?

……………………………………………..

บทที่ 669 รองชนะเลิศ

รายชื่อผู้ได้รับรางวัลของการแข่งขันวาดภาพระดับประเทศออกมาแล้ว เหมยเหมยไม่จำเป็นต้องไปฟังผลด้วยตัวเอง ก่อนพิธีมอบรางวัลล่วงหน้าหนึ่งวัน เธอก็ได้รู้ผลลัพธ์แล้ว

เป็นผู้อำนวยการจูโทรมาแจ้งด้วยตัวเอง บอกว่าเหมยเหมยได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ผู้อำนวยจูที่ถือสายอยู่มีความลำบากใจเล็กน้อย เขาพยายามอธิบายให้ทราบถึงสาเหตุว่าทำไมไม่ใช่ที่หนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเหมยเหมยไม่ได้ใส่ใจนัก

เธอเรียนวาดรูปยังไม่ถึงครึ่งปี สามารถเข้าร่วมแข่งขันระดับประเทศได้ก็เพียงพอมากถึงมากที่สุดแล้ว และจากที่ฟังคำพูดของผู้อำนวยจู ผู้ชนะในวันนั้นถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพตัวจริง อีกทั้งพ่อแม่และบรรพบุรุษของเขาก็เป็นถึงอาจารย์ที่มีเกียรติยศระดับโลก นับว่ามีชื่อเสียงระดับเดียวกับเหยียนตานชิง

คนอื่นๆเกิดมายังไม่ทันได้จับตะเกียบ แต่เขากลับจับดินสอวาดรูปแล้ว ได้ที่หนึ่งก็นับเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งเหมยเหมยไม่ได้นึกอิจฉาเลยสักนิด

อีกทั้งเธอกลับรู้สึกละอายใจเล็กน้อยกับการที่ตัวเธอได้รับรางวัลรองชนะเลิศ กรรมการทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ ?

สิ่งที่เหมยเหมยไม่รู้คือ ภาพวาดของเธอเป็นประเด็นใหญ่โตให้ทุกคนถกเถียงกัน แน่นอนว่าพรรคของหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลินคัดค้านต่อการตัดสินที่จะให้เหมยเหมยได้รับรางวัล โดยอ้างว่าวิธีการวาดของเธอยังดูอ่อนหัด ทักษะพื้นฐานยังไม่แน่นพอ

การพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด ทักษะพื้นฐานของเหมยเหมยเทียบไม่ได้กับทักษะการวาดของผู้เข้าแข่งขันที่เรียนมานานนับสิบปี แต่จุดแข็งของภาพวาดของเธออยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์และแรงขับเคลื่อน รวมถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเธอเอง

หร่วนหวาไฉ่และศิษย์น้องถือว่ามีอิทธิพลในวงการภาพวาดมากพอสมควร เมื่อพวกเขาพูดออกมาแบบนั้น กรรมการท่านอื่นๆจึงไม่กล้าพูดหนักแน่นมากไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้รับรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเหมยเหมย เข้าใจเพียงแค่ว่าเธอเป็นแค่ผู้เข้าแข่งขันธรรมดาทั่วไป และแน่นอนว่าไม่จำเป็นจะต้องทำตัวมีปัญหากับหร่วนหวาไฉ่และผองพี่น้องเพื่อเข้าข้างผู้เข้าแข่งขันธรรมดาคนเดียว

จุดพลิกผันทั้งหมดกลับขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการจู วันหนึ่งของการประชุม ผู้อำนวยการจูและเลขาของบอสใหญ่เจอกันโดยบังเอิญ เลขาของบอสใหญ่พูดบางอย่างกับเขาไปเพียงไม่กี่ประโยค

“เจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวฉลาดหลักแหลม ศิลปะก็เป็นเลิศ ช่างเป็นเด็กคนหนึ่งที่ถือว่าไม่เลวเลย !”

คำพูดนี้มีความหมายแอบแฝงนี่ !

ผู้อำนวยการจูได้ฟังก็เข้าใจถึงความหมายลึกๆที่แฝงอยู่ จะต้องเป็นความต้องการของบอสใหญ่แน่ มิเช่นนั้นเลขาของท่านจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับเขาได้รึ อีกทั้งอยู่ห่างกันตั้งไกลแต่ตั้งใจมาเจอเขาเพื่อพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคหรือ ?

ผู้อำนวยการจูคิดว่าตัวเองเข้าใจความหมายจากเบื้องบน จึงกลับไปจัดการกับปัญหาทั้งหมด ตัดสินให้เหมยเหมยได้รับรางวัลรองชนะเลิศ

ทางฝั่งหร่วนหวาไฉ่และคนอื่นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ผู้อำนวยการจูก็ไม่คิดจะจัดการพวกเขา ก็แค่ตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นไปทั่วทุกทิศทุกทางเท่านั้นเอง

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร จะให้พวกเขาทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้บอสใหญ่ถึงกับเป็นห่วงด้วยตัวเอง เขาจะยอมปล่อยให้คนพวกนี้จัดการได้อย่างไร ?

ในวันถัดมา พิธีประกาศรางวัลได้จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ประจำมหาวิทยาลัยQH จ้าวเสวียเอร่อเข้าร่วมงานพร้อมกับเธอ ด้านผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆก็เข้ามานั่งอย่างพร้อมเพรียง เหยียนโฮ่วเต๋อก็อยู่ด้วย พอเห็นเหมยเหมยก็ไม่ได้มีท่าทีเกาะแกะเลียแข้งเลียขาเหมือนก่อนหน้านั้น

หรืออาจเป็นเพราะถูกเหมยเหมยทำให้ตกใจจนกลัว ?

คนเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดอย่างเขา ทำการใดจักต้องรอบครอบและวางแผนล่วงหน้าเสมอ เรื่องที่ทำแล้วได้ไม่เท่ากับเสียเขาจะทำไปเพื่ออะไร ?

เหมยเหมยไม่ได้นั่งรวมกับผู้เข้าแข่งขันจากเมืองจิน แต่เธอนั่งอยู่ด้านหน้า ด้านซ้ายถัดจากเธอคือจ้าวเสวียเอร่อ ด้านขวาเป็นสาวน้อยวัยสิบสามสิบสี่ปีที่มีหน้าตาสละสลวย

ผมสั้นดูเรียบร้อย มองดูแล้วหล่อเหลาเอาการ ใบหน้าละรูปร่างดูมีมิติเป็นไฉน มีความงดงามคล้ายคลึงกับชายวัยแรกแย้มในภาพวาดสีน้ำมัน หากใช้คำพูดของคนรุ่นใหม่ คงบอกว่าเป็นความงดงามแบบหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง

เหมยเหมยแยกไม่ออกว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี เสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวใหญ่ ปกปิดสัดส่วนสรีระอันเป็นเอกลักษณ์ไปเสียหมด ผสมผสานเข้ากับรูปร่างหน้าตาวัยแรกแย้มของเขาแล้ว ยิ่งทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง

จ้าวเสวียเอร่อหันไปทักทายกับหญิงสาววัยกลางคนด้านข้าง ฟังดูแล้วน่าจะเป็นคนสนิท พูดจากันถูกคอนัก ท้ายที่สุดพวกเขาได้ทิ้งเหมยเหมยไว้กับบุคคลผู้คงความงดงามเพียงลำพัง เพราะพวกเขาหันไปพูดคุยกัน โดยไม่แม้แต่จะสนใจเธอเลย

…………………………………………………..