ตอนที่ 899 การเปลี่ยนแปลง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 899 การเปลี่ยนแปลง

รัชศกเทียนเต๋อปีที่สอง เดือนเจ็ด วันที่สิบ

คณะของฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงพื้นที่เขตด้านในของอู่หยวนโจวบริเวณลุ่มแม่น้ำต้าหลิง

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกผ้าม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น จากนั้นก็ทอดสายตาไปยังทุ่งนากว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา ในทุ่งนามีมันเทศกำลังเติบโต ทั้งยังมีข้าวสีเหลืองอ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง

เนื่องจากได้รับประโยชน์จากแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งแตกแขนงออกมาจากแม่น้ำต้าหลิง พื้นที่หนานผิงแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับให้พืชผลเจริญเติบโตได้ดีที่สุด

ยามอู่เยี่ยงนี้ อากาศจึงร้อนอบอ้าวจนยากจะทนไหว ภายในรถม้า ต่งชูหลานส่ายพัดให้กับฟู่เสี่ยวกวนไปมา ส่วนเขาได้ยืดกายออกไปด้านนอกหน้าต่างเพื่อมองทัศนีย์ภาพทั่วไป ภายในทุ่งนายังมีชาวนาใส่หมวกฟางทำงานจนเหงื่ออาบราวกับสายฝน

นี่คือทิวทัศน์ที่ได้เห็นระหว่างการเดินทาง

“การเกษตรที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเยี่ยงนี้มิค่อยดีเท่าใดนัก ปีนี้น้ำฝนที่แปดรัฐแห่งหนานชางมีอย่างเต็มอิ่ม แต่ก็ต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมขัง จากที่ดูแล้วสถานที่แห่งนี้ฝนตกค่อนข้างน้อยทั้งยังต้องกังวลเรื่องภัยแล้ง… ปีที่ฝนตกลงมาตามฤดูกาลนั้นหาได้ยากมากยิ่งนัก สุดท้ายยังต้องอาศัยกำลังชาวนาไปหาบน้ำมาเอง”

ต่งชูหลานสอดส่ายสายตามองไปด้านนอกเช่นกัน เหล่าชายหนุ่มชาวนาที่อยู่ในทุ่งนากำลังแบกน้ำ เหล่าสตรีช่วยรดน้ำ หรือแม้แต่เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยก็กำลังทำอันใดบางอย่างอยู่ในทุ่งนา

ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบทกวีสงสารชาวนาทั้งสองบทขึ้นมาได้ นี่มิใช่ภาพสะท้อนที่สลักไว้ในบทกวีหรอกหรือ ?

ที่แตกต่างกันคือพวกเขาจะมิเผชิญชะตากรรมน่าอนาถเยี่ยง ‘ชาวนาอดตาย’ เป็นแน่ เพราะพวกเขาได้พบกับจักรพรรดิที่มีคุณธรรมอย่างแท้จริง

“เยี่ยงไรเสียสถานที่แห่งนี้และแปดรัฐแห่งหนานชางก็เป็นพื้นที่ราบ หากมีการขยายทางชลประทานและคลองระบายน้ำเยี่ยงที่ว่อเฟิงเต้า จะช่วยผ่อนกำลังในการทำงานกลางทุ่งนาของพวกเขาให้ลดลงได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ปีหน้า… ในปีหน้าต้องนำโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรเข้าเป็นวาระทางการ ภายในระยะเวลา 3 ปี ต้องสร้างระบบระบายน้ำและทดน้ำให้แล้วเสร็จ”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบปลายคางที่เริ่มมีตอหนวดทิ่มมือพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยออกมาว่า “ระบบระบายน้ำและทดน้ำของพื้นที่เกษตรกรรมเป็นโครงการขนาดใหญ่ เกรงว่าจะสูญสิ้นเงินทุนไปหลายร้อยล้านตำลึงก็เป็นได้ จะมีขุนนางที่มิกลัวตายคนใดยื่นมือเข้ามาแทรกอีกหรือไม่ ? เมื่อกลับไปถึงเมืองกวนหยุน จะต้องสังหารเหล่าขุนนางทุจริตจำนวนแปดสิบกว่าคนนั้นให้ใต้หล้าได้รับชม”

มือที่ส่ายพัดไปมาของต่งชูหลานชะงักเล็กน้อย “สมควรตาย ! หวังว่าหลังจากสังหารพวกทุจริตเหล่านั้นแล้ว จะมิมีผู้ใดกล้ายื่นมือมาเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเยี่ยงนี้อีก”

มุมปากของฟู่เสี่ยวกวนกระตุก เขาส่ายศีรษะไปมาช้า ๆ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมา แล้วหยิบซวนเหมยทางขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก “ความโลภของมนุษย์เป็นสิ่งที่เจ้ายากจะจินตนาการถึง”

“มันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตอีกหรือ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“เมื่อได้เห็นเงินพร่างพราว ย่อมมีผู้คนมากมายตาพร่าไปกับมันจนทำให้ตนเองหลงทางและคิดว่าโชคดี แต่พวกเขามิทราบว่าความโลภจะทำให้เสพติด เมื่อมีคราที่หนึ่งย่อมมีคราที่สองและความกระหายก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ”

“เมื่อกลับไปต้องกำชับโจวถงถงสักหน่อยแล้วว่ามีเพียงการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดเท่านั้น จึงจะสามารถกำจัดการทุจริตออกไปได้ เอาล่ะ ! มิเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วเพราะหลายวันที่คอยติดตามข้า เจ้าคงทรมานมิน้อย ดูสิ ! เจ้าผ่ายผอมลงไปมากเลยทีเดียว”

ต่งชูหลานยิ้มอย่างขัดเขิน ก้มหน้าลง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านเอ่ยว่าพวกเราเดินทางมาได้ 4 เดือนแล้ว เหตุใดยังไร้การเคลื่อนไหวในท้องของข้าเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มกว้างขึ้นมาทันใด “เจ้าอยากคลอดลูกอีกหรือ ? ”

“มิได้เอ่ยไว้ว่าต้องคลอดลูกหนึ่งกลุ่มไว้ให้ท่านหรอกหรือ ? เวิ่นหวินเองก็คิดเช่นเดียวกัน แท้จริงแล้วเหล่าพี่สาวน้องสาวในวังหลังก็ล้วนคิดเช่นเดียวกันทั้งหมด ท่านต้องพยายามให้มากหน่อย เพราะซูซูเอ่ยว่าท่านเริ่มเกียจคร้านแล้ว เดิมทีคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางเป็นทักษะเสริมสร้างรากฐาน ระหว่างการเดินทางที่มิมีอันใดทำนี้ ท่านก็ฝึกฝนให้มากขึ้นสักหน่อยเถิด”

เมื่อเอ่ยถึงคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง ฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อนข้างละอายใจ

เมื่อคราที่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ และได้ย่างก้าวเข้าสู่ประตูของผู้ฝึกยุทธ์จนสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ตอนนั้นเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

แล้วในภายหลังเล่า ?

จนถึงวันนี้ก็ยังอยู่ที่ขั้นสามเท่านั้น เขามิได้ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางมานานเท่าใดแล้วกัน ?

แม้แต่ตัวฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิทราบเช่นกัน

และก็มิทราบว่าท่านอาจารย์ที่มิเคยพบหน้าผู้นั้น จะผิดหวังเพราะรับศิษย์นอกสำนักที่ไร้จิตใจฝึกฝนเยี่ยงตนหรือไม่ ?

“ดี ! เพื่อคลอดบุตรอีกหนึ่งกลุ่ม ข้าจะฝึกฝนให้มากขึ้น”

เหลือเวลาอีกครึ่งวันของการเดินทางไปเมืองหนานผิงในครานี้ ยามอู่คณะเดินทางได้หยุดพักรับประทานอาหารกลางวันง่าย ๆ ใต้ต้นไม้ริมตลิ่ง พักผ่อนอยู่ที่นั่นชั่วครู่ จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ

ฟู่เสี่ยวกวนรวบรวมสติเพื่อทำจิตใจให้สงบและนั่งสมาธิ

เขาเข้าสู่ฌานโดยเร็วและมิสนใจความร้อนของอากาศโดยสิ้นเชิง

…..

…..

ในช่วงหลายวันมานี้ เปลือกตาของเก๋อซู่ผู้ว่าการทางน้ำแห่งแม่น้ำต้าหลิงกระตุกอยู่ตลอดเวลา

เขามักสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ที่มิดี แต่ก็มิทราบว่าความรู้สึกนี้มีสาเหตุมาจากอันใด

จวนของผู้ว่าการทางน้ำตั้งอยู่ภายในอาณาเขตเมืองอู่หยวนแห่งอู่หยวนโจว จวนของใต้เท้าเก๋ออยู่ข้าง ๆ จวนจือโจว มีทางเข้าลานครบห้าทาง และการตกแต่งก็หรูหราเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีกลิ่นอายของเจียงหนานที่ราชวงศ์หยูด้วยเล็กน้อย

รูปทรงที่หรูหรานี้มิค่อยเหมาะกับเขาสักเท่าใดนัก เนื่องจากเก๋อซู่อายุราว 50 ปี รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้ายังเต็มไปด้วยหนวดเครา

ในยามนี้เขานั่งอยู่ในเรือนหลักและในเรือนนั้นมีอ่างน้ำแข็งตั้งอยู่ 3 ใบ เมื่อเทียบกับความร้อนด้านนอกแล้วก็ถือว่าภายในนี้เย็นกว่ามากโข

“เหตุใดช่วงนี้นายท่านดูร้อนรุ่มกลุ้มใจมากยิ่งนัก ? หรือเพราะจือโจวขัดขวางการรับอนุภรรยาของนายท่านกันเจ้าคะ ? ” ฮูหยินใหญ่ช่วยพัดให้เขา นางเหลือบสายตามองเก๋อซู่ที่นอนอยู่บนเก้าอี้ แน่นอนว่าแววตามีประกายของความมิพอใจสามีแฝงอยู่

“ใช่สิ ! ข้าแก่จนไร้ค่า ทว่านายท่านยังมีพละกำลังเฉกเช่นแต่ก่อนอยู่ ดูเหมือนอนุทั้งสามที่รับมาเมื่อปีนั้นจะสนองความต้องการของนายท่านได้มิมากพอ ให้ข้าไปสนทนากับหลี่หยวนว่ายอีกสักคราดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”

เปลือกตาของเก๋อซู่ยังคงกระตุกอยู่ แต่เดิมเขาก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว พอได้ยินฮูหยินใหญ่เอ่ยประชดประชันกันเยี่ยงนี้จึงยิ่งมีโทสะ

“หุบปาก ! ”

เก๋อซู่ถลึงตา ตวาดเสียงดังลั่นจนฮูหยินใหญ่ตื่นตระหนก

“ออกไป ! ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว เร็ว ! ไสหัวไป ไป ! ”

ฮูหยินใหญ่กระวีกระวาดเดินออกไป นางยืนอยู่ภายใต้แสงสุริยา แสงสุริยายามอู่ของเดือนเจ็ดมิสามารถทำให้นางรู้สึกอบอุ่นได้เลย

นางสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องซีเซียงด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก

นั่นคือสามีที่เคยขอนางแต่งงานเยี่ยงนั้นหรือ ?

นั่นคือผู้ที่ตั้งมั่นในการใช้ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดไปกับการพัฒนาแม่น้ำ คือสามีที่เคยได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิผู้นั้นหรือ ?

เขาเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

เมื่อหกปีที่แล้วเขาได้กลายเป็นผู้ว่าการทางน้ำของแม่น้ำต้าหลิง ใช่ ! ช่วงเวลานั้นเขายังคงยากจนและอาศัยอยู่ที่เมืองอู่หยวนแห่งนี้

เป็นเวลาอีกหนึ่งปีที่เขาได้ซื้อจวนหลังใหญ่นี้

จากนั้นอีกหนึ่งปี เขาก็ได้ลงทุนจำนวนมากเพื่อรื้อเรือนหลังนี้และสร้างขึ้นมาใหม่

ในปีเดียวกันเขาได้รับอนุภรรยาคนที่หนึ่ง ผ่านไปอีกสองปีให้หลัง เขาได้รับอนุมาอีก 2 คน

คาดมิถึงว่าในปีนี้เขาจะตกหลุมรักคุณหนูใหญ่ของครอบครัวหลี่หยวนว่าย หากมิใช่ว่าท่านจือโจวมาออกหน้าสนทนากับเขาอยู่ครึ่งค่อนคืน ก็เกรงว่าเขาจะไปฉุดคุณหนูผู้นั้นมาอย่างแท้จริง

เขาเปลี่ยนไปแล้ว !

เริ่มตั้งแต่ที่ได้เป็นผู้ว่าการทางน้ำ จากคนยากจนเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ควบคุมอุทกภัยและมีเพียงเรือนกระเบื้องหนึ่งหลัง บัดนี้เขากลายเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง

ทว่าภายในใจของฮูหยินใหญ่ สิ่งที่นึกถึงมิใช่เรือนกระเบื้องหลังเล็ก โต๊ะแปดคนนั่งและเตียงหนึ่งหลังเหล่านั้น

“ฮูหยินเจ้าคะ”

“อือ”

“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

คิ้วของฮูหยินใหญ่ขมวดมุ่น บุตรีกลับมาทำอันใดเวลานี้กัน ?

บุตรีได้สมรสกับเฉินเจิ้งบุตรชายของเฉินหยางจือโจวแห่งอู่หยวนโจว บัดนี้มิใช่เทศกาลอันใดและยิ่งมิใช่วันเกิดของพวกนาง “นางกลับมาทำอันใด ? ”

“บ่าวมิทราบเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่และท่านเขยเข้าไปในห้องของนายท่านแล้วเจ้าค่ะ”