ตอนที่ 900 หว่านจงแห่งหนานผิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 900 หว่านจงแห่งหนานผิง

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนตื่นจากการทำสมาธิก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

เขาลืมตาขึ้นมาพบว่าห่างออกไปด้านนอกเต็มไปด้วยแสงไฟส่องสว่าง… มันคือเขตหนานผิงนั่นเอง

ที่ได้ชื่อว่าเขตหนานผิงก็เพราะมีที่ราบหนานผิงตั้งอยู่

ที่ราบหนานผิงได้รับการตั้งชื่อตามวัดหนานผิง วัดโบราณบนที่ราบกว้างใหญ่ริมแม่น้ำชวีสุ่ยซึ่งเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำต้าหลิง

แม่น้ำชวีสุ่ยมีอายุนับพันปี วัดโบราณและเขตหนานผิงที่มีอายุนับพันปี ในอู่หยวนโจวจึงดูเหมือนจะมีรากฐานที่ดี

ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ เพราะที่เขตหนานผิงมีผู้เปี่ยมความสามารถอยู่มากมาย !

ที่แห่งนี้คือแหล่งกำเนิดของตระกูลจัวหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดซึ่งมีมานานนับพันปีของราชวงศ์อู๋ ถือว่าเป็นรากเหง้าของจัวอี้สิงท่านราชเลขาคนปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ที่เขตหนานผิงเต็มไปด้วยผืนนาของตระกูลจัว

แม้ในเวลาต่อมาตระกูลจัวจะพากันอพยพโยกย้ายไปยังอู่หยวนโจว ทว่าสุสานของบรรพบุรุษตระกูลจัวก็ยังมีคนคอยดูแลอยู่ที่นี่

ดังนั้นหากเปรียบเทียบกับนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงแล้ว ตระกูลจัวจึงจัดเป็นผู้ครอบครองที่ดินรายใหญ่อย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าบัดนี้ภายใต้หนังสือฉบับหนึ่งซึ่งเป็นกฎของจัวอี้สิง เขาได้มอบพื้นที่ไร่นาบริเวณนี้จำนวนแปดในสิบส่วนกลับคืนสู่ผืนปฐพี

เทือกเขาไร่นาเหล่านั้นถูกแบ่งและมอบให้เกษตรกร กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวในการครอบครองของผู้คนเหล่านั้น จากการดูแลเอาใจใส่อย่างสุดความสามารถของเกษตรกรทั้งหลายจึงทำให้พื้นที่บริเวณนี้พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สายลมพัดโชยทำให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของต้นข้าว ลอยมาแตะจมูก ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ได้ข้ามสะพานชวีสุ่ยและได้เข้าสู่เมืองหนานผิงในที่สุด

เมื่อเปรียบเทียบกับเขตซื่อหยางแล้ว แตกต่างกันราวกับนรกและสวรรค์

ความร้อนระอุในยามกลางวันถูกแม่น้ำชวีสุ่ยพัดจนเลือนหายไปแล้ว ชาวบ้านที่นั่งอยู่แต่ในเรือนมาทั้งวัน บัดนี้ได้ออกมาเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์

ผู้คนบนถนนเดินเบียดเสียดกันไปมา รถม้าและเกี้ยววิ่งสวนกันขวักไขว่

ถนนในเมืองหนานผิงช่างกว้างขวางมากยิ่งนัก อาคารมุงหลังคากระเบื้องสีน้ำเงินตลอดสองข้างถนนเรียงรายเป็นแนวยาว ร้านค้าที่ชั้นล่างมีสินค้าทุกชนิดวางขาย มีเสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังมาจากในร้านและเสียงโห่ร้องจากคนขายหาบเร่ดังเซ็งแซ่

ฟู่เสี่ยวกวนเปิดม่านหน้าต่างมองด้วยความดีใจ เขามองไปยังผู้คนที่เดินเข้าออกตามร้านรวงและมองไปยังท่าทางที่เต็มไปด้วยความสุขของผู้คนเหล่านั้น อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าหัวใจเต็มไปด้วยความอบอุ่น

“ข้าชื่นชอบบรรยากาศครึกครื้นเยี่ยงนี้ยิ่งนัก รู้สึกว่านี่จึงจะเป็นชีวิตอย่างแท้จริง”

ต่งชูหลานหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “อีกประเดี๋ยวหากพักผ่อนจนเพียงพอแล้ว พวกเราออกมาเดินเล่นกันดีหรือไม่ ? ”

“ดี ! เจ้าดูนั่นสิ…” นิ้วเรียวยาวของฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปเบื้องหน้า ต่งชูหลานมองตาม พบว่ามีร้านค้าซึ่งมีหน้าร้านแบบสามประตูตั้งอยู่ ด้านบนมีป้ายร้านค้าและโคมไฟสีแดงแขวนอยู่เป็นแถว ที่โคมไฟนั้นมีตัวอักษรเขียนว่า…หม้อที่สองในใต้หล้า ! ”

“ชื่อนี้ช่างน่าสนใจมากยิ่งนัก”

“อีกประเดี๋ยวพวกเรามาทานมื้อค่ำที่นี่กันเถิด หยุนซีเหยียนเคยบอกเอาไว้มิใช่หรือ ? ว่าอาหารเลิศรสนั้นมิได้อยู่ในหอหรูหรา แต่จะอยู่ตามตรอกซอกซอยต่างหากเล่า”

“ตกลง ! ”

ต่งชูหลานรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก หม้อที่สองในใต้หล้าเยี่ยงนั้นหรือ ? แล้วหม้อที่หนึ่งอยู่ที่ใดเล่า ?

รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปบนถนนที่เริ่มคับแคบ หนิงซือเหยียนพาทั้งสองคนชมบรรยากาศของถนนทั้งสองสายนี้ สุดท้ายก็ทะลุไปยังโรงเตี๊ยมซึ่งเงียบสงบแต่งดงามยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า จ้องมองป้ายโรงเตี๊ยม… หว่านจง ! ชื่อโรงเตี๊ยมนี้ดูมีศิลปะมากยิ่งนัก ยามเย็นที่โรงเตี๊ยมหว่านจงแห่งนี้จะได้ยินเสียงระฆังดังมาจากวัดหนานผิง

เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนได้กำชับเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นหนิงซือเหยียนจึงมิได้เหมาโรงเตี๊ยมแห่งนี้และได้เช่าห้องพักจำนวน 5 ห้อง จากนั้นก็ให้เถ้าแก่เนี้ยพาขึ้นไปยังชั้นสองด้านหลังของโรงเตี๊ยม

สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับแม่น้ำชวีสุ่ย เมื่อเปิดหน้าต่างออกไปก็จะได้ยินเสียงน้ำไหลริน ความเย็นที่พัดมาจากแม่น้ำช่างเย็นสบายมากยิ่งนัก

เมื่อจัดข้าวของอย่างง่าย ๆ เรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานก็ได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนเป็นชุดเรียบง่าย จากนั้นก็พาทุกคนเดินออกไปด้านนอก

เมื่อท้องนภามืดมิด ผู้คนบนท้องถนนก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นไปอีก

มีทั้งสตรีที่สวมใส่อาภรณ์งดงามและชายหนุ่มชุดขาวพาบ่าวรับใช้เดินถือพัดไปมา

ร้านค้าทั้งสองข้างทางละลานตา มีทั้งหอทองคำและร้านเครื่องสำอาง อีกทั้งยังมีเสื้อผ้าที่ทอจากไหมเป็นต้น

พวกเขาเดินชมข้างทางไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าร้านหม้อที่สองในใต้หล้า

ด้านในเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

หนิงซือเหยียนเดินนำเข้าไปด้านใน เขามองไปรอบ ๆ ทั้งสี่ทิศด้วยความระมัดระวัง “หลงจู๊ ห้องส่วนตัว 1 ห้อง”

หลงจู๊วัยกลางคนรีบตอบกลับว่า “นายท่านขอรับ ช่างบังเอิญเสียจริงห้องส่วนตัวเต็มแล้วขอรับ พวกท่านจะนั่งรอสักครู่หรือนั่งที่ห้องโถงดีขอรับ ? ”

หนิงซือเหยียนกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าฟู่เสี่ยวกวนโบกมือห้ามเอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าเต็มใจว่า “เยี่ยงนั้นก็นั่งที่ห้องโถงกันเถิด”

“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้”

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้นั่งบริเวณข้างหน้าต่างภายใต้การนำทางของเสี่ยวเอ้อ เขาหยิบผ้าขี้ริ้วลงจากบ่ามาเช็ดโต๊ะ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่านรับอันใดดีขอรับ ? ”

“หม้อที่สองในใต้หล้าของพวกเจ้าคือสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ทุกท่านมาจากต่างถิ่นเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? พวกท่านมาถูกที่แล้วเพราะหม้อที่สองในใต้หล้าของเราคือซุปเลื่องชื่อของอู่หยวนโจว มีวัตถุดิบหลักคือหัวปลาจากแม่น้ำชวีสุ่ยและเป็ดแก่เต็มวัยจากหนานผิง พวกมันได้ยินเสียงระฆังยามเย็นจากวัดหนานผิงมาหลายปีจึงทำให้มีรสชาติอร่อยมากยิ่งนัก และกลายเป็นอาหารชั้นเลิศ นอกเหนือจากที่นี่แล้วต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิในเมืองกวนหยุนก็มิได้เสวยหรอกนะขอรับ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม “องค์จักรพรรดิปรารถนาจะเสวยสิ่งใดมิใช่แค่ออกพระราชโองการก็ได้เสวยแล้วหรอกหรือ ? ”

“คุณชายท่านนี้มิรู้อันใด ปลาจากแม่น้ำชวีสุ่ยมิอาจขนส่งไปยังเมืองกวนหยุนได้ หากใช้ปลาชนิดอื่นรสชาติก็จะเปลี่ยนไป ท่านว่าแม้แต่องค์จักรพรรดิก็มิอาจได้ลิ้มลองจริงหรือไม่เล่า ? ”

“อืม…ช่างมีเหตุผลมากยิ่งนัก เช่นนั้นลองเอามาชิมสักหม้อ… จริงสิ ! ซุปนี้หม้อเดียวคงมิอิ่มสินะ ? ”

“ท่านสามารถสั่งอาหารแกล้มสักสองสามอย่างได้ เช่น เลือดเป็ดหนานผิง เต้าหู้หนานผิงและลูกชิ้นหมูหนานผิงเป็นต้นขอรับ”

อืม…มิต่างจากซุปในชาติก่อนเลยนี่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงสั่งอาหารอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกชาขึ้นดื่ม เขาได้ยินพ่อค้าจากโต๊ะข้าง ๆ กำลังเอ่ยอย่างออกรสว่า

“พวกกบในกะลาทั้งหลาย ข้ายอมรับว่าที่เขตหนานผิงนี้มิเลวและยอมรับว่าที่เขตซื่อหยางมิอาจเปรียบเทียบกับที่นี่ได้ในตอนนี้ ทว่า… ! ”

ชายผู้นั้นยกมือขึ้น “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าอีกมิเกิน 2 ปี ที่เขตซื่อหยางจะงดงามและรุ่งเรืองมากกว่าเขตหนานผิงมากนัก ! ”

“เหล่าสวี เจ้าเดินทางไปพบเห็นสิ่งใดในเขตซื่อหยางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าเหล่าสวีหัวเราะ ฮึ ๆ “ข้าได้พบองค์จักรพรรดิของพวกเรา ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนสะดุ้งโหยงทันที จากนั้นก็ได้ยินเหล่าสวีเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ฝ่าบาทเสด็จไปยังเขตซื่อหยางมิใช่ความลับอันใด ในตอนนั้นที่ข่าวแพร่สะพัดข้าอยู่ที่ชิงหัวโจวและกำลังนำเข้าผ้าไหม อยู่ ๆ หลงจู๊ใหญ่ของตระกูลซือหม่าก็เดินทางไปยังเขตซื่อหยาง ข้าคิดว่าจะต้องมีโอกาสทางการค้าคราใหญ่เป็นแน่ ข้าจึงได้ติดตามไป”

“ในระยะเวลาเพียง 1 เดือนสั้น ๆ นั้น โรงเตี๊ยมในเขตซื่อหยางก็มิมีห้องว่างแล้ว ! พวกเจ้ามิรู้หรอกว่ามีผู้ค้าขายมากมายเพียงใด ! ”

ชายผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เดี๋ยว ๆ ๆ ประเดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าเห็นฝ่าบาทที่เมืองซื่อหยางเยี่ยงนั้นหรือ ? ฝ่าบาททรงไปทำอันใดที่เมืองซื่อหยางกันเล่า ? ”

“เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร ? ทว่าฝ่าบาททรงประพันธ์กวีไว้ให้สองบทที่เขตซื่อหยาง คาดว่าจะเผยแพร่มาถึงที่นี่ในเร็ววัน”

“อืม…จริงสิ ! ฝ่าบาทของพวกเรามีพระปรีชาสามารถด้านวรรณกรรมเป็นเลิศ ทรงประพันธ์กวีแบบใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าเหล่าสวีกระแอมออกมาเบา ๆ “พวกเจ้าจงฟังให้ดี…”