ตอนที่ 901 กลับกลอกมิเข้าพวก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 901 กลับกลอกมิเข้าพวก

ฟู่เสี่ยวกวนดึงสายตากลับมาพลางส่ายหน้าเบา ๆ ทว่าต่งชูหลานกลับรับฟังด้วยความปีติยินดี

พ่อค้าแซ่สวีได้ขับขานบทกวีสงสารชาวนาทั้งสองบทออกมาจริง ๆ หลังจากนั้นก็เอ่ยด้วยความซาบซึ้งว่า “องค์จักรพรรดิของพวกเราทรงห่วงใยราษฎรในใต้หล้าอย่างแท้จริง เหล่าจัว ที่ดินของเขตหนานผิงในตอนนี้ก็เป็นของตระกูลท่านเสียส่วนมาก ท่านลองเอ่ยมาสิว่ามีความเข้าใจในความทุกข์ของเกษตรกรเหมือนฝ่าบาทหรือไม่ ? ”

เศรษฐีที่ดินแซ่จัวน่าจะเป็นคนในตระกูลของจัวอี้สิง ฟู่เสี่ยวกวนลอบมองอยู่บ่อยครั้ง พบว่าเขาอายุ 40 – 50 ปีเท่านั้น ทั้งยังแต่งกายเรียบง่าย

“เจ้าอย่าได้ล้อเลียนข้าเลย ข้ามีคุณสมบัติอันใดไปเทียบกับฝ่าบาทได้เล่า… ท่านลุงเคยส่งจดหมายมาหาและได้กำชับอย่างหนักแน่นว่าให้ปฏิบัติตนต่อชาวไร่ชาวนาให้ดี เพราะฝ่าบาทของพวกเราเคยเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินมาก่อน”

“เอ่ยได้ว่าพวกเราอาศัยพระเมตตาของฝ่าบาท เมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่อู่ต้ายของฝ่าบาทให้ผลผลิตดีมากยิ่งนัก บัดนี้เมล็ดเริ่มแตกหน่อแล้ว เห็นได้ชัดว่าอุดมสมบูรณ์เสียยิ่งกว่าเมล็ดข้าวในอดีตมากโข คาดว่าผลผลิตหกถึงเจ็ดร้อยชั่งต่อหมู่จะมิใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป”

“…”

ใบหน้าของต่งชูหลานเต็มไปด้วยความภาคภูมิ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเขาชื่นชมท่านอยู่”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาด้วยความขัดเขิน “แน่นอนสิ ก็ข้ามีความสามารถมากมายถึงเพียงนี้”

หนิงซือเหยียนรู้สึกว่าใบหน้าของตนค่อนข้างแดง เป่ยหวังฉวนก้มหน้าก้มตาด้วยความอาย แต่ก็คอยสำรวจความเปลี่ยนแปลงรอบด้านด้วยความระมัดระวัง

หม้อดินเผาหนึ่งใบถูกยกเข้ามา เสี่ยวเอ้อเปิดฝากลมที่อยู่กลางโต๊ะ จากนั้นก็จุดไฟด้านล่าง มันค่อนข้างร้อนแต่ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อเทียบกับการทานหม้อไฟในวันที่ร้อนจัดของชาติที่แล้ว

“น้องชาย แล้วหม้อที่หนึ่งในใต้หล้าคือสิ่งใดเล่า ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เสี่ยวเอ้อหัวเราะขึ้นมา “หากพวกเราเป็นที่สอง ก็หมายความว่าจะมิมีผู้ใดกล้าเป็นที่หนึ่งเยี่ยงไรเล่าขอรับ ! ”

ทันใดนั้นดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนก็เบิกกว้าง เจ้าหมอนี่น้ำเสียงช่างหนักแน่นเสียจริง !

“ดูสิ ! คุณชายมิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ประเดี๋ยวพอซุปเดือดแล้ว หากพวกท่านได้ลิ้มรสน้ำแกงก็จะทราบเองแหละขอรับ”

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ กำลังอดใจรอ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้านนี้

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจ แต่แล้วเสียงครึกครื้นรอบข้างก็พลันเงียบไป จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแจ่มชัดดังขึ้นมา “หลงจู๊หลี่ ได้ยินมาว่าห้องส่วนตัวของข้ามีคนอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับไปมอง เห็นหลงจู๊ผู้นั้นผงกหัว จากนั้นก็โค้งคำนับชายหนุ่มที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีสดพลางเอ่ยว่า “คุณชายพาน วันนี้ท่านมิได้ทำการจองล่วงหน้า ข้าน้อยจึงคิดว่าคุณชายพานจะมิมา ห้องรับรองนั้นมีแขกนั่งแล้ว… หากคุณชายพานมิรังเกียจที่ตรงนี้…”

ยังมิทันที่หลงจู๊หลี่จะได้เอ่ยจนจบ ฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นคุณชายพานหน้าอ่อนผู้นั้นง้างมือขึ้นและตบลงที่ใบหน้าของหลงจู๊หลี่ดัง เพียะ !

“เจ้าสุนัข ! นั่นคือห้องประจำของข้า เจ้ากล้ายกให้ผู้อื่นเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าทราบหรือไม่ว่าแขกของข้าในคืนนี้คือผู้ใด ? ”

เขาจดจ้องใบหน้าของหลงจู๊หลี่อย่างดุดัน “ท่านนี้คือบุตรชายของท่านหยางจือโจวแห่งอู่หยวนโจว บัดนี้เจ้าจงรีบไปเก็บห้องส่วนตัวของข้าให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นข้าจะมิให้ร้านของเจ้าเปิดกิจการอีกต่อไป ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น จำได้ว่าเฉินหยางจือโจวผู้นี้มีรายชื่ออยู่ในบัญชีตาย แต่ชายหนุ่มที่เสียงดังผู้นี้เป็นผู้ใดกัน ?

หนิงซือเหยียนจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน เขาส่ายศีรษะไปมาช้า ๆ

เมื่อหลงจู๊หลี่ได้ฟังคำเอ่ยของชายหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกตื่นกลัวเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้าอย่างว่องไว “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ คุณชายพานโปรดรอสักครู่ขอรับ”

“ไสหัวไป ! ”

หลงจู๊หลี่รีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินชายผู้นั้นตะโกนเสียงดังว่า “มองอันใดกัน ? มิเคยเห็นความลำพองของข้าผู้นี้หรือ ? หากมองอีกข้าจะไล่คนสอดรู้เยี่ยงพวกเจ้าออกไปให้หมด ! ”

แขกเหรื่อภายในร้านแทบจะเป็นคนท้องถิ่นของเขตหนานผิงทั้งสิ้น เหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักชายหนุ่มบ้าอำนาจเพราะเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ละคนก็รีบดึงสายตากลับมา ตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารดื่มสุราโดยมิมีผู้ใดเปล่งเสียงอีก

บุตรชายของจือโจวเอ่ยขึ้นมาว่า “น้องพาน มิเลวเลย เจ้ามีอำนาจยิ่งกว่าข้าเสียอีก ! ”

“ข้าจะสามารถเทียบกับพี่เฉินได้เยี่ยงไรเล่า ? สถานที่เล็ก ๆ ของพวกเราก็เหมือนปลาเล็กกุ้งน้อย หาใช่เมืองอู่หยวนของท่านไม่”

“เฮ้อ…มันเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ท่านพ่อควบคุมข้าอย่างเข้มงวด ช่วงเวลาที่สวยงามมิมีเหลืออีกต่อไปแล้ว ข้าอึดอัดมา 1 ปีเต็มจนแทบจะกระอักเลือดตาย ส่วนเหตุผลของการมาที่เขตหนานผิงในครานี้… ข้าจะบอกกับเจ้าพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

“ใช่สิ… ! ” คุณชายเฉินมองไปทางคุณชายพาน “ในช่วงนี้เจ้าต้องสำรวมเล็กน้อยเพราะได้ยินว่าฝ่าบาทออกประพาสนอกราชการและบัดนี้ก็ได้เสด็จออกจากหกรัฐแห่งเป่ยเซียวแล้ว แต่มิทราบว่าฝ่าบาทไปที่ใดต่อ หากพระองค์เสด็จมาที่นี่คงมิเป็นการดีต่อบิดาของเจ้าสักเท่าใดนัก”

คุณชายพานยิ้มเยาะ เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านคิดว่าฝ่าบาทนั่นเสียสติหรือไม่ ? ”

หนิงซือเหยียนชักกระบี่ออกมาจนเกือบจะถลาไปแล้ว แต่เขากลับโดนฟู่เสี่ยวกวนดึงกลับมาเสียก่อน “ฟังก่อน”

“ที่เมืองกวนหยุน ในวังหลังมีสาวงามถึง 3,000 นาง ช่วงเวลาเหล่านั้นผ่านพ้นไปอย่างสงบสุขและมีอิสระมิใช่หรือ ? ท่านลองบอกสิว่าหากมิเสียสติแล้วจะวิ่งออกมาข้างนอกเพื่ออันใดกัน ? อากาศร้อนถึงเพียงนี้ มิสู้อยู่รับความรื่นรมย์ในวังหลังจะมิสดชื่นกว่าหรือ ? ”

คุณชายเฉินเงยหน้าขึ้นพลางมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่ว “น้องพาน ระวังวาจาด้วย ! ”

“สบายใจเถิด ที่นี่คือเขตหนานผิง ราชวงศ์อู๋ใหญ่โตถึงเพียงนี้จะมีความบังเอิญที่ฝ่าบาทจะเสด็จมายังสถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้ได้เยี่ยงไร ใช่แล้ว ! พี่เฉิน ท่านบอกว่า…พี่สะใภ้ของท่านแนะนำให้ไปไหว้พระที่วัดหนานผิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่ ! เอ่ยกันว่าพระโพธิสัตว์ในวัดหนานผิงศักดิ์สิทธิ์มากมิใช่หรือ ? ”

“ดี ! พรุ่งนี้ข้าจะพาท่านไปไหว้พระที่วัดหนานผิง ส่วนข้าเองก็จะถือโอกาสไปไหว้ด้วยสักหน่อย เพราะช่วงนี้เหมือนว่าท่านพ่อจะอารมณ์มิค่อยดีสักเท่าใดนัก”

เพียงมินานก็มีแขกวิ่งร้อนรนลงมาจากชั้นสองและได้นั่งลงที่โต๊ะด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวน

หลงจู๊หลี่ต้อนรับชายหนุ่มกลุ่มนี้ขึ้นไปบนชั้นสองอย่างระมัดระวัง บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ถึงได้ผ่อนคลายเสียที

“พี่ชาย บุรุษผู้นั้นคือผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปเอ่ยถามชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นสอง

“น้องชายมาจากต่างถิ่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ชายวัยกลางคนถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาสำรวจใกล้ ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงและเอ่ยเสียงแผ่วว่า “บุตรชายของนายอำเภอเขตหนานผิงของเรามีนามว่าพานฉี ฉายาอันธพาลแห่งหนานผิง น้องชายอย่าเคลือบแคลงไปเลย มิเช่นนั้นจะนำไปสู่หายนะที่มิอาจคาดคิดและมิมีที่ใดให้ยื่นอุทธรณ์”

มีเหตุการณ์เยี่ยงนี้ด้วยหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก

“บุตรชายของนายอำเภอตัวเล็ก ๆ กล้ากระทำชั่วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

“ชู่ว์…นายอำเภอมิได้มีอำนาจเล็กน้อยเลยเพราะเขาคือคนสนิทของท่านจือโจว น้องชายลองคิดดูเถิด หากโดนเขาเอาเปรียบ พวกเราจะไปขอความยุติธรรมได้จากที่ใด ? งูและหนูอยู่ในรังเดียวกัน หากหนูมิระวังชีวิตจะหาไม่ ! ”

“อ่า…ขอบคุณพี่ชายมากยิ่งนัก”

“มิต้องขอบอกขอบใจหรอก น้องชายคงมิทราบว่าเจ้าแซ่พานผู้นั้นในอดีตหยิ่งยโสยิ่งกว่านี้อีก หากเป็นในอดีตเขาคงพาอันธพาลมาทุบตีพวกข้าตั้งนานแล้ว ทว่าตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ในปีที่แล้วเขาก็ดูสำรวมมากขึ้น เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฝ่าบาทประทับอยู่ในเมืองกวนหยุนอันห่างไกลจึงมิทรงทราบเรื่องราวเช่นนี้ มิเยี่ยงนั้นฝ่าบาทต้องลงมาจัดการขุนนางทุจริตเหล่านี้ด้วยพระองค์เองเป็นแน่ ! ”

ทันใดนั้น ชายอีกคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันก็ได้เอ่ยเสริมว่า “ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงจัดการขุนนางของเขตซื่อหยางที่ทำการทุจริตแล้ว หากพระองค์มาถึงเขตหนานผิงของพวกเราได้ก็คงจะดี”

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “บางทีเขาอาจจะมาแล้วจริง ๆ ก็เป็นได้”

“เฮ้อ…ฝ่าบาทก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ราชวงศ์อู๋ใหญ่โตถึงเพียงนี้ พระองค์จะทำทุกอย่างได้เยี่ยงไร พวกเราก็อดทนกันไปก่อนเถิด หากฝ่าบาทยังคงดำรงอยู่ พวกคนชั่วย่อมถูกจัดการในเร็ววัน”