ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 39 ประชันปัญญา

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ภายในร้านยามีห้องพักผู้ป่วย ซึ่งเป็นห้องที่เตรียมไว้สำหรับคนป่วยฉุกเฉินและคนป่วยหนักบางคนโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน เถ้าแก่ก็ไม่อาจปฏิเสธ กวาดสายตามองทุกคน และพูด “ห้องคนป่วยมีอยู่ขอรับ แต่ว่าคนของพวกท่านมีมากเกินไป เกรงว่าจะรับ…” 

 

 

คำพูดของเขายังทันไม่จบ ก็ถูกเสียงของหลินหันเยียนแทรกขึ้นอย่างเร่งรีบ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ให้พ่อข้าได้พักอย่างดี พวกเราและคนอื่นๆ ก็ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ นี้ได้เจ้าค่ะ” 

 

 

พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไล่ออกไปข้างนอก ก็จะเป็นที่สังเกตของคน เถ้าแก่จึงพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะจัดให้คนพวกท่านไปที่หลังเรือนก่อน รอให้ท่านหมอออกใบสั่งยา และต้มยาเสร็จแล้ว ก็จะยกไปให้พวกท่านขอรับ” 

 

 

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนดีใจจนเกือบสะอื้น และพูดขอบคุณอย่างไม่ขาดสาย 

 

 

หลังจากเรียกลูกน้องมา และสั่งให้เขาพาแต่ละคนไปที่หลังเรือน เถ้าแก่ก็ส่งสายตาให้หมอ แล้วหันกายกลับไปที่หลังเรือน 

 

 

หมอลุกขึ้นยืน ตามออกไป 

 

 

มาถึงหลังเรือนแล้ว เถ้าแก่ก็หยุดฝีเท้า หันหน้ามาซักถามหมอเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้น” 

 

 

หมอยังคงขมวดคิ้วอย่างสงสัยไม่คลาย “ชีพจรของชายชราท่านนั้นแปลกอย่างมากขอรับ ถ้าหากเขาไม่ไอ ชีพจรก็ไม่มีปัญหา เป็นเหมือนคนปกติ แต่พอเขาไอทันใด ชีพจรนั้นแทบจะไม่มีแล้วขอรับ ข้าตรวจดูอาการป่วยมาหลายปีขนาดนี้ ก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จัดการยากมากขอรับ” 

 

 

ฟังคำพูดเขาจบแล้ว ในใจของเถ้าแก่ก็หนักอึ้ง แล้วขมวดคิ้วถาม “แม้แต่เจ้าก็ตรวจดูอาการไม่ออกหรือ” 

 

 

หมอส่ายหน้าและถอนหายใจ 

 

 

ในใจของเถ้าแก่หนักอึ้งไปถึงก้นบึ้ง แล้วกระทืบปลายเท้าเบาๆ นึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองไม่น่าถูกคำพูดของหญิงคนนั้นพูดจนสับสนเมื่อครู่เลย ถ้าหากว่ารักษาอาการป่วยของชราคนนี้ไม่ดี ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของร้านยาตัวเองหรือ 

 

 

กัดฟัน และพูดสั่ง “ให้ยาบำรุงแก่เขามากหน่อยไปก่อน รอให้พวกเขาจ่ายค่ารักษาไม่ไหวแล้ว ก็ย่อมจะจากไปเอง ถึงเวลานั้น แม้ป่าวประกาศออกไป ก็จะไม่เสื่อมเสียชื่อเสียงร้านของพวกเรา” 

 

 

สถานการณ์ตรงหน้าทำได้เพียงเท่านี้ แม้ว่าให้ยาบำรุงมากจะไม่สามารถรักษาอาการป่วยของชายชราให้หายได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้อาการหนักไปมากกว่านี้ หมอจึงรับคำ หันกลับไปที่โถงด้านหน้า แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยา พร้อมส่งให้กับลูกน้อง “รีบไปต้มเสีย แล้วไปส่งให้แก่คนป่วยเมื่อครู่” 

 

 

ลูกน้องรับคำอย่างขะมักเขม้น คว้ายาอย่างคล่องแคล่ว ไปต้มที่หลังเรือน 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนถูกจัดให้พักอยู่ในห้องพักผู้ป่วยแล้ว ลูกน้องก็ถอยออกไป 

 

 

คิดถึงสีหน้าอันซีดเผือดของหมอคนนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโตที่งดงาม รุดมาตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วกล่าวถามอย่างใคร่รู้ “ท่านพ่อ ท่านหลอกหมออย่างไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

หวงฝู่เฮ่าก็มองมาอย่างใคร่รู้ 

 

 

แม้ว่าหลินหันเยียนจะไม่แสดงความใคร่รู้ออกมาขนาดเช่นพวกเด็กๆ แต่ก็ทำหูตั้ง เงี้ยหูฟัง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะพูดตอบเบาๆ “อันนี้ต้องถามแม่ของพวกเจ้าแล้วล่ะ ความคิดดีๆ เช่นนี้ล้วนเป็นความคิดของนาง” 

 

 

ทุกคนมองไปทางนาง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มไม่พูด 

 

 

ทุกคนก็เผยสีหน้าที่ผิดหวัง 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ยกเท้าขึ้น อยากจะไปเดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เพื่อร้องขอให้นางบอก ภายในเรือน ก็มีเสียงของลูกน้องดังขึ้น 

 

 

ทุกคนจึงรีบสำรวมสีหน้า แล้วไม่พูดคุยกันอีก 

 

 

ลูกน้องมาถึงหน้าห้องพักผู้ป่วย แล้วเคาะประตู 

 

 

หลินหันเยียนเปิดประตูถาม “มีเรื่องอะไรหรือ” 

 

 

“ออกใบสั่งยาเสร็จแล้ว เถ้าแก่ให้ท่านไปชำระเงินค่ายาตอนนี้ก่อนขอรับ” 

 

 

“รู้แล้ว ข้าจะเดี๋ยวนี้” 

 

 

เสียงฝีเท้าของลูกน้องไกลออกไป 

 

 

หลินหันเยียนก็เดินตามออกไป แล้วมายังหน้าโถงใหญ่เพื่อคิดเงินค่ายา 

 

 

เถ้าแก่เห็นนางจ่ายเงินโดยที่ดวงตาไม่กะพริบทันที ในใจก็ร้องโอดครวญเบาๆ ว่าลำบากเสียแล้ว และครุ่นคิด อย่าบอกนะว่าเจอบ้านเศรษฐีเข้าให้แล้ว อย่างนี้ก็จัดการลำบากแล้วจริงๆ น่ะสิ 

 

 

ลูกน้องเอายาที่ต้มเสร็จแล้ว ส่งเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนก็ค่อยๆ ยกขึ้นดื่มจนหมด 

 

 

ลูกน้องยกชามเปล่าออกไป หวงฝู่อี้เซวียนก็ไอสองครั้งตามไปด้วย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตา ยิ้มถาม “เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“เป็นยาบำรุงทั้งนั้นแหละ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดาออกว่าเป็นเช่นนี้ ก็ยิ้มส่ายหน้า “นี่พวกเขาอยากจะใช้ค่ายามากดดันให้พวกเราออกไปสินะ” 

 

 

หลินหันเยียนพูดต่อ “ใช่สิ ราคายาพวกนี้แพงจนน่าตกใจเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

“พวกเขาอยากได้เท่าไรก็ให้ไปเท่านั้น เทียบกับโรงเตี๊ยมแล้ว อยู่ในร้านยาปลอดภัยกว่ามาก เพียงแค่สามารถซ่อนตัวได้สองสามวัน ประตูเมืองเปิดเมื่อใด พวกเราก็จะหาทางปะปนออกจากเมืองโดยทันที” 

 

 

อีกด้านหนึ่ง องค์ชายใหญ่ก็ได้สั่งให้พวกทหารตรวจสอบทุกบ้านทุกเรือน แม้ว่าจะเป็นมุมเล็กซอกหลืบก็ไม่ปล่อย ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเขาสามารถบินขึ้นฟ้าหรือดำลงดินได้ มิฉะนั้นก็จะพบตัวได้อย่างรวดเร็วแน่นอน 

 

 

องค์ชายใหญ่คิดแผนได้ไม่เลวสมดั่งใจ ทว่า หนึ่งวันผ่านไป และแสงของท้องฟ้ามืดลง กลับไม่พบว่ามีลูกน้องของตัวเองมารายงานข่าวว่าเจอตัวแล้ว สีหน้าขององค์ชายใหญ่ก็ดำบึ้งอย่างหนัก แล้วรอบกายก็แผ่ไอแห่งความดาลเดือดออกมา 

 

 

คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็แบกรับกับอารมณ์ของเขาไม่ได้ จึงถอยออกไปเล็กน้อยอย่างเบาๆ 

 

 

“ส่งคำสั่งออกไป คืนนี้ไม่อนุญาตให้พัก ให้พวกเขาหาต่อไป จนกว่าข้าจะได้รู้ว่าหาพวกนั้นพบแล้วเท่านั้น” องค์ชายใหญ่สั่ง 

 

 

มีคนรับคำ และไปส่งสาร ทหารที่ได้รับคำสั่งก็ร้องโอดครวญ ทว่า ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง 

 

 

ภายในร้านยา 

 

 

แสงของฟ้ามืดลงแล้ว คนไข้ทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว ภายในร้านหมอสะอาดสะอ้านขึ้น และหมอแต่ละคนก็เก็บข้าวของกลับบ้านไป 

 

 

หลินหันเยียนเดินมาจากหลังเรือน เจอเถ้าแก่ที่กำลังคิดบัญชีอยู่ ก็กล่าวอ้อนวอน “เถ้าแก่เจ้าคะ ข้าเห็นห้องพักผู้ป่วยอีกห้องยังว่างอยู่ สามารถให้พวกเราเข้าพักได้หรือไม่เจ้าคะ พ่อของข้า ถ้าหากมีอะไรไม่สบายขึ้นมา พวกเราจะได้รับใช้ได้ทันการเจ้าค่ะ” 

 

 

คำพูดของหมอคนนั้นยังคงวนเวียนที่หัวของเถ้าแก่โดยตลอด เถ้าแก่ครุ่นคิดทั้งวัน ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจที่เก็บพวกเขาไว้ ถ้าหากว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นมาจริงๆ ร้านยาแห่งนี้ต้องป่นปี้ลงบนมือเขาแน่ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหันเยียน หัวใจก็ยิ่งเต้นรัว และพยักหน้ารับคำทันที “ได้ๆๆ ตอนนี้ยังไม่มีคนไข้ พวกท่านอยากพักก็พักเสียเถิด” 

 

 

หลินหันเยียนควักเหรียญเงินของรัฐอิงจากชายเสื้อออกมาวางไว้ที่โต๊ะรับแขก “ขอบคุณเถ้าแก่อย่างยิ่งเจ้าค่ะ พวกเราไม่พักเปล่าแน่เจ้าค่ะ” 

 

 

เถ้าแก่ก็ไม่ปฏิเสธ แล้วเก็บเข้าไปในโต๊ะ พร้อมสั่งลูกน้องให้นำที่นอนสองสามชุดเพิ่มให้แก่พวกเขา 

 

 

ช่วงเวลากลางคืน หลังจากกินอาหารเดียวกันกับพวกลูกน้องร้านยาแล้ว ทั้งหกคนก็แยกกันไปสามห้องเพื่อพักผ่อน 

 

 

ทำงานยุ่งทั้งวัน เถ้าแก่กับลูกน้องร้านยาก็เหนื่อยล้าแล้ว เมื่อเก็บข้าวของเสร็จ ก็หลับไปแต่หัวค่ำ ขณะที่ทุกคนกำลังสะลึมสะลือ กึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงพังประตูดังขึ้นอย่างรุนแรง ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกนพวกทหาร 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นทันที และรู้ว่าเป็นทหารรัฐอิงที่เข้ามาตรวจสอบถึงที่แล้ว 

 

 

หลังจากลุกจากเตียง ทั้งหกคนก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องนอนห้องหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนราวกับถูกทำให้ตกใจ จึงกระแอมไอหนักขึ้น 

 

 

เถ้าแก่ก็ถูกปลุกให้ตื่น และสะดุ้งลุกตัวขึ้นนั่ง เมื่อคลุมเสื้อลงจากเตียงแล้ว ก็รีบเรียกลูกน้องให้ไปเปิดประตู ส่วนตัวเองก็ตามไปที่โถงใหญ่ด้านหน้า 

 

 

ประตูถูกเปิดออก ทหารสิบกว่าคนก็กระทืบเท้ากรูเข้ามา 

 

 

เถ้าแก่ก็รีบรับหน้า แล้วสอบถามอย่างนอบน้อม “ท่านทหาร ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ พวกท่านถึงได้มาตรวจสอบร้านยาของพวกเรา” 

 

 

ผู้นำทหารมองประเมินเขาหลายครั้ง แล้วโบกมือ พูดตอบอย่างไม่อดทน “ภายในเมืองมีจารชนแฝงตัวเข้ามา พวกเราได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นทุกบ้าน ขอให้พวกเจ้าออกมาให้หมดทุกคน จะได้ไม่ถึงขั้นที่ต้องให้พวกเราลงมือ” 

 

 

เถ้าแก่สะดุ้งตกใจ รีบกล่าวรับคำ และสั่งลูกน้องที่มาเปิดประตูให้ไปเรียกทุกคนออกมา 

 

 

แล้วทุกคนก็ออกมาครบอย่างรวดเร็ว ทหารตรวจสอบดูทีละคน และไม่พบที่ผิดปกติตรงไหน จึงถามอย่างดุดัน “มีคนแค่นี้หรือ ยังมีอีกหรือไม่” 

 

 

เถ้าแก่ก็ไม่กล้าปิดบัง “คนในร้านยาของพวกเราทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วขอรับ ส่วนที่ด้านหลังเรือน ยังมีคนไข้อีกหนึ่งคนและครอบครัวของพวกเขาอยู่” 

 

 

ผู้นำทหารส่งเสียงอย่างน่ากลัว “ไปเรียกออกมา พวกเราจะตรวจสอบให้ดีก่อน ถ้าหากว่าเป็นจารชนจริง พวกเจ้าทั้งหมดนี้ล้วนต้องตายสถานเดียว!” 

 

 

เถ้าแก่ผวาจนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อซึมออกมา ทันทีที่ลูกน้องเห็น ก็วิ่งไปที่หลังเรือนอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รอให้เขาสั่ง แล้วเรียกพวกหวงฝู่อี้เซวียนมา 

 

 

เอาของทุกอย่างวางไว้ใต้เตียงแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ประคองหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้านหน้า ส่วนหลินหันเยียนและหวงฝู่เฮ่าก็คล้องแขนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง เดินกันมาอย่างช้าๆ 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินพลางไอพลาง เสียงไอที่แทบอยากจะเอาอวัยวะภายในออกมาทั้งหมดก็ส่งเสียงดังท่ามกลางค่ำคืนที่แสนสงัดเงียบนี้ เสียงนั้นน่าหวาดผวาจนทำให้ใจของทหารที่มาตรวจสอบต้องพรั่นพรึง และอดไม่ได้ที่จะยกชายเสื้อขึ้นมาป้องปากและจมูกของตัวเอง 

 

 

“นี่เขาป่วยเป็นอะไร” ผู้นำทหารถอยหลังไปอย่างอดไม่ได้ ถามเถ้าแก่ด้วยเสียงอุดอู้ 

 

 

เถ้าแก่รีบตอบ “ขอเรียนโดยไม่ปิดบังท่านทหารขอรับ อาการป่วยของชายชรานี้แปลกประหลาดอย่างมาก แม้แต่หมอของพวกเราล้วน…” 

 

 

คำพูดของเขายังไม่จบ ทั้งหกคนก็มาถึงโถงใหญ่ และเดินผ่านตรงหน้าของทั้งสามคน ผู้นำทหารเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ไอไม่หยุด ก็ส่องไฟมองดู เขาไม่เพียงแต่มีใบหน้าที่ขาวซีด ขอบปากยังมีอะไรสีขาวแปลกๆ ไหลออกมาไม่หยุดพร้อมกับการไอ 

 

 

“เจ้า ยืนอยู่ตรงนั้น!” ผู้นำทหารถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ยื่นมือชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แล้วพูดสั่งเขา 

 

 

ทันทีที่หลินหันเยียนหยุดฝีเท้า ทุกคนที่เหลือก็หยุดเช่นกัน 

 

 

เสียงไอของชายชราก็หยุดลงชั่วคราว ราวกับเพราะความตื่นตระหนก ทว่า ของสีขาวมุมปากที่ไหลออกมากลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น 

 

 

อย่าว่าแต่พวกทหารเลย เถ้าแก่และเหล่าลูกน้องที่ดูแลคนป่วยมากมายหลายปีก็รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างมาก 

 

 

แต่หวงฝู่อี้เซวียนคล้ายกับว่าไม่รู้สึก อ้าปากเล็กน้อยเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา 

 

 

“เจ้าหุบปาก!” ผู้นำทหารตกใจร้องเสียงดัง ท่าทางนั้นราวกับว่า หวงฝู่อี้เซวียนเป็นโรคระบาดอะไรที่จะแพร่ใส่เขาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ปากหวงฝู่อี้เซวียนหุบลง 

 

 

“เจ้า เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้า” ผู้นำทหารชี้สี่คนตามอำเภอใจ แล้วกล่าวสั่งพวกเขา “พวกเจ้าทั้งสี่คนเดินมาให้พวกข้าตรวจสอบ” 

 

 

ทั้งสี่คนไม่กล้าขัดคำสั่ง หลังจากมองตากันและกันแล้ว ก็ป้องจมูกและปากเดินไปอย่างระมัดระวังและหวาดกลัว จนมาถึงตรงหน้าของพวกเขา 

 

 

คำสั่งที่พวกเขาได้รับก็คือให้ระวังวิชาปลอมตัวของจารชน จึงย่อมต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดและละเอียดเมื่อพบเจอคนที่น่าสงสัย ที่สำคัญก็คือต้องเช็ดบนใบหน้า เพื่อดูว่าพวกเขาได้ปลอมใบหน้าหรือไม่ 

 

 

ทหารคนหนึ่งในนั้นยื่นมือออกมา ขณะที่ตามองเห็นว่ากำลังจะถึงใบหน้าเล็กๆ ของหวงฝู่เฮ่าแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนราวกับอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ไออย่างแรงขึ้นมา ของสีขาวก็พ่นทะลักออกมาจากปาก ไม่เพียงแต่พ่นเข้าที่กายของหวงฝู่เฮ่า และยังพ่นโดนแขนของทหารคนนั้นด้วย