แต่ละคนออกจากประตู แล้วขี่ม้าออกไปไกล เถ้าแก่ก็ละสายตา และส่ายหน้า ดูเหมือนว่าตัวเองจะอายุมากแล้ว หูเริ่มจะไม่ดีเสียแล้ว แม้แต่เสียงฝีเท้าที่ขึ้นไปด้านบนของเด็กน้อยก็ไม่ได้ยิน ทำให้ตัวเองตกใจจนเกือบจะหัวใจวายตาย 

 

 

พอถึงมุมเลี้ยว ก็รับหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นมา แล้วทุกคนก็มุ่งหน้าไปในทิศทางตรงข้ามกับจวนองค์ชายใหญ่ 

 

 

องค์ชายใหญ่กำหนดแผนการเดินทัพออกศึกไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนนั้น ทำให้มีประชาชนออกจากบ้านมาที่ถนนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อส่งเหล่าทหาร แต่รอจนเกือบจะสองชั่วยาม ก็ถูกผู้ส่งสารจากรัฐขี่ม้ามาบอกว่า วันนี้ไม่เดินทัพแล้ว อีกทั้งประตูเมืองทั้งสี่ด้านก็ล้วนปิดหมด ไม่อนุญาตให้เข้าออก 

 

 

ใจที่เร่าร้อนของพวกประชาชนดับมอดลงทันที ตามมาด้วยความรู้สึกไม่พอใจกับองค์ชายใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าไม่สามารถเข้าออกเมืองได้ตามอำเภอใจ ในใจก็พากันพะว้าพะวง ขณะเดียวกันก็เกิดอคติต่อองค์ชายใหญ่ เพราะแม้แต่เรื่องเดินทัพก็เปลี่ยนอย่างตามใจชอบ ดูเหมือนว่าประชาชนรัฐอิงเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขาแม้แต่น้อยเลย 

 

 

ทุกคนทยอยกันกลับบ้าน พลางพูดวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจและหวาดระแวง บนถนนใหญ่มีคนทำการค้าขายน้อยมาก คนเดินผ่านไปเดินมาก็ยิ่งน้อยลงจนเกือบจะไม่มีใครเลย ถึงขนาดที่ถนนสะอาดหมดจด และได้ยินแต่เพียงเสียงย่ำเท้าของม้าห้าตัวเท่านั้น 

 

 

ได้ยินเพียงแค่เสียงนี้ดังเข้าหู เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้ว สังเกตว่าบนถนนที่ว่างเปล่าและกว้างขวาง มีแค่เสียงฝีเท้าของม้าที่รีบร้อน จึงชัดเจนว่านี่จะเป็นการเรียกให้พวกทหารที่กำลังค้นหาพวกเขาจากทุกแห่งหนในเมืองมาหาแล้ว และคนพวกนี้ก็คือคนที่ต้องการตามตัว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งม้ามาข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ส่งสัญญาณให้เขาหยุด 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนดึงม้า มองมาทางนาง 

 

 

“พวกเราเดินกันแบบนี้ เป็นเป้าที่ชัดเจนเกินไป และจะถูกพบตัวได้ง่าย” เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใกล้เขาเล็กน้อย กดเสียงเบาลง แล้วถึงเอ่ยปากบอกกับเขา 

 

 

มองถนนที่กว้างขวางว่างเปล่า หวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าใจความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงพยักหน้า และลงจากม้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้าด้วย 

 

 

ทุกคนที่อยู่ด้านหลังก็ลงจากม้าตาม 

 

 

“ทิ้งม้าไปเถิด แล้วให้มันไปทางใดก็ได้ ส่วนพวกเราเดินหาโรงเตี๊ยมแทน” หวงฝู่อี้เซวียนตัดสินใจเด็ดขาด และสั่งกับทุกคนทันที 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหัวม้าออกไป ปล่อยบังเ**ยน แล้วตีหลังม้า ม้าก็เริ่มวิ่ง และมุ่งออกไปด้านหน้า 

 

 

แต่ละคนทำตามดังนั้น 

 

 

ไม่มีม้าแล้ว การเดินก็ทำให้ล่าช้าลง ทุกคนจึงเร่งก้าวฝีเท้าเร็วขึ้น 

 

 

ผ่านหน้าร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ด้านในไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว เถ้าแก่กับลูกน้องล้วนมองออกมาด้านนอกอย่างห่อเ**่ยว 

 

 

“พวกเจ้าไปคอยข้าอยู่ข้างหน้า ข้ากับคุณหนูหลินจะซื้อของประเดี๋ยวเดียวแล้วจะออกมา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนเสร็จ ก็เดินเข้าไปในร้าน หลินหันเยียนก็ตามด้านหลังไปทันที 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและคนอื่นไปรอข้างหน้า 

 

 

การค้าเข้ามาถึงที่แล้ว เถ้าแก่กับลูกน้องก็กระชุ่มกระชวยขึ้น เดินมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานทั้งใบหน้า “ฮูหยินทั้งสองท่านอยากซื้อเสื้อผ้าแบบไหนหรือขอรับ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจพวกเขา เดินไปดูเสื้อผ้าโดยตรง 

 

 

เถ้าแก่กับลูกน้องอึ้งอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน 

 

 

หลินหันเยียนยิ้มอธิบาย “พี่สะใภ้รองของข้าพูดไม่ได้ ขอพวกเจ้าทั้งคู่อย่าได้ถือสา” 

 

 

ที่แท้ก็เป็นคนใบ้นี่เอง เถ้าแก่กับลูกน้องเข้าใจ ก็ไม่ได้ไปสอบถามเมิ่งเชี่ยนโยวอีก แล้วซักถามหลินหันเยียนอย่างเป็นมิตร “เช่นนั้นพวกท่านอยากจะเลือกเสื้อผ้าแบบไหนหรือขอรับ” 

 

 

“ให้พี่สะใภ้รองของข้าเลือกเถิด เลือกเสร็จแล้ว พวกเราจะซื้อหลายชุดหน่อย อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องคิดราคาให้พวกเราถูกๆ นะ” หลินหันเยียนยิ้มพูด 

 

 

เมื่อคำว่า “หลายชุด” เข้าหู ใบหน้าของเถ้าแก่ก็ยิ่งยิ้มบานขึ้น และไม่พูดมากอีก มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเป็นมิตร จนแทบอยากจะให้นางซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดของร้านตัวเองออกไป แต่ก็จนปัญญา ตั้งแต่ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่ของรัฐอู่จะนำกองทัพใหญ่มาที่ชายแดน เพื่อเตรียมตัวตัวเริ่มสงคราม กิจการในร้านเสื้อผ้านี้ของเขาก็ตกต่ำลงหลายเท่า และขายไม่ออกสักตัวเป็นเวลานานแล้ว กว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่มาสักคน พวกเขาก็ไม่อยากจะทำให้การค้าครั้งนี้หลุดมือไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดูเสื้อผ้าทั้งหมดแล้ว ก็ชี้ที่เสื้อผ้าของชายแก่ หญิงชรา เสื้อผ้าของสาวใช้ที่หยาบๆ สองตัว กับเสื้อผ้าของเด็กชายและหญิงสาวอย่างละตัว แล้วทำมือไม้ให้เถ้าแก่ช่วยนางเอาลงมา 

 

 

ต้องการหกตัวทีเดียว ใบหน้าของเถ้าแก่ก็ยิ้มแย้มดั่งดอกไม้บาน เดินหัวเราะเข้าไปข้างหน้าด้วยตัวเองโดยที่ไม่ได้สั่งลูกน้อง พร้อมหยิบเสื้อหกตัวลงมาอย่างระมัดระวัง แล้ววางไว้บนโต๊ะคิดเงิน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้แก่หลินหันเยียน 

 

 

หลินหันเยียนสอบถามราคา 

 

 

เถ้าแก่คิดอยากจะทำการแลกเปลี่ยนนี้สำเร็จจริงๆ จึงไม่ได้เรียกราคาสูง และบอกราคาที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 

 

 

หลินหันเยียนก็จ่ายเงินอย่างรวดเร็ว หลังจากให้เถ้าแก่ห่อเสื้อผ้าแล้ว ทั้งสองคนก็เดินออกจากร้านเสื้อผ้า 

 

 

เมื่อรวมตัวครบหกคน ก็เดินหน้าต่อไป ขณะที่เดินเมิ่งเชี่ยนโยวก็พลางมองซ้ายมองขวา 

 

 

“ยังต้องซื้ออะไรอีกหรือ พวกเราจะช่วยเจ้าดู” หวงฝู่อี้เซวียนถาม 

 

 

“ของที่สำหรับแต่งหน้ากับสีผสมสักหน่อยน่ะ” 

 

 

ร้านเครื่องสำอางหาพบได้ง่าย ภายในหวงเฉิงนั้น เดินไปไม่นานก็พบร้านหนึ่ง ทว่า สีผสมกลับลำบากแล้ว เพราะมีเพียงแค่ร้านย้อมผ้าเท่านั้นถึงจะมีสิ่งนี้ แต่พวกเขาเดินผ่านไปนาน ก็หาไม่เจอ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงตรงนี้ จึงยอมแพ้ และพูด “พวกเราไปซื้อของบางอย่างที่ร้านเครื่องสำอางกันก่อนเถิด” 

 

 

เดินมาถึงร้านเครื่องสำอาง ก็เข้าไปกับหลินหันเยียนเช่นเดิม หวงฝู่อี้เซวียนกับทุกคนรออยู่ด้านนอกไม่ไกลออกไป 

 

 

คนที่สามารถซื้อเครื่องสำอางชั้นดีได้ล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์และร่ำรวย การสงครามไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อพวกนาง ดังนั้นกิจการร้านเหล่านี้จึงยังพอถูไถได้ 

 

 

หลังจากทั้งสองคนเดินเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลือกเครื่องสำอางชั้นดีบางส่วนที่ใช้ได้อย่างเงียบๆ พร้อมถือโอกาสซื้อกระจกทองแดงบานหนึ่งด้วย จากนั้นก็เป็นหลินหันเยียนที่ไปคิดเงินเช่นเคย เมื่อเดินออกจากประตู มาถึงตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน ก็พูด “หาที่ลับตาคน พวกเราจะแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน” 

 

 

เมื่อคืนองค์ชายใหญ่ได้เห็นใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกับหลินหันเยียนที่แต่งหน้าเสร็จแล้ว ตอนนี้จึงย่อมต้องแต่งเป็นแบบอื่น 

 

 

ทุกคนหามุมลับตาคนแล้ว หลินหันเยียนกับเด็กสามคนก็แยกกันเฝ้ารอบทิศ ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวแต่งหน้าก่อน ผ่านไปไม่นาน ชายชราอายุห้าหกสิบ ผมขาวเล็กน้อย ปรากฏตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกระจกทองแดงมาวางไว้หน้าเขา ให้เขาเห็นสภาพตัวเองตอนนี้อย่างชัดเจน แล้วพูดหัวเราะหยอกล้อ “ท่านปู่ ตอนนี้ท่านอายุเท่าไรแล้วเจ้าคะ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะ แล้วลูบหัวนาง จากนั้นก็หยิบกระจกทองแดงวางไว้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางดูกระจกเพื่อแต่งหน้าตัวเองให้เรียบร้อย 

 

 

จากนั้นก็แยกกันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยตะโกนเรียกทีละคนเข้าไปแต่งหน้า และสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจัดบทบาทให้แต่ละคนแล้ว 

 

 

นางกับหวงฝู่อี้เซวียนเป็นสามีภรรยาวัยชรา เนื่องจากตัวสามีป่วยไข้ ลูกสาวมีความกตัญญู จึงพาไปดูอาการป่วยตามร้านยาที่ชื่อดังภายในเมืองพร้อมกับลูกน้อย ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นสาวใช้ของบ้านพวกเขาคู่กัน 

 

 

ทุกอย่างจัดการเสร็จสรรพแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอากล่องที่ใส่ผงสีส่งให้แก่หวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าเอาอันนี้วางไว้ใต้รักแร้ อีกประเดี๋ยวพวกเราไปถึงร้านยาแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น สนใจแต่เพียงไอก็พอ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรับมา หันหลังเข้าหาทุกคน แล้วใส่ไว้ใต้รักแร้ 

 

 

ทั้งหกคนเดินหน้าไปอยู่นาน กระทั่งเห็นร้านยาร้านหนึ่ง 

 

 

หลินหันเยียนกับหวงฝู่เฮ่าคล้องแขนเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อช่วยประคองเดินข้าไป 

 

 

ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ประคองหวงฝู่อี้เซวียนตามอยู่ด้านหลัง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไอหนักมาก ทันทีที่เขาเข้าไป คนป่วยที่ต่อคิวรอดูอาการอยู่ในร้านยาก็อดไม่ได้ที่จะเอามือป้องปากและจมูกตัวเอง แล้วก็พากันขยับตัวถอยออกไป เปิดเป็นที่ว่างให้แก่พวกเขา 

 

 

หลินหันเยียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดอ้อนวอนกับหมอด้วยใบหน้าดำคร่ำเครียด “ท่านหมอ ท่านช่วยดูท่านพ่อของข้าสักหน่อยเจ้าค่ะ เขาได้มีอาการแบบนี้มานานหลายวันแล้ว พวกเราไปร้านยาหลายที่ก็ไม่เป็นผลเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

หมอส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง เอื้อมมือออกมา ตรวจชีพจร เมื่อมือสัมผัสโดนเส้นชีพจรของเขา คิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากัน เวลาล่วงเลยไป คิ้วก็ขมวดปรากฏเป็นรอยลึกยิ่งขึ้นอีก 

 

 

คนป่วยภายในร้านยาล้วนมองมาทางด้านนี้ เห็นท่าทางของหมอแล้ว ในใจก็เดาได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนน่าจะป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถรักษาหายได้ เท้าก็ค่อยๆ ถอยหลังไปหลายก้าวเบาๆ อย่างไม่เป็นที่สังเกต กลัวว่าแต่เพียงว่าเขาจะแพร่เชื้อใส่ตัวเอง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไออย่างหนักหลายครั้ง 

 

 

หมอปล่อยมือของเขาออก คิ้วขมวดไม่คลาย พอมองไปทางเถ้าแก่แล้ว คำพูดที่อยากพูดก็หยุดลง 

 

 

เถ้าแก่สังเกตสถานการณ์ด้านนี้ตลอดเช่นกัน เมื่อเห็นท่าทางของหมอก็รู้ว่าพบโรคที่น่าสงสัยที่รักษายากแล้ว และไม่รู้ว่าจะสั่งยาอย่างไร ทว่า เนื่องจากยังมีคนไข้อยู่ที่นี่หลายคน จึงไม่กล้าพูดออกมา 

 

 

หลินหันเยียนเห็นท่าทางของหมออย่างชัดเจน จึงถามเสียงเบา ตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้ “ท่านหมอ ท่านวินิจฉัยอาการของพ่อข้าไม่ออกหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อ “ข้าได้ยินคนอื่นบอกว่าหมอร้านนี้มีความเชี่ยวชาญและมีความสามารถแกร่งกล้า ถึงได้มาหาเจ้าค่ะ” 

 

 

จะทำการค้าขาย ก็ต้องอาศัยชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ใช่คนของหวงเฉิงของแม่หญิงน้อย ก็คิดว่าชื่อเสียงของร้านตัวเองดังออกไปไกลแล้ว ถ้าหากว่ารักษาคนชรานี้ไม่ดี ก็จะไม่เป็นการพังทลายชื่อเสียงตัวเองหรอกหรือ 

 

 

เถ้าแก่จึงเดินมาจากโต๊ะรับแขก แล้วส่งสายตาให้หมออย่างเงียบๆ และยิ้มพูดกับหลินหันเยียน “แม่นาง ท่านวางใจเถิดขอรับ ด้านนอกบอกเล่ากันไม่ผิดหรอก ร้านยาของเราล้วนเชิญแต่หมอที่มีวิชาสูงกล้าอย่างยิ่ง พวกเราสามารถรักษาอาการนี้ของพ่อท่านหายอย่างแน่นอนขอรับ เพียงแต่ค่ารักษากับค่ายาอาจจะต้องจ่ายมากสักหน่อย ท่านหมอกังวลว่าพวกท่านจะจ่ายไม่ไหวขอรับ” 

 

 

หลินหันเยียนได้ยินดังนั้น ก็เผยหน้ายินดีถามให้แน่ใจอย่างไม่อยากเชื่อ “ที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือเจ้าคะ อาการป่วยของพ่อข้า พวกท่านสามารถรักษาให้หายได้หรือเจ้าคะ” พูดจบ ก็เสริมอีกประโยค “ท่านวางใจเจ้าค่ะ ค่ารักษากับค่ายามิใช่ปัญหา พวกเรารับไหวเจ้าค่ะ” 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้วขอรับ พวกท่านเอายากลับไปก่อนส่วนหนึ่ง…” 

 

 

คำพูดของเถ้าแก่ยังไม่จบ หวงฝู่อี้เซวียนกลับไออย่างหนักขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเสียงไอที่หัวใจและปอดแทบจะแตกร้าวนั่น ทำให้คนสงสัยว่าเครื่องในของเขาจะถูกไอออกมาพร้อมกันแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วมาข้างกายหวงฝู่อี้เซวียนด้วยร่างกายที่สั่นเทา จากนั้นก็เอื้อมมือทุบหลังเขาเบาๆ เพื่อช่วยให้เขาผ่อนคลายลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน 

 

 

ใบหน้าของเถ้าแก่เริ่มดำบึ้งแล้ว เขาอยากให้หมอจ่ายยาเพื่อไล่พวกเขาออกไปก่อน แต่คิดไม่ถึงว่า แม้แต่ลมหายใจเวลาไอของชายชราคนนี้ ก็ไม่สม่ำเสมอแล้ว 

 

 

หลินหันเยียนส่งเสียงอ้อนวอน “เถ้าแก่เจ้าคะ ร่างกายของพ่อข้าไม่สะดวกที่จะต้องวุ่นวายกับการต้องไปๆ กลับๆ ท่านลองดูสักหน่อยว่าจะสามารถให้พวกเราอาศัยอยู่ในร้านยาได้หรือไม่ รอจนกระทั่งร่างกายพ่อข้าดีขึ้นบ้างแล้ว ก็จะไป ท่านวางใจนะเจ้าคะ เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น จะจ่ายให้ท่านโดยไม่ขาดแน่นอนเจ้าค่ะ”