ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 30 กอบกู้และซาบซึ้ง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“ข้าต้องการให้การบูชาโลหิตในโลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้สิ้นซากไป การเข่นฆ่าครั้งใหญ่สูญหายไปจากผืนดินนี้ ผู้ที่กล้าก่อการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ จะต้องถูกทำลายจนสิ้น บางทีข้าอาจจะยังจัดการมารร้ายตัวฉกาจที่ไร้เทียมทานมิได้ แต่เมื่อมีทางเส้นนี้ ข้าก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถจัดการกับพวกเขาได้ก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอาจารย์ยิ้มๆ

ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูรอยยิ้มของศิษย์ ทันใดนั้นก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างกันขึ้นมาทันที

สำหรับผู้บำเพ็ญส่วนมากแล้ว เขาสนใจ ‘การทำตนเองให้ดี’ เสียมากกว่า เนื่องจากมีแต่มีชีวิตรอดเท่านั้น จึงจะมีหวังไต่ขึ้นสู่ยอดแห่งมหาวิถีได้

แล้วศิษย์ของตนเล่า

กลับมีจิตแห่งวิถีคมปลาบดุจมีด แม้ข้างหน้าจะไร้ทางเดิน เขาก็ฟันฝ่าหาทางเส้นใหม่ขึ้นมา! เขายอมบุกเบิกเส้นทางเส้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน! บางทีความเพียรพยายามเช่นนี้ จิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ สภาพจิตใจเช่นนี้…อาจจะเป็นสาเหตุที่ศิษย์ของตนมีพลังก้าวหน้าเช่นนี้ก็ได้กระมัง

“หากอยากจะจัดการกับมารร้ายที่ไร้เทียมทานเหล่านั้น เกรงว่าคงจะต้องกระโดดออกจากกรงขังจึงจะใช้ได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว

“อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถกระโดดออกไปก็เป็นได้ ผู้บำเพ็ญอย่างพวกเรา ผู้ใดไม่ใฝ่ฝันอยากกระโดดออกจากกรงขังนี้บ้างเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ท่านอาจารย์ขอรับ ศิษย์ขอตัวก่อน”

เขายังต้องรีบกลับไปหลอมอาวุธอีก

เรื่องการหลอมอาวุธคละถิ่นมิอาจชักช้าได้

******

วันนั้น

กลางห้องลับใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในจวนจ้าวแห่งเมืองหิมะเหิน

“โครมมม…” ประตูห้องลับพลันปิดลง ด้านบนมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนลอยคว้างอยู่ ทั้งเมืองหิมะเหินถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเสริมสร้างเสียจนแข็งแกร่ง ช่วงการหลอมอาวุธคละถิ่นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดและต้องระมัดระวังที่สุดด้วย

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งภายในห้องเงียบ เขาโบกมือคราหนึ่ง ธูปดอกหนึ่งถูกจุดขึ้น กลิ่นหอมแผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ

ต้องสงบจิตเสียก่อน

ภายในห้วงสมองมีกระบวนการหลอมอาวุธเทพอลวนซึ่งแนบมากับเจ็ดกระบวนคละถิ่นผุดขึ้นมา ด้วยระดับขั้นของเขาในตอนนี้ กระบวนการหลอมก็ไม่นับว่ายากสักเท่าใดนัก เพียงแต่ละเอียดยิบย่อยมาก เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ ก็ได้คำนึงถึงว่าจะมอบให้แก่ชนรุ่นหลัง ว่าจะให้ชนรุ่นหลังสามารถหลอมอาวุธคละถิ่นขึ้นมาได้ เขาจึงตั้งใจแบ่งกระบวนการหลอมออกเป็นขั้นตอนต่างๆ กว่าหมื่นขั้น แต่ละขั้นตอนก็ง่ายดายขึ้นไม่น้อย

“คาดว่าใช้เวลาสักหมื่นล้านปีก็สามารถหลอมสำเร็จได้แล้ว แม้กระบวนการหลอมจะซับซ้อน แต่กลับไม่นับว่ายากนัก แค่ต้องเตรียมร่างแยกร่างหนึ่งแล้วหลอมอย่างสุดกำลังก็เป็นอันใช้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

แม้เขาจะสามารถทำให้ร่างแยกทั้งเก้ารักษาพลังที่แทบจะสมบูรณ์แบบเอาไว้ได้

แต่การหลอมอาวุธนั้นมิอาจรีบร้อนได้ ต้องค่อยๆ ทำไปทีละขั้น ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็เพียงพอแล้ว

“ฟิ้ว”

วัสดุทั้งหมดเตรียมเอาไว้อย่างเพียงพอแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ก็มีวัสดุสิบหกชนิดปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ในจำนวนนั้นมีเชื้อเพลิงชนิดพิเศษ มีของเหลว และมีดอกไม้…วัสดุต่างๆ ทั้งของเหลว ดอกไม้และผงต่างๆ หลอมรวมเข้าไปในเชื้อเพลิงอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ละขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนแต่สำแดงความเร้นลับของค่ายกลชนิดต่างๆ ออกมา เหนี่ยวนำพลังคละถิ่นหลอมรวมเข้าไปในนั้น ทำให้เปลวเพลิงที่ปะทุออกจากเชื้อเพลิงมีอานุภาพแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นบรรลุถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อในท้ายที่สุด นี่เป็นเพียง ‘เพลิง’ ใสตอนแรกสุดเท่านั้น การจะหลอมรวมเม็ดทรายอลวนนั้นไม่ง่ายเลย

……

บรรดามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนจิตโลกาล้วนกำลังรอคอย รอคอยวันที่ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าจะเปิดเผยออกมา

พวกเขากลับไม่รู้ว่า…

‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้กลับกำลังหลอมอาวุธคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นอยู่

เวลาล่วงเลยไป

ขณะเดียวกัน ทุกครั้งที่ในดินแดนจิตโลกามีเรื่องการเข่นฆ่าหรือหายนะครั้งใหญ่เกิดขึ้น เขาก็จะปรากฏกายและลงมือโดยอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า!

แม้จะกล่าวว่าเขาลั่นวาจาอย่างเปิดเผยไปก่อนหน้านี้แล้วว่า คนของตระกูลใหญ่แห่งหกรัฐโบราณก็จะต้องถูกพันธนาการด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรดินแดนจิตโลกาก็ใหญ่โตเกินไปแล้ว! ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งก็จะมีมารร้ายสักตนหนึ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา! เพราะถึงอย่างไรการบำเพ็ญตลอดคืนวันอันยาวนาน ก็นับว่ามีผู้เดินไปตามเส้นทางแห่งมารร้ายมากมายนัก เนื่องจาก ‘เส้นทางแห่งมารร้าย’ นั้นต้องแก่งแย่งชิงดีกัน สามารถแย่งชิงทรัพยากรมาได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีเคล็ดวิชาใช้วิญญาณของผู้อื่นฝึกฝนวิชาด้วย วิธีแย่งชิงเหล่านี้ ยิ่งร้ายกาจเท่าใด กลับยิ่งรวดเร็วขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นในฐานะที่เป็นโลกกำเนิดที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา มารร้ายก็ย่อมมีมากมายนับไม่ถ้วน มีคนมากมายยิ่งนักที่ไม่มีเบื้องหลัง มารร้ายที่ไม่มีเบื้องหลังและมีพลังอ่อนแอ ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ มาก่อน

ส่วนผู้ที่ไม่มีเบื้องหลัง หรือมีพลังอ่อนแอเหล่านั้น พลังทำลายล้างของพวกเขากลับไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย

……

“การตายเพื่อเจ้าลัทธิของเรา เป็นเกียรติของเจ้าและคนอื่นๆ” มารเฒ่าตนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางมองดูผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกจับมาไว้ตรงหน้า

ทันใดนั้น…

บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากความว่างเปล่า มองดูมารเฒ่าผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา “สร้างหายนะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจ ควรฆ่าทิ้งเสีย”

เมื่อมารเฒ่ามองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นก็รู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งหัวใจ แม้เขาจะไม่รู้จัก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แต่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายแล้วแผ่กำจายผ่านอากาศมานั้น ก็ทำให้มารเฒ่าหวาดหวั่นเหลือแสน เขาเข้าใจว่าแตกต่างกัปอีกฝ่ายมากมายยิ่งนัก มารเฒ่าไถลจากบัลลังก์ลงไปคุกเข่าทันที

เขาคุกเข่าวิงวอน “ไว้ชีวิตด้วยๆ ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะปรับปรุง ข้ายินดีอุทิศชีวิตให้ผู้อาวุโสขอรับ”

มารเฒ่าบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นทุกวันนี้ เขาเคยชินกับการก้มหัวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าเสียแล้ว

เมื่อเหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างมองเห็น มารเฒ่าที่อยู่สูงขึ้นไปผู้นั้นคุกเข่าลงอ้อนวอน ก็อดกังวลใจขึ้นมามิได้ กังวลว่าผู้แกร่งกล้าผู้นั้นจะไม่สังหารมารร้าย และไม่ช่วยเหลือพวกเขา

“อุทิศชีวิตให้ข้ารึ เจ้าคู่ควรหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา

ระลอกคลื่นมิติกดดันออกไป

ร่างกายของมารเฒ่ากระจัดกระจายไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ตงป๋อเสวี่ยอิงหันมองไปทางผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างแล้วโบกมือคราหนึ่ง “รอดชีวิตกันเถิด”

เขาอพยพพวกเขาออกไปนอกประตูเมืองใหญ่ทันที

……

เขาสังหารมารร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า และช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนครั้งแล้วครั้งเล่า

แม้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนจะเกลียดชังเขามาก แต่ก็มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซาบซึ้งใจต่อผู้อาวุโสท่านนี้เป็นอันมาก

“รอดชีวิตก็ดีแล้วๆ”

“ท่านปู่ เป็นคนชุดขาวผู้หนึ่งที่ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ขอรับ”

“อื้มๆ ท่านพ่อเจ้าก็จากไปแล้ว หากเจ้าก็ประสบเรื่องที่ไม่คาดคิดด้วย ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไรดี” ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งกอดเด็กน้อยเอาไว้พลางพูดพึมพำ ในใจรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้ช่วยชีวิตคนนั้นเป็นอันมาก

……

“พวกเรารอดแล้ว” มีสหายร่วมวิถีที่ยินดีจนน้ำตาร่วงหลังหายนะผ่านพ้นไป

……

“บุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ ข้าจะไม่มีทางลืมเลย” ผู้บำเพ็ญจำนวนมากพากันจดจำบุญคุณเอาไว้

……

ผู้ที่ซาบซึ้งใจต่อตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีมากมายเกินนับไหว

ในจำนวนนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งมีที่มาอันเร้นลับคนหนึ่ง

“องค์หญิง ท่านประมุขกล่าวไว้ก่อนแล้วว่า ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้อันตรายมาก ห้ามบุกเข้าไปมั่วซั่วเป็นอันขาด แต่ท่านก็ยังลอบออกมา ท่านดูเอาเถิด ท่านเพิ่งจะออกมาก็ประสบกับมารร้ายเสียแล้ว! ถ้าหาก ถ้าหากท่านสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของมารร้ายนั่นจริงๆ ท่านประมุขจะเศร้าโศกเสียใจเพียงใดขอรับ” คนชุดดำผู้หนึ่งพูดเสียงต่ำ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เด็กหญิงข้างๆ กลับแหงนหน้า ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าไกลออกไป “ข้ารู้ตัวแล้วว่าผิด รู้ตัวแล้วว่าผิด ท่านอาฉิว ผู้ที่ช่วยข้าเอาไว้ผู้นั้นเป็นใครกันน่ะ”

“ตามข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนจิตโลกาที่พวกเราทราบ คนชุดขาวผู้นั้นก็คือผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งซึ่งอาศัยพลังของตัวคนเดียวทำให้มารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่น มีนามว่าคนวิถีจิตฟ้า” คนชุดดำกล่าว “ครั้งนี้ติดค้างคนวิถีจิตฟ้ามากนัก มิฉะนั้น มิฉะนั้น…”

“คนวิถีจิตฟ้าหรือ” เด็กหญิงกลับนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา

“ไปกันเถิดขอรับๆ รีบกลับกันเถิด” คนชุดดำกล่าว

“คนวิถีจิตฟ้าอาศัยอยู่ที่ใดกัน ข้าอยากจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย” เด็กหญิงเอ่ย

“ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าเป็นปริศนา ข้าไหนเลยจะทราบว่าเขาอยู่ที่ใดขอรับ” คนชุดดำกล่าว

“พวกเจ้าตรวจสอบให้ข้าที ข้าจะไปหาเขา ข้าจะไปหาเขา” เด็กหญิงลั่นวาจา

“องค์หญิง ไม่มีทางตรวจสอบได้หรอกขอรับ! คนวิถีจิตฟ้ากระทำการเช่นนี้ เป็นการล่วงเกินมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหรอกขอรับ แล้วข้าจะหาพบได้อย่างไรกัน” คนชุดดำกล่าว เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ด้านข้างกลับมีแสงดาวรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวอันหรูหราผู้หนึ่ง

“ท่านประมุข” คนชุดดำผู้นี้รีบคารวะทันที

บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวมองดูบุตรสาวของตน แล้วก็เกิดความหวั่นกลัวขึ้นมา เขาเอ็ดตะโรว่า “เจ้านี่มันช่างดื้อดึงจริงๆ หนีออกมาเช่นนี้ แล้วกลัวข้าจะรู้เข้า แม้แต่วัตถุส่งสารจึงไม่เอามา อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเจ้าก็จะไม่มีชีวิตรอดแล้ว!”

“มิใช่ว่าข้าไม่เป็นอะไรหรอกหรือ” เด็กหญิงกลับก้มหน้าพูดเสียงอ่อน

“เฮอะ เจ้าชักจะบังอาจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เห็นทีคงจะต้องดูแลอย่างเข้มงวดเสียแล้ว” บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวคว้ามือเด็กหญิงเอาไว้ “ไป”

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าอยากจะพบคนวิถีจิตฟ้าเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตะโกน

บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวสะดุ้งเฮือกก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบทั่วดินแดนจิตโลกาเอง ทันทีที่รู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า ข้าจะพาเจ้าไปคารวะเขาเอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้”

เขาพูดพลางพาเงาร่างของบุตรสาวและผู้ใต้บังคับบัญชาด้านข้างอันตรธานไปพร้อมกัน

……

ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่ซาบซึ้งต่อคนวิถีจิตฟ้าก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งเบิกบานใจและพึงพอใจ วันคืนค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้เอง