ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 31 ความโกรธเกรี้ยวของบรรพชนราตรีนิรันดร์

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ภายในโถงตำหนักอันหรูหราแห่งหนึ่ง

 

ชายหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาผู้สวมอาภรณ์สีทองทั้งร่างและสวมอาภรณ์สีทองอันหรูหรางดงามนั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานอย่างสบายใจ ยังมีหญิงสาวรูปร่างอรชรในชุดแพรสีดำนั่งอยู่ช้างๆ คอยป้อนสุราให้ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา

 

ถัดลงมาด้านล่าง มีแขกนั่งขนาบอยู่ฝั่งละคน พวกเขาล้วนมีสาวงามคอยปรนนิบัติ

 

แขกผู้หนึ่งคือชายชราอาภรณ์ดำรูปร่างอ้วนเตี้ย เขาคือเจ้าเมืองแห่ง ‘เมืองอัคคีทิพย์’ ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้ายทั้งหลายทั่วดินแดนจิตโลกา ในฐานะผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดคนหนึ่ง เมืองอัคคีทิพย์ที่เขาปกครองก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้าย และด้วยเหตุที่พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ‘ประมุขวังอินทรีเหล็ก’ ด้วย

 

ทั้งดินแดนจิตโลกา นอกจากหกรัฐโบราณและราชันย์อนธการอมตะแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอีกสองท่าน

 

มิใช่ว่าผู้ที่ไร้ศัตรูทุกคนจะต้องสร้างรัฐโบราณขึ้นมา

 

ประมุขวังอินทรีเหล็กก็เป็นหนึ่งในนั้น เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมากที่สุดคนหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เขาไม่เผยแพร่ลัทธิ ไม่ปกครองขุมอำนาจใหญ่ หากแต่บำเพ็ญอยู่ภายในวังอินทรีเหล็กของเขาตลอดเวลา แต่เมื่อมีพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายเช่นนี้ บวกกับที่ตัวเจ้าเมืองอัคคีทิพย์เองก็เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดอยู่แล้ว ดังนั้น ‘เมืองอัคคีทิพย์’ จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้าย

 

ส่วนอีกคนหนึ่งคือสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนแมลงบินได้ บนร่างมีเกล็ดสีดำอยู่ ด้านหลังมีปีกใสกระจ่างอยู่ครู่หนึ่ง บนหน้าผากมีหนวดสองเส้น เขาก็คือบรรพชนแมลงผู้ลึกลับอย่างยิ่งนั่นเอง

 

“เฮ้อ นี่มันวันอะไรกัน มีแขกมาอีกแล้วรึ” ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอันหรูหราซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานยิ้มพลางพูดเสียงเบา

 

รัศมีรวมตัวกันขึ้นภายในโถงตำหนัก รวมตัวกันเป็นบุรุษเสื้อคลุมกันลมสีดำปักลวดลายสีทอง  ใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาก็คือหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแห่งรัฐโบราณบรรพชนผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ  ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ นั่นเอง

 

“ราตรีนิรันดร์ เจ้ามาแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอันหรูหรายิ้มพลางโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง ตรงหน้าสุดด้านล่างมีโต๊ะยาวพร้อมที่นั่งปรากฏขึ้นอีกชุด “มาๆๆ ข้ากำลังต้อนรับเจ้าเมืองอัคคีทิพย์และบรรพชนแมลงอยู่พอดี เจ้ามาได้บังเอิญจริงๆ มาชิมอาหารรสเลิศที่ข้าเตรียมเอาไว้เร็วเข้า”

 

บรรพชนราตรีนิรันดร์กวาดตามองแวบหนึ่ง

 

เจ้าเมืองอัคคีทิพย์เอย บรรพชนแมลงเอย

 

ก็แค่ขั้นสุดยอดสองคนเท่านั้น ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งเลย

 

“ราชันย์อนธการ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูดเสียงเรียบ “การเจรจาของเจ้าและข้าในตอนนั้น ต้องแก้ไขสักหน่อยแล้ว”

 

“แก้ไข มีอะไรต้องแก้ไขรึ” ราชันย์อนธการอมตะยังคงอิงแอบสาวงามข้างกาย แย้มยิ้มพลางมองลงไปด้านล่าง

 

“เจ้าต้องการวิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ สามดวง เดิมทีข้าใช้เวลามากหน่อยก็สามารถค่อยๆ บ่มเพาะวิญญาณแค้นเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่บัดนี้ คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นบ้าคลั่งเกินไปแล้ว หากในดินแดนจิตโลกาเกิดเรื่องการเข่นฆ่าตามอำเภอใจขึ้นมา เขาก็จะลงมือสังหารมารร้ายโดยไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำตามที่ราชันย์อนธการขอไว้ก็ยากเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์กล่าว “ข้ารู้สึกว่าวิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ ตนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว”

 

วิญญาณแค้น

 

หมายถึงวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้วิญญาณเกิดความเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่างขึ้นมา วิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นตัวแทนของตำนานชนิดหนึ่ง วิญญาณแค้นระดับนี้…มีความเคียดแค้นและความอาฆาตอันไร้รูปร่าง เพียงพอให้สังหารขั้นอลวนทั่วไปคนหนึ่งได้แล้ว

 

แต่นี่ก็คือขีดสุดแล้ว

 

ต่อให้เป็นวิญญาณแค้นที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็มิอาจเอาชนะเทพจักรวาลได้! ดังนั้น ‘วิญญาณแค้น’ จึงเป็นเพียงวิถีเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสายหนึ่งเท่านั้น

 

แต่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ต้องการ ตอนนั้นบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้เจรจาตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำของรัฐโบราณแห่งหนึ่ง จึงทำเรื่องพวกนี้ได้สะดวกกว่าราชันย์อนธการอมตะซึ่งจากดินแดนจิตโลกาไปนานแสนนานผู้นี้อยู่มากทีเดียว

 

“เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสองบรรพชนแห่งรัฐโบราณบรรพชน เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ทำมิได้หรือ” ราชันย์อนธการอมตะส่ายหน้า

 

“หากเจ้าเตรียมเรื่องพรรค์นี้อยู่ในรัฐโบราณของข้า คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นก็จะลงมือขัดขวางเช่นเดียวกัน” บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่ายหน้า “บ่มเพาะวิญญาณแค้นขั้นสุดยอด จะต้องใช้วิญญาณจำนวนมหาศาลจึงจะมีหวัง”

 

ราชันย์อนธการอมตะเหลือบมองลงไปยังบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่อยู่เบื้องล่างพลางหัวเราะเบาๆ

 

บรรพชนราตรีนิรันดร์สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

 

เขาสัมผัสได้ว่ารอบยิ้มของราชันย์อนธการอมตะแฝงแววเหยียดหยันเอาไว้

 

ด้วยความหยิ่งผยองของบรรพชนราตรีนิรันดร์ ในดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ ผู้ใดจะกล้าดูแคลนเขาเล่า

 

“ราตรีนิรันดร์ ข้ากับเจ้าเจรจาตกลงกันเอาไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ยังได้ตั้งสัตย์สาบานกันเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วด้วย ผลประโยชน์ที่ข้าควรจะมอบให้เจ้า ข้าก็มอบให้ไปส่วนหนึ่งแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาของราชันย์อนธการอมตะเยียบเย็นขึ้นมา นัยน์ตาแฝงแววหนาวเหน็บเอาไว้ “ทำไมรึ ตอนนี้เจ้าจะบอกว่าทำไม่ได้ จะแก้ไขสัญญาอย่างนั้นหรือ รู้สึกว่าข้าต่อรองด้วยง่ายนักหรือไร”

 

กลิ่นอายมรณะอันไร้รูปร่างแผ่กำจายลงมา แล้วปกคลุมทั่วทั้งโถงตำหนัก

 

บรรพชนแมลงและเจ้าเมืองอัคคีทิพย์ที่อยู่เบื้องล่างต่างก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย

 

ส่วนบรรพชนราตรีนิรันดร์ซึ่งถูกพุ่งเป้ามาโดยตรง ภายใต้การกดดันของกลิ่นอายมรณะอันน่าเกรงกลัว หัวใจของเขาก็ยิ่งบีบรัดแน่น เขาเกิดความรู้สึกครั่นคร้ามราวกับเผชิญหน้ากับมิติระดับสูงยิ่งกว่าอย่างไรอย่างนั้น

 

“ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ ใช้กำลังกดดันฝ่ายต่างๆ แล้วชิงโอกาสเหยียบขึ้นไปบนเส้นทางโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ เมื่อคืนวันอันยาวนานผ่านพ้นไป เขาก็กลับมาแล้ว ดูเหมือนจะล้มเหลวเสียแล้ว ทว่าก็รู้สึกว่าพลังของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว” บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบโกรธแค้น แต่ก็ต้องข่มเพลิงโทสะเอาไว้

 

นานแสนนานก่อนหน้านี้

 

พลังของราชันย์อนธการอมตะ บรรพชนราตรีนิรันดร์นั้นรู้จักดี ถึงตอนนั้น ก็เป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว เกรงว่าคงไม่ต่างจากจักรพรรดิเซี่ยในตอนนี้มากสักเท่าใดนัก

 

ส่วนตอนนี้น่ะหรือ

 

บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็เดาไม่ถูกแล้ว เขาเพียงแค่รู้สึกว่าวิธีการของราชันย์อนธการอมตะพิสดารกว่าตอนนั้นมากทีเดียว

 

“ราชันย์อนธการ ข้ากล้ารังแกผู้อื่น จะกล้ารังแกเจ้าได้อย่างไรกัน เพียงแต่เจ้าก็รู้ว่า คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นรับมือได้ยากนัก พลังมิได้นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก แต่จะสังหารเขานั้นยากมาก เขายังตั้งใจสร้างความเสียหายอยู่ตลอดด้วย จะเก็บรวบรวมวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดสามดวงให้ครบในเวลาที่กำหนดไว้ ยากนัก” บรรพชนราตรีนิรันดร์กล่าว

 

“ยากก็ไปทำเถอะ สัตย์สาบานเป็นสิ่งที่เจ้าเองก็ตกลงในตอนนั้น ก็ต้องทำต่อไปสิ หากเจ้าฝ่าฝืนสัตย์สาบาน ก็ได้ แค่คอยรับผลที่จะตามมาให้ดีๆ ก็พอแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางยิ้มเข็นชา

 

บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบงันอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “ได้”

 

จากนั้นเงาร่างของเขาก็หายวับไปทันที

 

“เฮอะๆ”

 

ราชันย์อนธการอมตะหัวเราะเสียงเยียบเย็น

 

บรรพชนแมลงและเจ้าเมืองอัคคีทิพย์กลับสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขามิได้เปล่งเสียงออกมา แม้พวกเขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเช่นกัน แต่เรื่องของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู พวกเขาก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว

 

……

 

“สมควรตาย!” บรรพชนราตรีนิรันดร์โกรธแค้นมากจริงๆ

 

นานเท่าไหร่แล้ว นานเท่าไหร่ที่มิมีผู้ใดกล้าเมินเฉยต่อเขาเช่นนี้!

 

แต่บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็เข้าใจว่าจักรพรรดิเซี่ยสามารถทำร้ายเขาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่ลึกล้ำเกินหยั่งมากกว่าผู้นั้น เป็นไปได้มากว่าพลังยังอาจแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซี่ยเสียอีก และนี่ก็คือเหตุผลที่บรรพชนราตรีนิรันดร์หวั่นเกรงเขาเป็นอย่างยิ่ง

 

แต่ทว่า…

 

วิธีการของบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลนั้นช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อทั้งสองร่วมมือกันก็กล้าห้ำหั่นกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสามของรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว! ดังนั้นหากจะฉีกหน้าจริงๆ เขาและนิจรัตติกาลร่วมมือกันก็มั่นใจพอจะรับมือราชันย์อนธการอมตะได้ เพียงแต่ตอนนั้นได้ตั้งสัตย์สาบานเอาไว้ ทั้งยังเป็นเขาที่เรียกร้องอีกด้วย! เขากลัวว่าราชันย์อนธการอมตะจะไม่รักษาสัญญา

 

แต่ตอนนี้ สัญญาได้ถูกตกลงเอาไว้แล้ว ราชันย์อนธการอมตะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข หากเขาฝ่าฝืนสัตย์สาบานก็จะส่งผลกระทบต่อจิตแห่งวิถีเป็นอย่างยิ่ง คิดจะกระโดดออกจากรงขังก็ยิ่งไม่มีหวังแล้ว

 

“รอก่อนเถิด” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูดเสียงเบา

 

“วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดหรือ ครั้งนี้ข้าจะลอบจับตามองด้วยตนเอง คนวิถีจิตฟ้ารึ เฮอะๆ กล้าสอดมือยุ่งเกี่ยว ข้าก็ต้องสืบเสาะตัวตนของเจ้าให้พบอย่างแน่นอน”

 

……

 

บรรพชนราตรีนิรันดร์เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

 

เขาเริ่มส่งเทพจักรวาลที่มีร่างแยกไปเก็บรวบรวมวิญญาณ โดยมิได้ทำการบ่มเพาะตามธรรมชาติในตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างโอหังเหมือนก่อนหน้านี้ แม้การทำเช่นนั้นจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ก็จะถูก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ขัดขวางได้ง่ายกว่าเช่นกัน ครั้งนี้เขาจะพยายามเก็บรวบรวมวิญญาณให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วค่อยๆ สำแดงวิธีการออกมา บางทีจำนวนวิญญาณที่ต้องการอาจจะมหาศาลกว่า แต่ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อระเบียบของทั้งดินแดนจิตโลกา ‘หยวน’ ผู้นั้นก็จะไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดีกันของมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนภายในกรงขัง

 

วิญญาณจำนวนมากถูกเก็บรวบรวมอย่างต่อเนื่อง

 

บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบตั้งใจจับตามองโดยเฉพาะ

 

เพียงพริบตาเดียวการเก็บรวบรวมนี้ก็ดำเนินไปถึงกว่าร้อยล้านปีอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากไม่อยากจะส่งผลกระทบต่อระเบียบต่างๆ และไม่อยากถูกคนวิถีจิตฟ้าพบเข้าด้วย

 

แม้บรรพชนราตรีนิรันดร์จะมีแผนการรับมือคนวิถีจิตฟ้า แต่หากไม่ถูกพบเข้าก็ย่อมดีกว่าแน่นอน

 

“สร้างหายนะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าและคนอื่นๆ สมควรตาย”

 

กลางท้องฟ้ายามราตรีเหนือตัวเมืองแห่งหนึ่งมีบุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ใบหน้าของเขาฉายแววโกรธขึ้ง เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน เมื่อโบกมือคราหนึ่ง รอยแยกมิติอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งก็ร่อนลงมาจากฟากฟ้า ทันใดนั้นก็โจมตีลงบนร่างของเทพจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปผู้หนึ่ง ก่อนจะทำให้ร่างของเขาแหลกสลายเป็นผุยผงไปในทันที! นี่เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลทั่วไปเท่านั้น ซึ่งบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้จงใจจัดเตรียมผู้ที่มีร่างแยกเอาไว้เป็นพิเศษอยู่แล้ว

 

ผู้ที่ไม่มีร่างแยก แม้แต่จวินอ๋องดำก็ยังสิ้นใจไปแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไม่อยากเสี่ยงอันตราย ตัวบรรพชนราตรีนิรันดร์เองก็ทำใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่สำคัญที่สุดทั้งหลายต้องเสี่ยงอันตรายด้วยไม่ได้เช่นกัน

 

“เอ๊ะ”

 

บนยอดเขาแห่งหนึ่งภายในเมืองอันใหญ่โตแห่งนี้  บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำประดับลวดลายสีทองกำลังมองไปทางบุรุษอาภรณ์ขาวไกลออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือรวดเร็วเกินไปแล้ว เมื่อร่อนลงไปก็มีท่าไม้ตายร่อนลงไปเป็นระยะไกลลิบ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีพได้! บรรพชนราตรีนิรันดร์มิทันได้ขัดขวาง ทว่าก็เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เสียแล้วก็เสียไปเถิด

 

“มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าจริงๆ ด้วย ข้าอุตส่าห์ระวังและหลบซ่อนมากแล้ว ไม่ไปหาเรื่องเจ้า เจ้ายังมาหาเรื่องข้าอีกรึ” โทสะของบรรพชนราตรีนิรันดร์พุ่งสูงเทียมฟ้าทันที