ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 32 กลั่นแกล้งบรรพชนราตรีนิรันดร์ (1)

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังใช้ร่างแยกร่างหนึ่งหลอมอาวุธเทพอลวนอยู่อย่างระมัดระวัง ร่างแยกร่างอื่นๆ ล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่ หมายจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด

แต่ระบบข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้ส่งสารมา เขาจึงส่งร่างแยกมาลงมือสังหารมารร้ายอย่างสบายๆ เท่านั้น

ก่อนจะสังหารมารร้าย แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะตรวจสอบทั่วทั้งตัวเมืองภายในชั่วความคิดเดียว แต่เขาก็ไม่พบบรรพชนราตรีนิรันดร์เลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมี ‘สมบัติลับอันสูงส่ง’ วิธีการบางอย่างของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก

“ช่วงชิงวิญญาณไปมากมายเพียงนี้เชียวหรือนี่” เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่ง แล้วปรากฏกายขึ้นภายในจวนอันผุพังหลังหนึ่ง เทพจักรวาลผู้นั้นกลายเป็นผุยผงไป แต่เขากลับทิ้งวัตถุบางอย่างเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้กระบวนท่าควบคุมเอาไว้อย่างประณีต เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อวัตถุภายนอกเหล่านี้ เขาหยิบขวดสีดำขวดหนึ่งขึ้นมา พลางตรวจดูวิญญาณจำนวนมากภายในขวด แความเหี้ยมเกรียมสายหนึ่งผุดขึ้นตรงหว่างคิ้วอย่างมิอาจควบคุม

“มารร้ายที่ถูกข้าสังหารไปเมื่อครู่เป็นคนของรัฐโบราณบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ก่อนที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยออกไป เขาก็ไม่กลัวบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลเลย

กลัวก็แต่ว่า ตัวตนจะถูกเปิดเผยออกไปเท่านั้น!

ดังนั้นเขาจึงพยายามเต็มที่ที่จะไม่ไปหาเรื่องพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล

“สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูผู้องอาจ ก่อนหน้านี้ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจวินอ๋องดำทำลายตัวเมืองสิบเก้าแห่ง บัดนี้ ‘น๋าฟูย่า’ เทพจักรวาลทั่วไปคนนี้ก็เก็บรวบรวมวิญญาณอย่างโหดเหี้ยมตามอำเภอใจเช่นนี้ น๋าฟูย่าก็เป็น เทพจักรวาลที่มีร่างแยก เมื่อครู่ที่ข้าทำลายไปก็เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของเขาเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นต่อมารร้ายเหล่านี้ “บรรพชนราตรีนิรันดร์ตามใจผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้เลยหรือ”

เขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก

“ไม่ดีแล้ว”

ในฐานะยอดฝีมือด้านวิถีอากาศ เขาจึงสามารถสัมผัสรับรู้และควบคุมอณูหมอกดำทรงกลมแต่ละอณูโดยรอบได้ ยามนี้เขาพลันสัมผัสได้ว่าพละกำลังระลอกหนึ่งกำลังโหมซัดเข้ามา

“บรรพชนราตรีนิรันดร์”

พละกำลังนี้คุ้นเคยเกินไปแล้ว

อาศัยการสัมผัสอากาศนี้ เขาก็ ‘พบ’ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำแล้ว

“ไป”

ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่ตะประมือด้วย เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกมาทันที

แคว่กกก…

รอยแยกสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมา

ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับถูกพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นโจมตี แต่เขากลับยังคงสาวเท้าก้าวเข้าไปในรอยแยกสีดำ จะเห็นได้ถึงความแตกต่างของ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ และศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ นั้นมั่นคงกว่า! ต่อให้อยู่ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่ง ก็ยังคงสามารถเปิดทางเชื่อมสายหนึ่งขึ้นมาได้อย่างพอถูไถ

เพราะถึงอย่างไรโดยแก่นแท้แล้ว ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาก็เป็นการเปิดทางเชื่อมสายหนึ่งในมิติชั้นสูงยิ่งกว่าที่น่าหวาดหวั่นขึ้นมา เพื่อเชื่อมต่อโลกกำเนิดสองแห่งอยู่แล้ว

หากไม่เสถียรพอ ไหนเลยจะสามารถต้านทานการกดดันโจมตีมิติชั้นสูงยิ่งกว่าได้

“ฟิ้ว!”

ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามควบคุมอากาศให้กดดันอย่างเต็มที่ แต่บริเวณหลายหมื่นลี้รอบจวนแห่งนี้ก็ยังคงพังทลายลงไปอยู่ดี

เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ซึ่งก็คือบรรพชนราตรีนิรันดร์ในชุดเสื้อคลุมกันลมสีดำซึ่งสะบัดพลิ้วไปตามลม สีหน้าของบรรพชนราตรีนิรันดร์ราวกับมีน้ำแข็งชั้นหนึ่งปกคลุมไว้ เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไปแล้วรึ รับสักกระบวนท่าหนึ่งของข้าก็หนีไปแล้วอย่างนั้นหรือ ร่างกายของเขาสามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายดายหรือนี่ ยอดฝีมือด้านวิถีอากาศ ต่อให้ค่อนข้างเชี่ยวชาญทางด้านการถ่ายแรงและการป้องกัน กายหยาบของเขาก็ไม่น่าแข็งแกร่งเช่นนี้จึงจะถูกต้อง!”

วิธีการต่างๆ เช่น ‘ศาสตร์การกลายเป็นอากาศธาตุ’ หรือ ‘การควบคุมอากาศ’  ทำให้ผู้แกร่งกล้าวิถีอากาศขั้นสุดยอดเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิตเป็นอย่างมาก

แต่กายหยาบน่ะหรือ โดยทั่วไปล้วนแต่ไม่แข็งแกร่งนัก

ก็มีเพียงจักรพรรดิเซี่ยเท่านั้นที่คิดค้นปุจฉวิถีคละถิ่นขึ้นมา แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผนวกเอาเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นซึ่งเป็นการใช้งานพลังคละถิ่นชนิดต่างๆ เข้าไป ทำให้ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองสมบูรณ์และยกระดับขึ้นได้บ้าง ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นเพียงพอจะเทียบได้กับผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่ฝึกกายแล้ว

……

ฟิ้วๆๆ…

กลางท้องฟ้าเหนือทะเลกาฬอเวจีอันกว้างใหญ่ไพศาล ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นที่นี่ สีหน้าของเขาซีดขาวอยู่บ้าง ปากมีรอยโลหิตอยู่

แม้วิถีอากาศจะขัดขวางและทำให้อ่อนกำลังลงไปมากแล้ว อีกทั้งกายหยาบของตนก็แข็งแกร่ง แต่การโจมตีครั้งหนึ่งของผู้ที่มีระดับอันสูงส่งนั้น…ก็ยังทำให้โลหิตในกายของตนเดือดพล่านอยู่ดี เพียงแต่มิได้สูญเสียพลังชีวิตไป เคราะห์ดีที่เขาพกสมบัติลับระดับยอดสุด ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ไปด้วย หากไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ เกรงว่าตนก็คงต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยการลอบโจมตีนั่นแล้ว

“อาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ข้าก็มีคุณสมบัติพอจะเอาชีวิตรอดได้แล้ว หากฝึกฝนอาวุธเทพอลวนได้สำเร็จ ไหนเลยจะเกรงกลัวบรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นั้นกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก

เขารับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง และหลอมรวมเอาความเร้นลับชนิดต่างๆ ของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเข้าไปในกาย และทำให้เคล็ดวิชาฝึกกายสมบูรณ์ แล้วขัดเกลาเอายุทธวิธีหิมะเหินที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดขึ้นมา! และเมื่อมีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศคอยส่งเสริม พลังของเขาก็ไม่แพ้มหาเคารพฝูอี่แล้ว

เมื่ออาวุธเทพอลวนมาอยู่ในมือ…พลังจะต้องแข็งแกร่งกว่ามหาเคารพฝูอี่อยู่ขุมหนึ่งอย่างแน่นอน

กลัวว่าน่าจะเป็นจอมเคารพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งดินแดนจิตโลกา!

“บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องดูที่นั่นอยู่ไกลๆ ผ่านการส่งถ่ายทลายโลกา

******

แม้ทั้งสองฝ่ายจะประมือกันเพียงกระบวนท่าเดียว

หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่ลอบโจมตี ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นฝ่ายป้องกัน ขัดขวางและหลบหนีไป! แต่เนื่องจากบรรพชนราตรีนิรันดร์แค้นเคืองถึงขั้นสุด ที่ธุระในตัวเมืองทั้งสิบเก้าเมื่อครั้งก่อนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายเสียแล้ว! จวินอ๋องดำก็ถูกสังหารไปด้วย! เขาอยู่ที่นั่นกับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ยังข่มโทสะเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้เก็บรวบรวมวิญญาณจำนวนมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาอีก แล้วบรรพชนราตรีนิรันดร์จะไม่โมโหได้อย่างไรกันเล่า

การลอบโจมตีนี้ ย่อมต้องพยายามแอบซ่อนท่าไม้ตายสุดกำลังเป็นธรรมดา!

อานุภาพของท่าไม้ตายระดับนี้ ผู้แกร่งกล้าจำนวนไม่น้อยทั่วดินแดนจิตโลกา ทั้งสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูและขั้นสุดยอดล้วนแต่สัมผัสได้

พวกเขาแต่ละคนพากันจับตามองมาทางนี้

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”

“ระลอกคลื่นของระดับขั้นอันสูงส่งหรือ”

แต่ละคนพากันเฝ้าดู

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เฝ้าดูเช่นกัน คิดจะดูว่าที่แท้แล้วบรรพชนราตรีนิรันดร์จะทำอะไร เพียงครู่เดียวเขาก็ ‘มองเห็น’ ซากปรักหักพังขอบเขตหลายหมื่นลี้ กลางท้องฟ้าเหนือซากปรักหักพังนั้น มีบรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่

“สมควรตาย” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพบซากปรักหักพังเหล่านั้นเข้า คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นี้เห็นเหล่าผู้บำเพ็ญระดับล่างเป็นมดปลวกจริงๆ จะสำแดงกระบวนท่าก็ไม่รู้จักควบคุมขอบเขตเลย

บรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่กลางอากาศ

สายตาเยียบเย็น ไม่แยแสรอบด้าน เขาพูดเสียงดังกังวานว่า “คนวิถีจิตฟ้า ข้ารู้ว่าเจ้าลอบซ่อนตัวอยู่”

มุมปากของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยยิ้มเย็นเยียบผุดขึ้นมา

“เจ้าทำลายธุระของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจริงๆ หรือว่าตัวเจ้าเองจะไม่เผยร่างจริงออกมาได้ตลอดกาลน่ะ” แววเหี้ยมเกรียมในสายตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์เข้มข้นขึ้น “เจ้ามิได้จะทำลายธุระของข้าอีกหรือไร เฮอะๆ ข้าลงมือทำด้วยตนเอง ดูสิว่าเจ้าจะขัดขวางอย่างไรได้”

แม้จะใช้การส่งถ่ายทลายโลกาสอดส่องดู มิอาจได้ยินเสียง แต่กลับสามารถวิเคราะห์ผ่านระลอกมิติและการขยับปากได้ว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์พูดอะไรออกมา

“ไปทำด้วยตนเองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี

เขาสามารถสังหารมารร้ายธรรมดาสามัญได้

แต่จะสังหารบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้อย่างไรกันเล่า จะสังหารสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูสักคนนั้นยากเกินไปแล้ว! ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายอย่าง ‘วังเทพจิตโลกา’ จักรพรรดิเซี่ยจะไล่สังหารบรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยังสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดายเลย

อยู่ในดินแดนจิตโลกาที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีค่ายกลสกัดกั้น สามารถหนีไปได้ทุกหนแห่ง

ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทั่วไป ก็สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้อย่างง่ายดาย! บรรพชนราตรีนิรันดร์…อยู่ในดินแดนจิตโลกา จะไปไหนก็ไปได้ทั้งนั้น

ต่อให้ไม่หนีไป แล้วห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ก็เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่เป็นฝ่ายกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี!

……

“ราตรีนิรันดร์ ช่างไม่รักษาหน้าตนเองเลยจริงๆ” จักรพรรดิเซี่ยส่ายหน้าเบาๆ

“ไร้ยางอาย” จักรพรรดิชางมองดูฉากนี้แล้วก็พูดเสียงเย็นชาขึ้นมา

สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุทั้งสามมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสองบรรพชนแห่งรัฐโบราณบรรพชนมาโดยตลอด

“เอ๊ะ”

เจ้าเมืองอนันต์กลับเกาะราวระเบียงพลางทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ที่สิ้นสุด เขามองไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วพลันเอ่ยปากขึ้น เสียงนั้นถูกส่งไปยังอีกฟากหนึ่งของดินแดนจิตโลกา “ราชันย์อนธการ ช่วงนี้ราตรีนิรันดร์ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปก่อหายนะทั่วตัวเมืองทั้งสิบเก้าเพื่อเก็บรวบรวมวิญญาณอีกแล้ว วันนี้ยังข่มขู่คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นอย่างน่าไม่อายอีกด้วย  เส้นทางการบำเพ็ญของเขาคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้กระมัง เป็นเพราะเจ้าใช่หรือไม่”

“ฮ่าฮ่า ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ สหายเก่าของข้า” ราชันย์อนธการอมตะก็ถ่ายเสียงพูด

“เจ้าเลือกผู้ช่วยได้ดีจริงๆ ทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ร้ายกาจพอและไม่รักษาหน้าเลยก็มีแต่ราตรีนิรันดร์และนิจรัตติกาลสองคนนี้เท่านั้น และสามารถรวมเอาประมุขรัฐจันทร์บุปผาผู้นั้นเข้าไปได้อย่างพอถูไถด้วย” เจ้าเมืองอนันต์พูดยิ้มๆ

“ก็แค่การแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียมเท่านั้นเอง เจ้าเมืองอนันต์ เจ้าอยากจะแลกเปลี่ยนกับข้าดูสักตั้งไหมเล่า”

“แลกเปลี่ยนกับเจ้า ราชันย์อนธการน่ะหรือ เฮอะๆ ข้าไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว”

“เอ๊ะ”

“เขาปรากฏกายแล้วหรือนี่”

เจ้าเมืองอนันต์และราชันย์อนธการอมตะที่สนทนากันอยู่ต่างก็พากันตกตะลึงไป

……

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น  บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาที่จับตามองที่นี่อยู่ต่างก็มองดูด้วยความตกตะลึง กลางอากาศ ห่างจากบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่ไกลออกไปนัก มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นมา บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น

คนวิถีจิตฟ้า!

เป็นเขา!

“เจ้ากล้าปรากฏกายด้วยหรือนี่” บรรพชนราตรีนิรันดร์มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินออกมาด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง

“ท่านบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่ต้องการแม้แต่หน้าตนเองแล้ว แน่นอนว่าข้าก็ต้องเจรจากับท่านให้ดีๆ เสียหน่อย เพื่อเตือนท่านบรรพชนราตรีนิรันดร์ว่าดีร้ายอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตนเองเอาไว้บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

………………………………………