บทที่ 466.4 ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันคิดว่าจะเขียนจดหมายส่งไปให้กวนอี้หรานที่นครน้ำบ่อ บอกคร่าวๆ ว่าตนมีสหายอยู่คนหนึ่ง เป็นคนบ้านเดียวกัน ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่ง เป็นคนทำการค้า มีคุณธรรม แต่ไม่ขาดไหวพริบ ทว่าในจดหมายเขาก็จะบอกกับกวนอี้หรานอย่างตรงไปตรงมาว่า หากลำบากใจ หรือตอนนี้ยังไม่เหมาะจะออกหน้า ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรหาเงิน ก็อย่าได้ฝืนทำให้ตัวเองลำบากใจเด็ดขาด อีกทั้งก่อนจะออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับจากกวนอี้หราน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจะยังไปหาต่งสุ่ยจิ่งอีกครั้ง อธิบายทุกอย่างให้กระจ่างแจ้ง คำพูดบางอย่างอาจไม่น่าฟัง แต่หากสมควรพูดก็ต้องพูด

เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “สำหรับในเรื่องนี้ ข้าเคยเจอความลำบากกับตัวมาก่อนแล้ว”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ เกี่ยวกับเรื่องของหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าและซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันเคยเล่าให้เขาฟังคร่าวๆ มาก่อน

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พูดอย่างปิติยินดีจากใจจริง “มีภูเขามากมายขนาดนี้ก็สามารถทำเรื่องอะไรได้อีกมากมายแล้ว”

เว่ยป้อพูดหยอกล้อ “ยกตัวอย่างเช่นจะให้ใครเป็นราชันใหญ่แห่งภูเขาฮุยเหมิง ส่วนภูเขาจูซาใครจะยึดไว้เป็นที่ฝึกตน?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “แค่คิดก็มีความสุขแล้ว”

เว่ยป้อไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

ภูเขาแต่ละลูกล้วนเป็นสมบัติในนามของเฉินผิงอันแล้ว ควรจะจัดการอย่างไรก็ล้วนเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันต้องคิดเอาเอง

เว่ยป้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ช่วงนี้อาณาเขตแถบเหนือของข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลององค์เทพท่องราตรีเป็นครั้งแรกหลังจากที่ข้าขึ้นครองตำแหน่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสี่ด้านแปดทิศจะต้องพากันออกจากเขตปกครองของตัวเอง มาเยือนภูเขาพีอวิ๋นแห่งนี้ หากเจ้าสนใจ ถึงเวลานั้นข้าสามารถพาเจ้ามาที่ภูเขาพีอวิ๋นได้”

เฉินผิงอันเคยอ่านตำราเทพเซียนของภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นอย่างละเอียดมาก่อน จึงรู้ความเป็นมาของเรื่องนี้

องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของภูเขาทั้งหลายในแต่ละแคว้นมีฐานะสูงศักดิ์ อีกทั้งเทพวารีระบบสืบทอดที่ตำแหน่งเทพและระดับขั้นในทำเนียบวงศ์ตระกูลล้วนอยู่ในระดับสูงสุดก็ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเหนือกว่าองค์เทพใหญ่ของห้าขุนเขาได้ ตามระเบียบพิธีการของใต้หล้าไพศาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาในอาณาเขตล้วนจะต้องมาพบองค์เทพแห่งขุนเขาตามเวลาที่กำหนด นับตั้งแต่เทพระดับขั้นต่ำสุดอย่างเทพเจ้าที่ พ่อปู่แม่ย่าลำคลอง ฯลฯ ไปจนถึงหยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูของเขตการปกครองหลงเฉวียน ขยับไปเบื้องล่างก็คือแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำชงตั้น แม่น้ำอวี้เย่ องค์เทพวารีทั้งหลายเหล่านี้ รวมไปถึงเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเฟิงเหลียง บวกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลบุ๋นบู๋ของท้องถิ่นและศาลเทพอภิบาลเมืองของสถานที่ต่างๆ ล้วนจำเป็นต้องพากันออกจากอาณาเขตของตัวเองในวันใดวันหนึ่ง พกพานำของขวัญมาเยี่ยมเยียนแสดงความเคารพต่อทวยเทพแห่งขุนเขาอย่างเว่ยป้อ

ถึงเวลานั้นเขตการปกครองและตัวอำเภอก็น่าจะต้องมีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามค่ำคืน

นี่คือกฎหนึ่งที่สืบทอดกันมาเนิ่นนาน ทุกๆ เวลาสามสิบปีหรือหกสิบปี หรือยาวกว่านั้นคือหนึ่งร้อยปี ในฐานะศาลองค์เทพแห่งขุนเขาที่เป็นผู้นำของพื้นที่หนึ่งจะต้องมีการจัดงานเลี้ยงท่องราตรีขึ้นมาหนึ่งครั้ง

อันที่จริงยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งที่จะมีการจัดงานเช่นนี้เกิดขึ้น นั่นก็คือผู้ฝึกตนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในรัศมีหลายพันลี้ ไม่แบ่งแยกแว่นแคว้น ล้วนจะต้องพากันไปร่วมพิธีแสดงความเคารพเซียนผู้นั้น

องค์เทพท่องราตรีมีจำนวนมากมายหลายร้อยท่าน ต่างคนต่างร่ายเวทอภินิหาร นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาขนานนามว่าเป็น ‘ภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์มุ่งเข้าหาเซียน’

เฉินผิงอันปฏิเสธความหวังดีของเว่ยป้ออย่างละมุนละม่อม “วันนั้นข้ามองมาจากบนภูเขาลั่วพั่วก็พอแล้ว”

เว่ยป้อเองก็ไม่ยืนกราน

เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วทันที วันนี้จึงให้จูเหลี่ยน ‘เสวยสุขเพียงลำพัง’ ไปก่อนแล้วกัน

เขาเองก็อยากจะแอบอู้สักหน่อย จะได้ถือโอกาสนี้จัดการกับความคิดซับซ้อนวุ่นวายทั้งหลายไปด้วย

เว่ยป้อเองก็ยืนชมทิวทัศน์อยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันหันหน้าไปชำเลืองตามองทางทิศเหนือแวบหนึ่ง เดินทางมุ่งขึ้นเหนือไปตลอด หลังจากข้ามมหาสมุทรไปก็จะเป็นอุตรกุรุทวีปแล้ว

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ตอนนั้นรีบร้อนเดินทาง ไม่ได้ไปเยือนทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวที่สุด หรือไม่ก็ฝูเหยาทวีปหรอกหรือ? รู้สึกเสียดายหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “ไม่ทันมีเวลาได้สนใจจริงๆ ก็ไม่ถึงกับเสียดายอะไรหรอก”

เว่ยป้อถือโอกาสขยับเท้าเดินไปนั่งบนราวระเบียง “ได้ยินว่าอริยะของสำนักศึกษาที่ไม่ควรเป็นที่สุดของสองทวีปก็คือ อุตรกุรุทวีปและฝูเหยาทวีป ฝั่งหนึ่งต้องยุ่งอยู่กับการห้ามทัพ อีกฝั่งหนึ่งยุ่งอยู่กับการเช็ดก้นให้คนอื่น ต่างก็ไม่มีวันเวลาที่สงบสุข ไม่เคยได้สงบใจศึกษาหาความรู้เลย”

เว่ยป้อหันหน้ามา “ใช่แล้ว เจ้าไปเยือนที่ใบถงทวีปมาแล้ว รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? นอกจากใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปมากแล้ว ยังมีความรู้สึกอย่างไรอีก?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะอาณาเขตใหญ่เกินไป สถานที่หลายๆ แห่งจึงถูกปิดตาย อีกทั้งปราณวิญญาณของแต่ละที่ก็มีความแตกต่างกันมาก ง่ายที่จะเกิดภูเขาลูกใหญ่หรือไม่ก็ถ้ำสถิตตระกูลเซียนขนาดใหญ่มโหฬาร อย่างสำนักใบถง สำนักกุยหยก ภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี แต่ละแห่งล้วนถือเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ ในแจกันสมบัติทวีปของพวกเราเกรงว่าคงมีแค่สำนักโองการเทพเท่านั้นที่พอจะถ่วงดุลกับภูเขาใหญ่พวกนี้ได้ แต่ใบถงทวีปก็มีแคว้นเล็กๆ ที่ชั่วชีวิตของคนในแคว้นไม่เคยรู้เลยว่าการฝึกตนคืออะไรอยู่เยอะเหมือนกัน ปราณวิญญาณบางเบา คือสถานที่ไร้อาคมสมชื่ออย่างแท้จริง”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เป็นข้อยกเว้นแล้ว แปดทวีปที่เหลือ โชคชะตาของแต่ละทวีป แท้จริงแล้วล้วนเท่าเทียมกัน”

เฉินผิงอันส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้ และไม่นานเขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก

เว่ยป้อที่รู้ใจช่วยอธิบายให้ฟังว่า “อย่าเห็นว่าแจกันสมบัติทวีปเล็ก อีกทั้งยังไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่ปรากฏตัวมากนัก แต่นี่ก็คือการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นอย่างแท้จริง หากสืบสาวราวเรื่องกันไปยังต้นกำเนิด คิดคำนวณจาก ‘บันทึกที่ดินและสำมะโนครัว’ อย่างที่ในราชวงศ์มนุษย์เรียกกัน อันที่จริงก็ถือว่าไม่แย่แล้ว ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีเซี่ยสือแห่งตรอกเถาเย่ เฉาซีแห่งตรอกหนีผิงของพวกเจ้า เด็กรุ่นหลังมาหน่อยก็มีหลิวเสี้ยนหยาง จ้าวเหยาที่ต่างก็ออกไปอยู่ข้างนอกกัน ถูกไหม? แล้วก็เพราะว่ารั้งตัวคนไว้ไม่อยู่ ถึงทำให้แจกันสมบัติทวีปดูอนาถายากจนกว่าทวีปอื่นๆ”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ใบถงทวีปเกิดกลียุควุ่นวาย ข้าคาดว่าฝูเหยาทวีปก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ อีกทั้งเผ่าปีศาจยังตั้งรกรากสร้างกิจการอยู่ในใบถงทวีปมานานนับพันปี แม้จะบอกว่าทำให้พลังต้นกำเนิดของใบถงทวีปเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาไท่ผิงกับสำนักฝูจีที่บาดเจ็บล้มตายกันอย่างน่าสังเวชที่สุด แต่จะดีจะชั่วพวกปีศาจก็ถูกพลิกแผ่นดินควานหาตัวออกมาแล้ว ตอนที่ข้าอยู่ภูเขาห้อยหัวก็รู้แล้วว่าที่ทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปต่างก็มีสมบัติล้ำโลกปรากฎตัว ได้ยินมาว่าฝูเหยาทวีปที่เดิมทีล่างภูเขาก็วุ่นวายมากที่สุดในเก้าทวีปใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้บนภูเขาก็ยังวุ่นวายตามไปด้วย ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอริยะและวิญญูชนในสำนักศึกษาของที่นั่นจะยุ่งจนหัวหูไหม้กันแค่ไหน”

ฝูเหยาทวีปก็เป็นอย่างที่เฉินผิงอันรู้มาจากตำราเทพเซียน ใช้คำเดียวมาบรรยายได้จริงๆ นั่นคือคำว่าวุ่นวาย หากมองตลอดทั้งฝูเหยาทวีปเป็นดั่งราชวงศ์แห่งหนึ่ง เมื่อผ่านการควบรวมมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าร้อยกว่าปี จึงกลายมาเป็น ‘กองกำลังที่แยกตัวเป็นอิสระ’ ซึ่งมีราชวงศ์ใหญ่หลายสิบราชวงศ์เป็นผู้นำ

รบกันไปรบกันมา วีรบุรุษผู้กล้า ลมพัดเมฆเคลื่อนคล้อย กลียุคเกิดขุนนางกังฉิน กลียุคเกิดเสาค้ำยันแคว้น มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน อีกทั้งผู้ฝึกตนของฝูเหยาทวีปยังชอบลงภูเขาไป ‘ประคับประคองมังกร’ (คำว่าประคับประคองก็คือคำว่าฝู คำเดียวกับชื่อของทวีป ประคับประคองมังกรเปรียบเปรยถึงการให้ความช่วยเหลือ การให้การสนับสนุนกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ถูกเปรียบเปรยให้เป็นมังกร เป็นโอรสสวรรค์) มากที่สุดอีกด้วย

ดังนั้นจึงถูกทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเรียกเหน็บแนมว่าเป็นทวีปถังน้ำ เพราะว่า ‘แกว่งส่าย’ (ภาษาจีนคือคำว่าเหยาที่มีอยู่ในชื่อทวีปฝูเหยา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฝูเหยาที่เป็นชื่อทวีปนี้แปลได้ว่าการพุ่งทะยาน พุ่งขึ้นสู่เบื้องบน แต่เมื่อแยกคำออกมา ฝูจะแปลว่าประคับประคอง เหยาจะแปลว่าการแกว่งส่าย) ได้ดีที่สุด

ส่วนทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวที่สุดนั้น

สายบุ๋นรุ่งโรจน์ โชคชะตาบู๊โชติช่วง

คือ ‘แคว้นใต้อาณัติ’ ทวีปอื่นในจำนวนน้อยนิดที่ผู้ฝึกตนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเห็นอยู่ในสายตา

อีกทั้งทักษินาตยทวีปยังมีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่บนไหล่แบกดวงตะวันจันทรา

เพียงแต่ว่าสถานการณ์ แนวโน้มทิศทางของใต้หล้าเหล่านี้ เพียงแค่พูดคุยกันแล้วก็ปล่อยผ่านไปเท่านั้น

เฉินผิงอันจะเป็นกังวลกับเรื่องใหญ่ที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเหล่านี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เว่ยป้อจะเป็นกังวลก็เพราะตัวเองคือว่าที่องค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีป ต่อให้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องไกลตัว ก็ต้องพะวงกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ากลับก่อนล่ะ แต่ว่าไม่ได้กลับภูเขาลั่วพั่ว จะกลับไปที่ดูเผยเฉียนที่เมืองเล็กสักหน่อย ส่งข้าไว้ที่ภูเขาเจินจูก็พอ”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ก็ส่งเฉินผิงอันไปที่ภูเขาเจินจู

บังคับลมควบคุมตะวันจันทรา ย่อพื้นที่เดินผ่านเทือกเขา สายน้ำก็คือเส้นลายมือ หายใจสะเทือนฟ้าสร้างอสนี

นี่ก็คือทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์

หลังจากเฉินผิงอันจากไปแล้ว

เว่ยป้อนั่งอยู่บนราวรั้วของศาลาเพียงลำพัง สัตว์ปีกสัตว์บก ทะเลเมฆลมภูเขา สิ่งมีชีวิตสิ่งไร้ชีวิต ราวกับว่าทุกอย่างล้วนว่าง่ายคล้อยตามเขาไปเสียหมด

แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา

เพราะนึกถึงเรื่องเล็กๆ เมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้

เจ้าเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยผู้นั้นได้มาหาเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัว หลังจากทักทายกันแล้ว ก็ยิ้มถามด้วยประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดพี่หญิงซิ่วซิ่วถึงไม่ได้มาที่ภูเขาพีอวิ๋น?”

พี่หญิงซิ่วซิ่ว

เป็นคำเรียกที่ค่อนข้างจะแฝงความนัยอย่างยิ่ง

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับไปหนึ่งประโยค “ข้าสนิทกับแม่นางหร่วน แต่ไม่สนิทกับเจ้า”

เกือบจะทำให้เจ้าหนุ่มที่มีโชควาสนาลึกล้ำอย่างเซี่ยหลิงผู้นั้นอัดอั้นจนบาดเจ็บภายใน

คำพูดใดๆ ล้วนไม่อาจทำให้คนฟังเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียน (มาจากประโยคคนใบ้กินหวงเหลียน ขมขื่นก็บอกใครไม่ได้ เพราะหวงเหลียนคือสมุนไพรจีนชนิดหนึ่งที่ขมมาก) ได้เท่าประโยคเรียบง่ายสบายๆ ประโยคนี้อีกแล้ว

เกรงว่าแม้แต่คนตาบอดข้างทางก็ยังมองออกว่า เซี่ยหลิงรักและชื่นชอบศิษย์พี่หญิงใหญ่คนนี้ของตนเป็นอย่างมาก

นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกศิษย์ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนเลย

เพียงแต่ว่าพรสวรรค์ในการฝึกตนของเซี่ยหลิงดี บุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรประสบการณ์ในยุทธภพก็ยังไม่มากพอ จึงนึกว่าจะไม่มีใครมองความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของเขาออก

จากนั้นก็มาเจอเข้ากับเฉินผิงอัน แม้ว่าอายุของคนทั้งสองจะห่างกันแค่ไม่กี่ปี แต่หากพูดถึงการจับความคิดจิตใจคน กลับเหมือนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งรังแกตามใจชอบ ประเด็นสำคัญคือเซี่ยหลิงยังหาเรื่องใส่ตัวเอง นับตั้งแต่ที่พบหน้ากันเขาก็คอยลอบประเมินเฉินผิงอันไม่หยุด

หากพบหร่วนฉง แน่นอนว่าเฉินผิงอันได้แต่หลบเลี่ยง แต่เจอกับเจ้าเซี่ยหลิง เขาจะกลัวหรือ?

เว่ยป้อยืดแขนบิดขี้เกียจ หันหน้าไปมองทางตำหนักฉางชุนซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลี

ไม่รู้ว่าปีนี้ดอกกุ้ยฮวาของที่นั่นผลิบานแล้วหรือยัง

จะมีสตรีคนหนึ่งเด็ดกิ่งดอกกุ้ยมาถือไว้ในมือแล้วเดินอยู่บนทางเล็กบนภูเขาอีกหรือไม่

ข้างกายจะมีบุรุษที่นางรักในชาตินี้เดินเคียงข้างหรือเปล่า

หากมี หวังว่าเขาจะเป็นบัณฑิตที่ทั้งเป็นคนดีและมีความสามารถ

เว่ยป้อพยักหน้า

ยังคงเป็นจูเหลี่ยนที่กล่าวได้ดี หากเป็นบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะมัดไก่ เอากระสอบผ้าป่านคลุมหัวแล้วซ้อมสักรอบก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก แต่หากเป็นผู้ฝึกตน ย่อมต้องมีปัญหาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่เป็นไร หากเขาเว่ยป้อไม่สะดวกจะลงมือ เขาจูเหลี่ยนที่เป็นพี่น้องกันจะทำแทนให้เอง เรื่องแบบี้ มือถือกระสอบผ้าป่าน คลุมผ้าปิดหน้าปิดตา เอาไม้ทุบตีอีกฝ่ายให้น่วม ก็คือสุดยอดเคล็ดวิชาที่จำเป็นต้องฝึกฝนให้ชำนาญยามท่องอยู่ในยุทธภพ ซึ่งก็เป็นวิชาที่เขาจูเหลี่ยนถนัดพอดี

ในชีวิตได้มีสหายที่รู้ใจเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่โชคดีเหลือเกิน

อยู่ดีๆ เว่ยป้อก็นึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยซึ่งเป็นการกระทำทุกอย่างที่เฉินผิงอันทำหลังจากกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว

แล้วเขาก็ถอนหายใจ พึมพำกับตัวเองว่า “ทั้งๆ ที่มีถิ่นฐานกว้างใหญ่ขนาดนี้แล้ว แต่กลับยังรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ก็เพียงพอมากแล้ว?”

แต่จากนั้นเว่ยป้อก็รู้สึกโล่งใจ

สถานที่ที่กายสบาย จะเล็กก็ได้ แต่สถานที่ที่ใจสบาย จำเป็นต้องใหญ่

ค้นหาอิสระใหญ่จากในพื้นที่เล็กเท่าเมล็ดงา

เว่ยป้อวางมือสองข้างค้ำยันไว้บนราวระเบียง คลอเพลงพื้นบ้านประโยคหนึ่งที่เรียนรู้มาจากเผยเฉียนเบาๆ กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ

แล้วจู่ๆ เว่ยป้อก็รู้สึกน้ำลายสอทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความอยากอาหารมาหลายปีแล้ว

ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันจะอยู่จนถึงช่วงเข้าหน้าหนาวหรือไม่ ถึงเวลานั้นในป่าไผ่บนภูเขาจะมีหน่อไม้ฤดูหนาว ขุดออกมาสักสองสามหน่อ เอาไปที่เรือนไม้ไผ่ ได้ยินจูเหลี่ยนบอกว่าอันที่จริงฝีมือการตุ๋นรวมมิตรของเฉินผิงอันก็ถือว่าไม่เลวเลย

ซึ่งเว่ยป้อไม่รู้เลยว่า ปีนั้นเด็กหนุ่มเฉินผิงอันพาพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ มีอยู่ครั้งเดียวที่เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ก็คือครั้งที่เจ้าพวกเด็กๆ ใจดำพวกนั้นรังเกียจฝีมือการทำอาหารของเขา หาว่าแกงปลาที่เขาตุ๋นออกมาสู้อาหารป่าโต๊ะใหญ่ในจวนเจียวเฒ่าไม่ได้ นี่เป็นปมในใจของเฉินผิงอันที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกคลายออก ภายหลังเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง นอนกลางดินกินกลางทราย ขอแค่ทุกครั้งที่มีเวลาว่างพอจะให้ตั้งใจทำอาหารกินดีๆ ได้สักหนึ่งมื้อ เขาก็จะต้องเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ

แน่นอนว่าฝีมือย่อมดีขึ้นเป็นธรรมดา

ทางฝั่งของเมืองเล็ก

เฉินผิงอันเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา กลับเห็นว่าบนโต๊ะคิดเงินมีหัวหัวหนึ่งวางอยู่ ประเด็นสำคัญคือดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียนยังอยู่นิ่งไม่ขยับ ขนาดกลางวันแสกๆ อย่างนี้มองแล้วยังขนลุก เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารีบเดินเร็วๆ ไปเขกมะเหงกใส่

เผยเฉียนยกสองมือกุมหัว พูดโอดครวญว่า “อาจารย์ ข้าไม่ได้แอบอู้แล้วก็ไม่ได้เอาแต่เล่นด้วยนะ”

เฉินผิงอันยื่นมือไปดึงหูของนาง

เผยเฉียนรีบพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว!”

เฉินผิงอันถึงได้พยักหน้าแล้วดึงมือกลับมา

เผยเฉียนจึงหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ตอนนี้ท่านบอกข้าได้หรือยังว่าข้าทำผิดตรงไหน?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่มี อาจารย์แค่คันมือ”

สือโหรวกลั้นขำ

เผยเฉียนหันหน้าไปถลึงตาใส่นาง “พี่หญิงสือโหรว ท่านทำอะไรนะ?! เหตุใดถึงแอบหัวเราะข้า? ท่านรู้หรือไม่ว่า คนอย่างท่านหากไปอยู่ในยุทธภพก็ต้องเป็นคนแรกที่ถูกทุบตาย”

สือโหรวยิ้มตาหยี “เดิมทีข้าก็ตายไปแล้วนี่นา”

เผยเฉียนเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะต่อยหนึ่งหมัดให้ท่านฟื้นคืนชีพกลับมา!”

สือโหรวกระดกปลายคาง บอกเป็นนัยให้เผยเฉียนรู้ว่าอาจารย์ของเจ้ายังอยู่ที่นี่นะ

เผยเฉียนรีบหัวเราะคิกคักให้สือโหรวทันควัน “อยู่ในยุทธภพ ไหนเลยจะเข่นฆ่ากันตามใจชอบได้ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปย่อมส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอาจารย์”

เฉินผิงอันหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วเคี้ยว ก่อนจะเลือกให้เผยเฉียนกับสือโหรวคนละชิ้นโดยเดินมายื่นส่งให้พวกนางที่โต๊ะคิดเงิน

เผยเฉียนกัดไปหนึ่งคำก็คลี่ยิ้มกว้าง “ว้าว วันนี้ขนมอร่อยเป็นพิเศษเลย”

สือโหรวกัดขนมคำเล็กๆ ท่าทางเรียบร้อยเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ เพียงแต่นางทำท่าทางอ่อนช้อยเช่นนี้ด้วยรูปลักษณ์ของตู้เม่า จึงมองดูแล้วไม่สบายตาพอๆ กับที่เผยเฉียนวางหัวไว้บนโต๊ะคิดเงิน

เฉินผิงอันตบหัวตัวเอง พูดอย่างคนเพิ่งกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่ากิจการของร้านถึงได้ซบเซาเพียงนี้ พวกเจ้าได้รับเงินเดือนหรือไม่? ถ้ารับก็หักกันไปคนละครึ่ง”

เผยเฉียนใช้สายตาบอกเป็นนัยว่า พี่หญิงสือโหรวถึงเวลาที่ท่านต้องแสดงฝีมือแล้ว

รับมือกับอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องที่นางถนัดเลย

สือโหรวคลี่ยิ้มหวาน

เฉินผิงอันขนลุกชัน รีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ช่างเถิด ไม่หักแล้ว”

เผยเฉียนยกฝ่ามือขึ้น สือโหรวลังเลเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เอามือตีกับมือนางเบาๆ เป็นการแสดงความยินดี

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ข้าจะไปดูอีกร้านหนึ่งสักหน่อย”

เผยเฉียนรีบกระโดดลงจากม้านั่งตัวเล็ก เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา โหวกเหวกว่าจะนำทางอาจารย์ไปเอง

อันที่จริงร้านนั้นก็อยู่ในตรอกฉีหลง ห่างกันไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น

สือโหรวมองแผ่นหลังของหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่เดินออกจากร้าน นางพลันหัวเราะออกมา

จนกระทั่งบัดนี้ นางถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ภูเขาลั่วพั่วที่มีหรือไม่มีเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่จริงๆ

—–