บนเนินลาดเอียงแถบหนึ่งของตรอกฉีหลงที่คับแคบยังมีบันไดยาวๆ เส้นหนึ่ง ร้านฉ่าวโถวตั้งอยู่ด้านใต้บันไดแห่งนี้ ร้านนี้กับร้านยาสุ้ย ในอดีตต่างก็เป็นกิจการบรรพบุรุษของตระกูลสือชุนเจีย เด็กหญิงมัดผมแกละในอดีตผู้นั้น ภายหลังแม่หนูน้อยไม่ได้ติดตามพวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหวไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุยด้วย แล้วก็ไม่ได้อยู่ต่อในเมืองเล็กเหมือนต่งสุ่ยจิ่ง แต่ติดตามคนในตระกูลย้ายไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี จึงขายร้านทั้งสอง ภายหลังได้ความช่วยเหลือจากหร่วนฉงจึงส่งต่อมาที่เฉินผิงอัน ทุกครั้งที่เฉินผิงอันกลับบ้านเกิด เขายังมีโอกาสได้เจอต่งสุ่ยจิ่ง แต่กับสือชุนเจีย หลังจากแยกจากกันปีนั้นก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย
ช่วงแรกเริ่มสุดร้านฉ่าวโถวอยู่ในมือของตระกูลสือ ขายของจุกจิกเบ็ดเตล็ด ในร้านมีของเก่าหลายชิ้นวางไว้ ถือเป็นร้านในท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังตอนที่ย้ายบ้าน ตระกูลสือได้เลือกเอาของเก่าที่ค่อนข้างถูกชะตาไปด้วยบางส่วน อีกครึ่งหนึ่งเหลือไว้ในร้าน ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นว่า ต่อให้ตระกูลสือย้ายไปอยู่เมืองหลวงก็ยังถือว่าเป็นตระกูลใหญ่อยู่ดี แรกเริ่มหลังจากที่เฉินผิงอันได้ร้านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรู้มูลค่าของวัตถุเหล่านั้น ครั้งแรกที่ได้กลับมายังถ้ำสวรรค์หลีจู เขายังรู้สึกละอายใจ จิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข เฝ้าแต่คิดว่าไม่อย่างนั้นก็ปิดร้านไปเลยดีกว่า วันใดตระกูลสือย้อนกลับมาเยี่ยมญาติที่เมืองเล็กจะได้ขายร้านและสิ่งของด้านในที่เก็บไว้ไม่ไปแตะต้องคืนให้กับตระกูลสือในราคาเดิม เพียงแต่ตอนนั้นหร่วนซิ่วไม่ตกลง นางบอกว่าการค้าขายก็คือการค้าขาย น้ำใจก็คือน้ำใจ แม้ว่าเฉินผิงอันจะยอมตอบรับ แต่ในใจก็ยังเหมือนมีหลุมที่ข้ามไปไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้เขาทำการค้ากับคนอื่นมาจนชินแล้ว จึงไม่คิดอย่างนั้นอีก แต่หากตระกูลสือถึงขั้นยอมลดเกียรติส่งคนให้มาทวงร้านคืน เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าได้ เขาจะไม่มีทางปฏิเสธ เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันอีกแล้ว แน่นอนว่าความสัมพันธ์ควันธูปของเขาเฉินผิงอันจะมีค่าสักกี่มากน้อยกันเชียว?
ในร้านมีลูกจ้างเพียงคนเดียวที่ดูแลกิจการ เป็นสตรีอายุมากแล้ว นิสัยซื่อสัตย์จริงใจ ว่ากันว่าตอนที่หร่วนซิ่วเป็นเถ้าแก่อยู่ในร้าน นางก็มักจะมาคุยกับหร่วนซิ่วเป็นประจำ
เฉินผิงอันย่อมรู้จักสตรีผู้นี้ นางมีชาติกำเนิดมาจากตรอกซิ่งฮวา หากนับกันตามศักดิ์ของเมืองเล็กที่ขยายยืดยาวออกไปแล้ว ต่อให้อายุของพวกเขาจะห่างกันเกือบสี่สิบปี ก็ยังจำเป็นต้องเรียกอีกฝ่ายว่าป้าเฉิน เพียงแต่ไม่ถือว่าเป็นญาติที่แท้จริง
แม้ว่าสตรีจะอายุมากแล้ว แต่ทำนาทำไร่มาทั้งชีวิต ร่างกายจึงยังแข็งแรง ต่อให้ตอนนี้บุตรชายหญิงจะพากันย้ายไปอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ส่วนนางเองก็เคยไปพักอยู่ด้วยหลายครั้ง แต่เพราะทนกับความเงียบเหงาของเรือนใหญ่โตแห่งนั้นไม่ไหวจริงๆ แม้แต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เอาไว้โต้เถียงกันก็ยังไม่มี จึงยืนกรานจะกลับมาอยู่เมืองเล็ก บุตรชายบุตรสาวก็กตัญญู ห้ามปรามไม่อยู่ เพียงแต่ได้ยินว่าลูกสะใภ้แอบนินทานาง ด้วยรังเกียจที่แม่สามีทำตัวน่าอายอยู่ที่นี่ ตอนนี้ในบ้านซื้อสาวใช้มาไว้ตั้งหลายคน ไหนเลยจะต้องให้แม่สามีที่อายุปูนนี้ออกมาหาเงินแค่ไม่กี่เหรียญทองแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถ้าแก่ของร้านนั้นยังเป็นแค่เด็กรุ่นหลังคนหนึ่งที่ปีนั้นยากจนที่สุดในตรอกหนีผิงด้วย
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนมาถึงที่ร้าน พอเข้าประตูมาก็เอ่ยเรียกท่านป้าเฉินทันที สอบถามนางว่าสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง หลายปีมานี้ยังทำนาทำไร่อยู่หรือไม่ ผลเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร
จากนั้นเฉินผิงอันก็คุยกับหญิงชราอยู่พักใหญ่ ทั้งคู่ต่างก็ใช้ภาษาถิ่นของเมืองเล็ก หญิงชราคุยเก่ง พอได้พูดถึงเรื่องในอดีต และได้เห็นเฉินผิงอันที่วันนี้ได้ดิบได้ดีแล้ว หญิงชราก็น้ำตารื้นอย่างอดไม่ไหว บอกว่าหากแม่ของเฉินผิงอันได้มาเห็นเขาในวันนี้ก็คงจะดี ชั่วชีวิตนางต้องเจอแต่ความยากลำบาก ไม่มีวาสนาจะได้สุขสบายกับเขา ปีสุดท้ายของชีวิตแม้จะลงจากเตียงก็ยังทำไม่ได้ แค่อากาศหนาวหน่อยก็ยังไม่อาจผ่านพ้นมันไป สวรรค์ช่างไม่มีตาเลยจริงๆ พอพูดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจ หญิงชราก็เริ่มตำหนิพ่อของเฉินผิงอัน บอกว่าเป็นคนดีจะมีประโยชน์อะไร เวรกรรมแท้ๆ อยู่ดีๆ คนคนหนึ่งนึกจะตายก็ตายไป เดือดร้อนให้ลูกเมียต้องลำบากกันนานหลายปีขนาดนั้น เพียงแต่พูดถึงท้ายที่สุด หญิงชราก็ตบมือเฉินผิงอันเบาๆ บอกว่าอย่าไปตำหนิพ่อเจ้าเลย ถือซะว่าชาติก่อนพวกเจ้าสองแม่ลูกติดค้างเขา ชีวิตนี้ใช้หนี้เก่าคืนให้หมดสิ้นก็ดีแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าชาติหน้าอาจได้กลับมาอยู่กันเป็นครอบครัว ได้มีความสุขร่วมกันอีกครั้งก็เป็นได้
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวเป็นเพื่อนท่านป้าเฉินผู้นี้ ปล่อยให้หญิงชรากุมมือไว้ ฟังนางพร่ำพูด ไม่กล้าโต้เถียงสักคำ
เผยเฉียนยกม้านั่งตัวเล็กตัวหนึ่งมานั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล นางแทะเมล็ดแตงเบาๆ มองอาจารย์ที่ให้ความรู้สึกแปลกไปจากเดิมเงียบๆ
เผยเฉียนเรียนรู้ภาษาถิ่นของท้องที่ต่างๆ ได้เร็วมาก นางจึงคุ้นเคยกับภาษาถิ่นของเขตการปกครองหลงเฉวียนดี ดังนั้นจึงฟังเรื่องที่คนทั้งสองคุยกันเข้าใจ
ดูเหมือนเวลาที่อาจารย์คุยกับหญิงชราจะทั้งเสียใจและทั้งมีความสุข
อีกอย่างเผยเฉียนก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง อาจารย์เป็นคนที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไม่ว่าเจอกับใครก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคย…นอบน้อมขนาดนี้มาก่อน? ราวกับว่าไม่ว่าหญิงชราที่พูดเก่งผู้นี้จะเอ่ยอะไรก็ล้วนถูกต้องไปหมด อาจารย์ล้วนฟังเข้าหู แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนเก็บไปใส่ใจ อีกทั้งสภาพจิตใจของอาจารย์ในตอนนี้ก็สงบสุขอย่างยิ่ง
อันที่จริงก่อนที่อาจารย์จะลงจากภูเขามาที่ร้าน เผยเฉียนก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เพียงแต่ว่าอาจารย์ต้องฝึกหมัดอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางจึงไม่ควรไปรบกวน
ดังนั้นนางจึงยอมอยู่ที่ร้านยาสุ้ย ยืนเหม่ออยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้วยอารมณ์อัดอั้นไม่พอใจ นางไม่มีกะจิตกะใจจะเตร็ดเตร่ไปทั่วทิศเหมือนในอดีตจริงๆ พอคิดถึงว่าห่านตัวใหญ่หลายตัวที่อยู่ในเมืองเล็กพวกนั้นน่าจะไปรังแกคนเดินผ่านทางอีกแล้ว เผยเฉียนก็ยิ่งมีโทสะ
เพราะว่าหลายวันก่อนหน้านี้นางได้ยินคำนินทามากมายมาจากหมู่ชาวบ้านในเมืองเล็ก
อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อนเผยเฉียนก็เคยได้ยินมาแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ประติดประต่อนัก ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกว่าตนเป็นคนในยุทธภพแล้วก็ควรจะใจกว้างสักหน่อย จึงไม่ได้จัดการกับพวกเขาในทันที เพียงแต่แอบจดลงบัญชีเล่มเล็กๆ ของตนเอาไว้ ด้านในบันทึกว่าได้ยินคำพูดของหญิงชรา ของลูกเต่าหลานตะพาบ ของลูกกระต่ายตัวใดวันไหนที่ใดบ้าง แล้วแอบซ่อนสมุดไว้ด้านล่างสุดของหีบไม้ไผ่ใบเล็ก
แต่หลังจากอาจารย์กลับมาภูเขาลั่วพั่ว ช่วงนี้ก็ยิ่งมีคำพูดร้ายๆ เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ มีพวกชายฉกรรจ์ว่างงานที่กินอิ่มแล้วแต่ดันไม่อิ่มจนท้องแตกตาย แล้วก็ยังมีคนรู้จักในอดีตที่อายุอานามไล่เลี่ยกับอาจารย์ รวมไปถึงสตรีปากยื่นปากยาวไปรวมตัวกันตามหัวมุมถนนแล้วพากันนินทาอาจารย์ของนาง
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่ในอดีตที่เกิดขึ้นในตรอกหนีผิง รวมไปถึงข่าวลือบางส่วนตอนที่เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร
พวกเขาชอบเอาเรื่องน่าสงสารตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นเด็กมาพูดคุยกันเป็นเรื่องสนุก แต่นี่ยังไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ ยังมีคำพูดที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้ พวกเขาเอาเรื่องของหลิวเสี้ยนหยางเพื่อนของอาจารย์ ซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านและสาวใช้ รวมไปถึงหญิงหม้ายมารดาของกู้ช่าน หรือแม้แต่พี่หญิงหร่วนซิ่วก็ยังถูกเอามาแต่งเรื่องกันส่งเดช ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าปีนั้นอาจารย์อาศัยความขยันขันแข็งที่มีต่อหร่วนซิ่ว ถึงได้ดิบได้ดีมีวันนี้ได้ แล้วยังบอกว่าเขามีสัมพันธ์กับมารดาของกู้ช่าน ถึงได้คอยช่วยเหลือหญิงหม้ายผู้นั้นบ่อยๆ มักจะไปขอยืมเงินจากซ่งจี๋ซินแล้วไม่ยอมใช้คืน พูดกันไปมากมายหลากหลาย
เผยเฉียนล้วนจดจำไว้ขึ้นใจ ทุกครั้งที่กลับไปร้านยาสุ้ย นางจะหันหลังให้สือโหรวแล้วหยิบสมุดบัญชีที่อยู่ด้านล่างหีบหนังสือออกมา ตอนที่ตวัดพู่กันเขียน นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วย ดังนั้นน้ำหมึกจึงเข้มมากเป็นพิเศษ หากไม่เป็นเพราะตอนนี้อาจารย์อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนก็คงลงมือไปนานแล้ว จะสนไปไยว่าเจ้าเป็นเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ หรือเป็นหญิงแก่ที่อายุหลายสิบปี
ภายหลังมีวันหนึ่งที่สือโหรวจับสังเกตได้จึงช่วยอธิบายให้เผยเฉียนฟัง บอกว่าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ดี ราชสำนักหรือยุทธภพก็ช่าง มีสักกี่คนที่ชอบเห็นคนอื่นได้ดิบได้ดี มีนั้นต้องมีแน่ แต่กลับน้อยมาก เวลาอยู่ต่อหน้าก็พูดประจบยกยอเจ้า พูดถึงเจ้าแต่เรื่องดีๆ พอหันหน้ากลับไปกลับนินทาว่าร้ายเจ้าลับหลัง นี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
ผลกลับถูกเผยเฉียนโต้กลับไปหนึ่งประโยค หากจะนินทาข้า ข้าไม่ว่า แต่ว่าร้ายอาจารย์ข้า ไม่ได้!
สือโหรวรู้สึกว่ารับมือได้ยากอยู่บ้าง นางกลัวจริงๆ ว่าวันใดเผยเฉียนจะทนไม่ไหว แล้วลงมือไม่รู้จักหนักเบาจนทำร้ายคนให้บาดเจ็บ
ดังนั้นครั้งนี้พอเฉินผิงอันมาที่ร้าน อันที่จริงนางอยากจะเล่าเรื่องนี้มาก แต่เผยเฉียนเอาแต่ทำตัวติดกับอาจารย์ สือโหรวจึงยังไม่มีโอกาสได้เปิดปากพูด
เพียงแต่วันนี้พอเผยเฉียนได้เห็นอาจารย์ ได้ยินหญิงชราพร่ำพูดด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างน่ารำคาญแล้ว
แม้ว่านางจะยังโกรธ แล้วก็ยังรู้สึกอยุติธรรม แต่จู่ๆ ความรู้สึกพวกนั้นกลับไม่มากเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผยเฉียนยังคิดขึ้นมาได้อีกว่า มีปีหนึ่งที่ไปเซ่นไหว้หลุมศพพ่อแม่ของอาจารย์แทนเขา ตอนที่กลับเมืองเล็ก ระหว่างทางนางได้เจอกับหญิงชราที่ขึ้นเขามา พอเผยเฉียนหันหน้ากลับไป ดูเหมือนว่าหญิงชราจะยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพพ่อแม่ของอาจารย์ กำลังค้อมตัวหยิบจานที่ใส่ขนมข้าวเหนียวกับเต้าหู้รมควันวางตรงหน้าหลุมศพ
เผยเฉียนแทะเมล็ดแตง ยิ้มกว้าง
ไม่พูดเรื่องน่าหงุดหงิดใจพวกนี้ให้อาจารย์ฟังแล้วดีกว่า
อีกอย่างวันหน้าก็ต้องยิ้มให้หญิงชราที่ขนาดอาจารย์ยังเรียกว่าท่านป้าเฉินผู้นี้ให้มากขึ้นสักหน่อย
ออกมาจากร้านฉ่าวโถว เฉินผิงอันไม่ได้ส่งเผยเฉียนกลับไปที่ร้านยาสุ้ยทันที แต่พานางเดินเล่นไปทั่ว เดินขึ้นไปบนบันไดของตรอกฉีหลง ตรงไปเรื่อยๆ จากนั้นก็อ้อมผ่านถนนใหญ่ตรอกเล็ก ไปยังบ้านบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง เปิดประตูออก เฉินผิงอันก็หยิบไม้กวาดมาเริ่มทำความสะอาด เผยเฉียนเองก็คุ้นเคยกับที่นี่ดี ปีนั้นหลังจากแยกกันที่เมืองหงจู๋ อาจารย์ได้มอบกุญแจให้พวงหนึ่ง ลูกหนึ่งในนั้นก็มีของบ้านหลังนี้ ทุกๆ สามวันห้าวันนางกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจะต้องมาช่วยกันทำความสะอาดรอบหนึ่ง จากกันคราวนั้น อาจารย์ยังกำชับนางเป็นพิเศษว่าห้ามเคลื่อนย้ายข้าวของในบ้านโดยพลการเด็ดขาด ตอนนั้นนางยังรู้สึกเสียใจนิดๆ ถามเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่าอาจารย์เคยพูดแบบนี้กับนางหรือไม่ เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูทำท่าทางลังเล เผยเฉียนก็รู้คำตอบทันทีว่าอาจารย์ไม่เคยพูด นางจึงนั่งอยู่บนธรณีประตู กลัดกลุ้มอยู่เป็นนาน ปล่อยให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูง่วนทำงานอยู่เพียงลำพัง ส่วนเผยเฉียนนั้นบอกว่าวันนี้นางเปิดปฏิทินเหลืองดู นางไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว
แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน อาจารย์กวาดพื้น นางไม่ต้องเปิดปฏิทินเหลืองดูฤกษ์ยามก็รู้ว่าวันนี้นางมีพละกำลังเปี่ยมล้น จึงวิ่งไปที่ห้องครัว หิ้วถังน้ำกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน ตักน้ำจากอ่างที่ยังพอมีน้ำเหลือมาหนึ่งกระบวย ช่วยเช็ดถูโต๊ะ ชั้นวางและหน้าต่างในห้อง เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางเล่าเรื่องในอดีตให้เผยเฉียนฟัง เล่าว่าในอดีตเขาขึ้นเขาลงห้วยกับหลิวเสี้ยนหยางอย่างไรบ้าง พวกเขาวางกับดักจับสัตว์ป่ากันอย่างไร ทำหนังกะติ๊ก ทำคันธนู จับปลา ดักนก จับงูกันอย่างไร ล้วนเป็นเรื่องสนุกที่น่าสนใจทั้งสิ้น
ส่วนเผยเฉียนที่หากเฉินผิงอันเงียบไป นางอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็จะท่องบทความประเภทขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่น วิธีการปกครองเรือนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษออกมาเสียงดัง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้ว่านางไปเรียนมาจากไหน อีกทั้งยังท่องจำได้ด้วย
“เสียงไก่ขันดัง ปัดกวาดทำความสะอาดเรือน ในและนอกสะอาดเอี่ยม ปิดประตูลงกลอน ตรวจสอบตัวเอง วิญญูชนทบทวนตัวเองวันละสามครั้ง…หนึ่งโจ๊กหนึ่งข้าว ล้วนได้มาไม่ง่าย…ภาชนะเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน แม้จะทำจากดินเผาก็ยังดีกว่าทำจากทองจากหยก ยามที่ทำคุณต่อคนอื่น อย่าเอาแต่จดจำไม่ยอมวาง ยามที่ได้รับบุญคุณจากคนอื่น กลับต้องจดจำให้ขึ้นใจ ทำตามหน้าที่ของตน คล้อยตามสวรรค์ลิขิต”
เฉินผิงอันฟังเสียงท่องของนางแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่มองเผยเฉียนที่ทำงานพลางโคลงศีรษะท่องไปด้วยแล้วคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า
หลังจากทำงานกันเสร็จ หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กก็มานั่งพักอยู่บนธรณีประตูด้วยกัน
เผยเฉียนเอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านสนิทกับหลิวเสี้ยนหยางขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ ปีนั้นอาจารย์ก็คือลูกสมุนของหลิวเสี้ยนหยาง ภายหลังมีเจ้าเด็กขี้มูกยืดเพิ่มมา เขาก็กลายมาเป็นขวดน้ำมัน *(เปรียบเปรยถึงตัวภาระ)*ตามก้นอาจารย์ ปีนั้นพวกเราสามคนสนิทกันที่สุด”
เผยเฉียนหันหน้ามามองอาจารย์ที่ผอมลงเยอะมาก นางลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยังถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ ข้าพูดว่าถ้าหากนะ ถ้าหากมีคนพูดถึงอาจารย์ไม่ดี ท่านจะโกรธไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พูดจาไม่ดีต่อหน้าข้า ข้าย่อมไม่โกรธ พูดจาไม่ดีลับหลังข้า…ข้าก็ไม่โกรธเหมือนกัน”
เผยเฉียนถามอย่างสงสัย “อาจารย์ ไหนบอกว่าขนาดพระโพธิสัตว์ยังมีไฟโทสะได้สามส่วนอย่างไรล่ะ ทำไมอาจารย์ถึงไม่โกรธ?”
เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กของเผยเฉียนเบาๆ “เพราะว่าโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อย่างไรล่ะ”
เผยเฉียนยื่นเมล็ดแตงกำหนึ่งส่งให้อาจารย์ เฉินผิงอันรับมาแล้ว สองอาจารย์และศิษย์ก็นั่งแทะเมล็ดแตงด้วยกัน เผยเฉียนกล่าวอย่างอัดอั้น “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้คนอื่นพูดจาว่าร้ายได้ตามใจชอบงั้นหรือ? อาจารย์ แบบนี้ไม่ถูกนะ”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ปากแทะเมล็ดแตง สายตามองไปเบื้องหน้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อยากฟังหลักการเหตุผลที่ใหญ่หน่อย หรือว่าเล็กหน่อยล่ะ?”
เผยเฉียนยิ้มกล่าว “อยากฟังทั้งหมดเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็พูดถึงหลักการเหตุผลที่ใหญ่ก่อน ทั้งพูดให้เจ้าฟัง แล้วก็พูดให้ตัวอาจารย์ฟังเองด้วย ดังนั้นหากเจ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร จะว่าอย่างไรดีล่ะ ทุกๆ วันพวกเราพูดอะไร ทำอะไร มีเพียงแค่ไม่กี่ประโยค แค่เรื่องไม่กี่เรื่องจริงๆ หรือ? ไม่ใช่เลย คำพูดและเหตุการณ์พวกนี้ เหมือนเส้นหลายเส้นที่มารวมอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนลำธารที่อยู่ด้านในของภูเขาใหญ่แถบตะวันตกที่สุดท้ายกลายมาเป็นลำคลองหลงซวี กลายไปเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู แม่น้ำสายนี้ก็เหมือนต้นทุนในการตั้งตัวซึ่งเป็นรากฐานที่สุดของพวกเราทุกคน คือเส้นสายหลักที่ซ่อนอยู่ในใจของพวกเรา จะเป็นตัวตัดสินความสุขความทุกข์ การพบพรากจากลาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเรา แม่น้ำยาวเส้นนี้ทั้งสามารถรองรับกุ้ง หอย ปู ปลา พืชหญ้า ก้อนหินไว้ได้มากมาย แต่มีบางครั้งก็อาจจะแห้งขอด แต่บางครั้งก็อาจเกิดน้ำท่วม ไม่อาจบอกได้ชัดเจน เพราะหลายๆ ครั้งตัวพวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลายไปเป็นเช่นนั้น ดังนั้นในบทความที่เจ้าท่องเมื่อครู่นี้มีประโยคที่ว่า วิญญูชนทบทวนตัวเองวันละสามครั้ง อันที่จริงก็คือคำกล่าวอย่างหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ เรียกว่าการควบคุมตัวเองให้อยู่ในกฎระเบียบ ภายหลังตอนที่อาจารย์อ่านผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ ยังเคยได้เห็นผู้รอบรู้ของใบถงทวีปที่ถูกขนานนามว่าบุคคลผู้สมบูรณ์แบบพันปี เขาได้สร้างกรอบป้ายแผ่นหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะ แล้วเขียนสองคำว่า ‘ระงับความโกรธ’ ลงไป ข้าคิดว่าหากทำสิ่งเหล่านี้ได้ สภาพจิตใจก็จะไม่มีน้ำท่วมทะลักฟ้า เจอสะพานปะทะสะพาน เจอทำนบพังทำนบ ท่วมทับถนนที่อยู่สองข้างฝั่ง”
เผยเฉียนถาม “แล้วถ้าหลักการเหตุผลแบบเล็กล่ะ?”
—–